ลำน้ำก่ำ หรือ ลำน้ำกรรม (ตำนานฟานด่อน-หนองหานสกลนคร)
..............
ลำน้ำก่ำ หรือในตำนานอุรังคนิทานเรียกว่าลำน้ำกรรม เป็นลำน้ำขนาดเล็กที่ไหลจากหนองหานสกลนคร ไปออกแม่น้ำโขงที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม จุดเริ่มต้นของน้ำก่ำก็อยู่แถวบ้านท่าวัด อำเภอเมืองสกลนคร ซึ่งเป็นชุมชนเก่าสมัยทวาราวดีก่อนที่อาณาจักรขอมจะเรืองอำนาจเสียอีก แม้มาถึงยุคขอมชุมชนบ้านท่าวัดก็ยังสามารถรักษาความเป็นชุมชนเอาไว้ และมีการปรับเปลี่ยนแนวความเชื่อแบบพุทธศาสนามาเป็นความเชื่อตามแบบขอม (อาจเป็นมูลเหตุที่โบราณสถาน-วัตถุโบราณ สมัยทวาราวดีสูญหายไปจำนวนมาก ทั้งๆที่จุดนี้น่าจะเป็นชุมชนที่มีความสำคัญและมีความเจริญพอสมควร)
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวในโลกนี้ที่เป็นผู้มีจินตนาการ และมนุษย์มีระบบความเชื่อที่ผูกกับศาสนา ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จึงก่อให้เกิดการผูกโยงเรื่องราวเกิดเป็นตำนาน นิทาน เพื่อนำมาเล่าสู่กันฟัง ทั้งเพื่อความสนุกสนานและเพื่อกำหนดพฤติกรรมของคนในสังคมนั้นๆ
ลำน้ำก่ำ หรือ ลำน้ำกรรม ที่มีความเกี่ยวข้องกับตำนานฟานด่อน หนึ่งในสองตำนาน(ผาแดง-นางไอ่)ที่เกิดมาควบกับเมืองหนองหานหลวง
ความในตำนาน..
ขุนขอม ราชบุตรเจ้าเมืองอินทปัฐนคร ได้มาสร้างเมืองหนองหานหลวงขึ้นบริเวณท่านางอาบ(บ้านน้ำพุ-บ้านท่าศาลา) ริมหนองหาน ขุนขอมมีบุตรคนหนึ่งชื่อสุรอุทก ในวันประสูติกุมารน้อยสุรอุทกมีอัศจารรย์บังเกิดน้ำพุขึ้นริมหนองหานใกล้ๆกับเมือง ขุนขอมจึงตั้งชื่อบริเวณนั้นว่า”ซ่งน้ำพุ” (ที่ตั้งบ้านน้ำพุ อ.โพนนาแก้ว) ต่อมาเจ้าสุรอุทกมีพระชนม์๑๕พรรษา ขุนขอมบิดาก็ถึงแก่กรรม
พระยาสุรอุทกได้ขึ้นครองเมืองปกครองไพร่ฟ้าสืบมา พระองค์มีบุตร๒องค์ คือ เจ้าสุวรรณภิงคาร และ เจ้าคำแดง วันหนึ่งพระยาสุรอุทกก็เกณฑ์ไพ่พลเพื่อออกตรวจตราแนวเขตบ้านเมือง ครั้นเดินทางไปถึงปากน้ำมูนนที ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างเมืองหนองหานหลวงกับเมืองอินทปัฐนคร เสนาอำมาตย์จึงเข้ารายงานว่า..”เส้นแบ่งเขตระหว่างเมืองหนองหานหลวง กับ เมืองอินทปัฐนคร ที่ยึดถือเอาลำน้ำมูนนที ไปจรดดงพระยาไฟ นั้น ขุนขอมซึ่งเป็นพระบิดาของพระองค์ได้ตกลงกับเจ้าเมืองอินทปัฐนคร โดยมอบหมายให้ “ธนมูนนาค” พญานาคผู้มิอิทธิฤทธิ์ให้ดูแลแนวเขตนี้ต่อไป
ฝ่ายพระยาสุรอุทกได้ฟังก็ทรงพิโรธ หาว่า..ทำไมปู่กับบิดาถึงมอบให้สัตว์เดรัจฉานเยี่ยงธนมูนนาคเป็นผู้ดูแลบ้านเมืองเช่นนี้ ซึ่งเป็นการไม่บังควร เป็นการลบหลู่พระเกียรติยศ ว่าแล้วพระยาสุรอุทกก็ชักพระขันธ์ออกมาแสดงอิทธิฤทธิ์ไต่ขึ้นเหนือน้ำธนมูนนทีเพื่อเป็นการข่มขู่ธนมูนนาค
ฝ่ายธนมูนนาค ก็ไม่พอใจเช่นกันที่ถูกลบหลู่เช่นนั้น ต่างฝ่ายจึงต่างแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาข่มกันแบบไม่มีใครยอมใคร
จนเมื่อพระยาสุรอุทกเดินทางกลับเมืองหนองหานหลวง ธนมูนนาคก็ยังไม่หายเจ็บแค้น จึงเกณฑ์ไพร่พลนาคตามมา โดยสำแดงเดชให้ไพร่พลทั้งหลายกลายร่างเป็น “ฟานด่อน” สีขาวบริสุทธิ์สวยงามแก่ผู้พบเห็น ไพร่พลของธนมูนนาคได้เดินทางมาถึงบ้านโพธิ์สามต้น(ปัจจุบันคือ ต.โพธิไพศาล อ.เมืองสกลนคร) ชาวเมืองได้พบเห็นความอัศจรรย์ฟานด่อนจำนวนมาก ก็นำความกราบบังคมทูลพระยาสุรอุทกให้ทรงทราบ
พระยาสุรอุทกเมื่อทรงทราบ ก็ไม่ได้เฉลียวใจในความอัศจรรย์นั้น สั่งให้นายพรานไปจับตัวมาถวาย ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย เมื่อนายพรานพร้อมพวกเดินทางไปถึงบ้านโพธิ์สามต้น ก็เห็นฝูงฟานด่อนแทะเล็มหญ้าอยู่ ครั้นจะเข้าไปจับฝูงฟานด่อนนั้นกลับเร้นกายหายไปราวกับอยู่ในความฝัน ยังคงเหลือแต่ฟานด่อนที่ชื่อธนมูนนาคตัวเดียวที่ยังคงแทะเล็มหญ้าอยู่โดยไม่แสดงท่าทีตกใจหนีไป แต่ก็ใช่ว่าจะจับได้โดยง่าย ธนมูนนาคหลอกล่อจนนายพรานเหนื่อยก็ยังจับไม่ได้ จนมาถึงบ้านหนองบัวสร้าง(บ้านหนองบัวสร้าง ต.โพธิไพศาล ตั้งอยู่ติดกับถนนสายนาหว้า-สกลนคร) นายพรานจึงตัดสินใจใช้ปืนอาบยาพิษยิงฟานด่อนตัวนั้น
ฝ่ายธนมูนนาค เมื่อถูกยิงครั้นจะต่อสู้กับนายพรานซึ่งไม่มีฤทธิ์เดชอะไรก็กลัวจะเสื่อมเสียเกียรติยศ จึงสูบเอาวิญญาณของตนออกจากร่างฟานด่อน จากนั้นฟานด่อนก็ถึงแก่ความตาย
เมื่อฟานด่อนตายแล้ว ธนมูนนาคก็ทำอิทธิฤทธิ์ให้ฟานด่อนตัวนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนนายพรานไม่สามารถนำร่างฟานด่อนกลับไปเมืองหนองหานหลวงได้ จึงลากศพฟานด่อนตัวนั้นมาไว้ที่ริมหนองหานแล้วกราบบังคมทูลพระยาสุรอุทกให้ทรงทราบ
ฝ่ายพระยาสุรอุทกก็สั่งให้แล่เอาเนื้อไปถวาย ที่เหลือก็แบ่งกันไป นายพรานและชาวบ้านแถวนั้นพากันแล่เนื้อฟานด่อนตัวนั้นถึง๓วัน๓คืนก็ยังไม่หมด ยิ่งแล่ก็ยิ่งมากขึ้นจนคนในเมืองหนองหานหลวงได้กินกันทุกคน พระยาสุรอุทกเมื่อได้เสวยเนื้อฟานด่อนตัวนั้นแล้วก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
ฝ่ายธนมูนนาค ซึ่งยิ่งเพิ่มไฟแห่งความโกรธมากขึ้น ก็เตรียมไพร่พลนาคเข้าทำการขุดดินใต้เมืองหนองหานหลวง หวังให้ล่มเป็นหนองน้ำ การต่อสู้ระหว่างกองทัพพระยาสุรอุทก กับ ธนมูนนาค จบลงที่พระยาสุรอุทกถูกจับตัวได้ ธนมูนนาคใช้บ่วงบาศก์ที่เสกเวทย์มนต์พันธนาการพระยาสุรอุทกไว้ แล้วก็ชักลากพระยาสุรอุทกไปตามทุ่งนาป่าเขา วกไปวนมาหวังให้ได้รับความทุกขเวทนา ความลำบาก พอถึงแม่น้ำโขงพระยาสุรอุทกก็ขาดใจตาย ธนมูนนาคจึงส่งศพพระยาสุรอุทกไปยังเมืองอินทปัฐนครซึ่งเป็นเชื้อสายเดิม
หนทางที่ธนมูนนาค ชักลากพระยาสุรอุทกไปยังแม่น้ำโขงนั้นได้กลายเป็นล่องลึกและกลายมาเป็นลำน้ำ ชาวบ้านจึงเรียกลำน้ำนี้ว่าลำน้ำกรรม(ลำน้ำก่ำ ในปัจจุบัน) เพราะธนมูนนาคทรมานพระยาสุรอุทกให้ได้รับกรรมเช่นเดียวกับที่พระองค์สั่งให้คนลากร่างฟานด่อนมายังริมหนองหาน
ส่วนหนทางที่นายพรานลากฟานด่อนมาถึงริมฝั่งหนองหาน ก็เกิดเป็นร่องลึกจนกลายมาเป็น”คลองน้ำลาก” ไหลจากตำบลโพธิไพศาลมาตกยังหนองหานในปัจจุบัน
เมื่อสิ้นสมัยพระยาสุรอุทก พระยาสุวรรณภิงคารผู้เป็นโอรสองค์โตก็ครองเมืองแทน และอภิเษกสมรสกับพระนางนารายณ์เจงเวง ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์จากเมืองอินทปัฐนคร(เชื้อสายเดียวกัน) ส่วนพระยาคำแดงพระอนุชา เมืองหนองหานน้อยห้วงเวลานั้นเว้นว่างผู้ครองเมือง เสนาอำมาตย์จึงเสี่ยงทายหาเจ้าผู้ครองนคร ปรากกว่าราชรถเสี่ยงทายมาเกยที่วังของเจ้าคำแดง ณ เมืองหนองหานหลวง พระยาคำแดงจึงได้ไปครองเมืองหนองหานน้อยนับแต่นั้นมา.