ถึง คุณสายลม
อธิบายเรื่องจิตและวิญญาณก่อน
เรื่องทำคุณไสย์ มันมีเหตุผลกรรมมาตั้งแต่แรกว่าทำไมคุณถึงต้องทำ คนส่วนมากคิดว่าตัวเป็นเมียหลวงบ้าง รักเขามากบ้าง ขาดเขาไม่ได้บ้าง และถ้าทำให้เขากลับมารักยังไงก็ไม่ผิด ไม่บาป โดยไม่ย้อนมองว่า แค่ความคิดที่เคลือบทาไปด้วยกิเลสไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ตาม นั่นแหละคือ คุณไสย์ชั้นดีเป็นตราบาปชั้นเลิศ เป็นความปรารถนาที่ไม่เคยอิ่มของมนุษย์ และมันสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า คุณไม่ได้รักเขาจริงจากใจ สิ่งที่คุณต้องการจากเขา คือ กิเลสตัณหา เท่านั้น คุณหลงในรสเสียงเขา ผิวเนื้อเขา รูปร่างเขา ความทรงจำทุกข์สุขทั้งหลาย รวมถึงการมีลูกด้วยกัน และคิดว่าจำเป็นต้องทำคุณไสย์เพื่อลูก (ถ้าคุณทำเขากลับมาได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกคุณจะมีความสุข)
มนุษย์ทั้งหลายต้องมีพระจิต (บุญ= สร้างด้วยสมาธิ)มีพระวิญญาณ (อารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย= เกิดจากการตายแล้วเกิดซ้ำๆหรือกรรมที่คุณก่อนั่นเอง) ประกอบรวมอยู่ในขันธุ์มนุษย์ พระจิตจะทำหน้าที่กำหนดรู้ว่าเรากำลังทำอะไร และตอนไหน ส่วนพระวิญญาณเป็นอารมณ์ต่างๆ คอยส่งเสริมจิตว่ากระทำทำไม เช่น คุณกำลังจะตีลูก จิตคุณระลึกรู้ว่าลูกทำผิดจะต้องตี แต่การตีอย่างกราดเกรี้ยวไร้การควบคุม นั่นคือการกระทำของวิญญาณ (คุณเคยกราดเกรี้ยวมาทุกชาติ เกิดใหม่ชนะกรรมไม่ได้ ก็กราดเกรี้ยวอีก) ที่ส่งให้จิตกระทำสิ่งนั้นๆแตกต่างกันไป จึงสรุปว่าการตีลูกครั้งนี้จึงเป็นไปเพราะสนองอารมณ์ของผู้ตี ไม่ได้เป็นไปเพราะมีเหตุผลจะสั่งสอนลูก ฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่เคยฝึกจิตให้เป็นผู้มีสติ คุณจะถูกวิญญาณ (กรรม) ควบคุมให้กระทำสิ่งนั้นๆโดยขาดสติ เมื่อขาดสติ การต่อกรรมจึงไม่มีสิ้นสุด
1.อุปมาให้ง่ายไปอีกว่า สมมติคุณสายลมเคยทำคุณไสย์ให้สามีรักมาหลายชาติ แต่พอเกิดใหม่คุณสายลมก็ยังเป็นคนเดิมๆอย่างชาติก่อน คือ น้อยใจ เสียใจ คิดมาก ตบตีกันเสมอ จนต้องลงเอยไปทำคุณไสย์อีกครั้ง คนเราเกิดบ่อยๆมันถอยหลัง ยกจิตด้วยธรรมไม่ได้ก็ชนะกรรมเก่า (วิญญาณ) ไม่ได้ เราอาจจะทำบุญมากแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเรามีความบริสุทธิ์ใจจากการทำบุญนั้น เพราะเราก็ยังหวังให้เขากลับมา และถึงผลบุญที่ทำนั้นอาจจะช่วยให้มีจิตหนึ่งพูดขึ้นมาว่า อย่าทำคุณไสย์อีกเลย แต่ถึงวันนึงเราก็ต้องลงเอยด้วยการกระทำอยู่ดี เพราะบางสิ่งบางอย่างกระทำมาหลายร้อยชาติอาจไม่สามารถแก้ไขได้ใน 1 ชาติ และยิ่งถ้าคุณเป็นคนไม่เคยนั่งสมาธิฝึกจิตเลย พลังบุญของคุณก็จะอ่อนแอและคุณก็จะพ่ายแพ้ต่อกรรมเก่า (วิญญาณ) นั่นเอง การทำบุญที่ปราศจากการมีธรรมอันบริสุทธิ์ และความเข้าใจในสังสารวัฏทั้งหลาย ย่อมทำให้การทำคุณไสย์ยังคงเกิดขึ้นชาติแล้วชาติเล่า
หมอคุณไสย์จะใช้วิญญาณกรรม (รัก โลภ โกรธ หลง ริษยา ) ของผู้กระทำ ลงคาถาอาคมแล้วส่งไปแทรกวิญญาณกรรมของคนที่ต้องการกระทำ หมอคุณไสย์ก็คือ ผู้ร่วมชะตากรรมนั่นเอง เขาเพียงเป็นผู้วางหมากกรรมให้คุณเท่านั้น (ถ้าสำเร็จ หมอคุณไสย์จะได้พลังวิญญาณของคนทั้งคู่ไป คุณถึงต้องวนเวียนไปหาหมอคนนี้บ่อยๆ) แท้จริงคุณไสย์จะแรงไม่แรงก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองเป็นหลัก ว่ามีแรงปรารถนามากเท่าไหร่
1 หรือจะสู้ 2 เมื่อผู้ถูกกระทำโดนคุณไสย์ก็จะมีอาการล่องลอย ไร้สติ ในกรณีนี้ คือ เป็นผู้มีจิตอ่อนไม่เคยทำสมาธิฝึกจิต และต้องรู้ไว้เลยว่าผู้ที่ฝึกจิตจนสูงจะเป็นผู้ที่ไม่สามารถโดนคุณไสย์กระทำได้เลย เหตุผลง่ายๆว่า คุณไสย์จะใช้วิญญาณ (กรรม) เป็นหลักในการกระทำ ถ้าผู้ฝึกจิตจนแข็งแล้ว วิญญาณ (กรรม) ใดๆจะเข้ามาแทรกแซงบังคับจิตเขาไม่ได้ (มีแยกออกไปสามารถโทรคุยได้)
2.ถามเรื่องของย้อนเข้าตัว ง่ายๆว่าถ้าคุณลงมือกระทำคุณไสย์กับใครสักคน ก็เหมือนคุณปาบอลเข้ากำแพง ช้าเร็วต้องสะท้อนกลับหาคุณ ขึ้นอยู่กับสภาพกำแพง กำแพงที่แข็งแรงเปรียบเสมือนสภาพจิตของผู้ถูกกระทำที่แข็งแรง ถ้าคุณปาบอลไปแรง บอลก็จะสะท้อนกลับคุณเร็วและรุนแรง ถ้าคุณปาบอลเข้ากำแพงที่ไม่แข็งแรง เปรียบเสมือนสภาพจิตของผู้ถูกกระทำมีความอ่อนแอ ถึงบอลจะสะท้อนกลับมาช้า แต่ก็ต้องสะท้อนกลับมาแน่นอน กลไกกรรมเป็นอจิณไตย คิดมากไปอาจเป็นบ้า เพียงเรายึดหลักธรรมะไว้ หมั่นฟอกจิตด้วยการสมาธิฟังธรรมและกรวดน้ำ คือ สิ่งหลักๆที่จะยกพระจิตให้สูงได้
3.ผู้มีความสำนึกในการกระทำจากใจจริงๆ ย่อมเปรียบเสมือนผู้ชำระโทษแล้ว 1 ส่วน เพราะเขาเกิดความละอายต่อบาป เมื่อละอายจึงทำใจยอมรับบาปนั้นได้ไม่มากก็น้อย แต่อะไรก็แล้วแต่เมื่อมีการกระทำ ผลย่อมมีตามมาเสมอ คุณอาจคิดว่ามีวิธีอะไรจะหลีกเลี่ยงการสนองคืนนั้นได้ แท้จริงมันไม่มี ไม่มีอะไรในโลกก่อแล้วไม่มีผล เพียงแต่ช้าเร็วเท่านั้น แต่ว่าถ้าผู้กระทำผิดนั้นสำนึกตัว และกลับตัวกลับใจได้ อยากจะสำลอกในเวรกรรมทั้งหลาย และสามารถบรรลุในธรรม เข้าใจในโลก ถามว่าผลกรรมที่ตามสนองจะหนักเท่าเดิมมั๊ย ก็เมื่อทำไว้หนักผลก็หนัก แต่การที่เรายกพระจิต แล้วมีธรรมนั่นแหละนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะนำพาเราไปสู่ทางหลุด ผลกรรมนั้นจะทำให้เราได้เห็นสัจจธรรม และเดินผ่านกรรมไปอย่างจิตที่ปลงแล้วนั่นเอง
**ฉะนั้น ผู้คิดว่าจะทำคุณไสย์คนที่คุณรัก โปรดจงคิดว่าเมื่อทำแล้ว คุณจะได้แค่ศพคนเป็นเอาไปกอดก่าย เพราะจิตใจเขาได้ถูกเผาขึ้นเมรุไปแล้ว จงอย่าคิดว่าคุณเสียใจเป็นอยู่ฝ่ายเดียว คุณทำคุณไสย์เขามันยิ่งกว่าคุณฆาตรกรรมเขาด้วยซ้ำ และถ้าคุณคิดว่าคุณโดนผู้หญิง (ผู้ชาย) อีกคนกระทำก่อน ขอบอกได้เลยถ้าคุณยิ่งทำซ้ำเอาเขากลับ คนรักคุณยิ่งตายเร็วขึ้น ถ้าคุณพูดว่ารักเขามาก ได้แค่กายเขาก็ดี คุณก็ลองนั่งคิดดูดีๆว่า คุณเอาเขามาเป็นเพียงเครื่องมือสนองตัณหาคุณหรือเปล่า คุณหรือเขาที่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องหาความยุติธรรมในรัก มันไม่มีทางเจอ เพราะมันไม่ใช่รักตั้งแต่แรก มันคือวิบากกรรมมากกว่า วิธีแก้มีมากมายถ้าคุณอยากรู้ การตัดนั่นแหละจะได้มาซึ่งความจริงของรัก และถ้าคุณคิดต่อเติมกรรม คุณจะเจอความร้ายมากกว่าความรัก เมื่อเขาไม่ใช่เนื้อคู่ยังไงก็ไม่ใช่ สุดท้ายนี้ คุณไสย์ไม่มีทางมีอำนาจเหนือกฎแห่งกรรมไปได้ ขอจงรักอย่างมีสติ.
ปรียาปาตี