1. การบริหารงานบุคคล (PPM) และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM) แตกต่างกันอย่างไร
(1) PPM เน้นคนเป็นทรัพยากรการผลิต HRM เน้นกระบวนการบริหาร
(2) PPM เน้นกระบวนการบริหาร HRM เน้นคนตั้งแต่เกิดจนตาย
(3) PPM เน้นองค์กรปิด HRM เน้นองค์กรเปิด
(4) PPM เน้นในองค์กรของรัฐ HRM เน้นในองค์การเอกชน
(5) ถูกทุกข้อ
,ข้อสอบกระทรวงต่างประเทศ,แนวข้อสอบกระทรวงต่างประเทศ
ตอบ 2 ความแตกต่างของการบริหารงานบุคคล (PPM) กับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM) คือ PPM จะเน้นกระบวนการบริหารตั้งแต่เริ่มรับคนเข้าสู่องค์การจนถึงออกจากองค์การ หรือเน้นเฉพาะช่วงที่เข้าทำงาน (Work – Life) แต่ HRM นั้นจะเน้นคนตั้งแต่เกิดจนถึงตาย หรือเป็นการพัฒนาตลอดชีวิต (Long – Life) นั่นเอง
,สมัครสอบกระทรวงต่างประเทศ,สอบนักทรัพยากรบุคคล
2. แนวคิดซึ่งเน้นว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรการผลิตที่สำคัญที่สุดเริ่มขึ้นเมื่อใด (โดยประมาณ)
(1) ค.ศ. 1800 (2) ค.ศ. 1900 (3) ค.ศ. 1910
(4) ค.ศ. 1940 (5) ค.ศ. 1970
จำหน่ายแนวข้อสอบนักทรัพยากรบุคคลปฎิบัติการ กรมการต่างประเทศ
ตอบ 5 ในปี ค.ศ. 1970 นั้น แนวความคิดทางการบริหารเริ่มมีแนวโน้มหันไปสนใจในตัวบุคคลว่าเป็นทรัพยากร การผลิตที่สำคัญในแง่ที่จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อองค์การได้
3. แนวคิดด้านการจัดการเกี่ยวกับบุคคลโดยอิงหลักเหตุผลนั้นมีจุดเริ่มต้นเมื่อใด (โดยประมาณ)
(1) ค.ศ. 1800 (2) ค.ศ. 1900 (3) ค.ศ. 1910
(4) ค.ศ. 1940 (5) ค.ศ. 1970
ความรู้เกี่ยวกับกรมการต่างประเทศ ,แนวข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษ
ตอบ 2 ในปี ค.ศ. 1900 นักบริหารได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลโดยอิงหลักเหตุผล ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประสิทธิภาพ และประหยัดได้
4. การปฏิรูประบบราชการไทยมีเหตุผลความจำเป็นอย่างไร
(1) สังคม เศรษฐกิจประสบปัญหา
(2) ความเปลี่ยนแปลงของสังคมเศรษฐกิจโลก
(3) ระบบราชการไม่มีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล
(4) ภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ (5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 การปฏิรูประบบราชการไทยมีสาเหตุมาจาก 1.ขนาดของข้าราชการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2. มีปัญหาด้านการให้บริการ 3. ความเปลี่ยนแปลงของสังคมเศรษฐกิจโลก 4. ระบบ ราชการไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล 5. ปัญหาภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ
5. ตามทฤษฎีสองปัจจัยแห่งการจูงใจอะไรคือปัจจัยจูงใจ
(1) ความสำเร็จของงาน (2) ลักษณะงาน (3) เงินเดือน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก (5) ข้อ 1, 2 และ 3 ถูก
แนวข้อสอบความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ตอบ 4 ปัจจัยที่สร้างความพึงพอใจในงานหรือปัจจัยจูงใจ (Motivation Factor) ได้แก่ ความสำเร็จของงาน การยอมรับนับถือ ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้า ส่วนปัจจัยที่สร้างความไม่พึงพอใจในงานหรือปัจจัยอนามัย (Hygiene Factor) ได้แก่ นโยบาย วิธีการปกครองบังคับบัญชา เงินเดือน การบังคับบัญชา และสภาพการทำงาน
6. “วินัยในเชิงบวก” ได้แก่
(1) การพร่ำสอน (2) การลงโทษ
(3) การขู่ให้กลัว (4) ข้อ 1, 2 และ 3 ถูก (5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 การดำเนินการทางวินัยในเชิงบวกจะใช้วิธีการพร่ำสอนและอธิบายโดยมีเป้าหมาย เพื่อการแก้ไขและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และให้เป็นคนสร้างสรรค์ผลงาน รู้จักรับผิดชอบงานมากขึ้น
7. การออกจากหน่วยงานก่อนเกษียณอายุราชการมีวัตถุประสงค์สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) ประสิทธิภาพ
(2) การลดขนาดราชการ
(3) การประหยัด
(4) การส่งเสริมสวัสดิการผู้สูงอายุ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 การเกษียณก่อนอายุราชการ (Early Retirement) ถือเป็นแนวทางหนึ่งในการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับสัดส่วนและลดขนาดกำลังคนภาครัฐให้มีขนาดเล็ก กะทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพสูง
8. ข้อใดเป็นแนวทางการปฏิรูประบบราชการ
(1) ระบบราชการที่มีชุมชนเป็นเจ้าของ
(2) ระบบราชการที่ยึดกระบวนการและขั้นตอนเป็นหลัก
(3) ระบบราชการที่เป็นผู้สนับสนุนมากกว่าการควบคุม
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก (5) ข้อ 1, 2 และ 3 ถูก
ตอบ 4 แนวทางการปฏิรูประบบราชการมีดังนี้ 1. ระบบราชการที่เป็นผู้สนับสนุนมากกว่าผู้ควบคุม 2. ระบบราชการที่มีชุมชนเป็นเจ้าของ 3. ระบบราชการที่มุ่งภารกิจมากกว่ากระบวนการและขั้นตอนของระบบ 4. ระบบราชการที่มุ่งเน้นให้เกิดผลงาน 5. ระบบราชการที่มุ่งเน้นลูกค้าหรือผู้รับบริการ 6. ระบบราชการที่มุ่งมองไปสู่อนาคต ฯลฯ
9. ข้าราชการที่พึงประสงค์ในสังคมยุคใหม่คือข้อใด
(1) การยอมรับการเปลี่ยนแปลง (2) การมีวิสัยทัศน์
(3) การอุทิศตัว (4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1, 2 และ 3 ถูก
ตอบ 5 ในสังคมยุคใหม่ข้าราชการต้องมีลักษณะดังนี้ 1. การตรวจซ้ำและตรวจสอบซึ่งกันและกัน 2. มีความรับผิดชอบและตรวจนับได้ 3. การอุทิศตัว 4. การยืนยันความมั่นใจและยอมรับ 5. มีวิธีการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขององค์การ 6. การมุ่งมองไปข้างหน้าหรือมีวิสัยทัศน์ 7. ยอมรับต่อการเปลี่ยน-แปลงที่เกิดขึ้น
10. การจะใช้แนวความคิดในการสรรหาแบบใหม่ (New Recruitment) หรือแบบเก่า (Traditional Recruitment) ขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคม (Value of Social) หมายถึง
(1) ขึ้นอยู่กับว่าในสังคมเขานิยมงานกับบริษัทใด
(2) ขึ้นอยู่กับว่าในสังคมเขานิยมงานกับกระทรวงใด
(3) ขึ้นอยู่กับว่าในสังคมเขานิยมงานกับภาครัฐหรือภาคเอกชน
(4) ขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้นตลาดแรงงานเป็นของนายจ้างหรือลูกจ้าง
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 3 การพิจารณาว่าจะใช้การสรรหาแบบใหม่หรือแบบเก่า ขึ้นอยู่กับ 1. ค่านิยมของสังคม โดยพิจารณาว่าเขานิยมทำงานในภาครัฐหรือภาคเอกชน 2. ค่านิยมในงาน โดยพิจารณาว่าเขานิยมทำงานในกระทรวงใด 3. ระดับตำแหน่งงาน 4. สภาพตลาดแรงงาน โดยพิจารณาว่าในขณะนั้นตลาดแรงงานเป็นของนายจ้างหรือลูกจ้าง