ข้อมูลที่ควรทราบ เกี่ยวกับสินเชื่อ

pass11forcash profile image pass11forcash

ข้อมูลที่ควรทราบ 
เกี่ยวกับสินเชื่อและบัตรเครดิต 
........................................................... 
1.สินเชื่อเงินสด 
2.สินเชื่อส่วนบุคคล 
3.บัตรเครดิต

สินเชื่อเงินสดคืออะไร?

สินเชื่อเงินสด เป็นสินเชื่อบุคคลชนิดหนึ่งแต่ให้วงเงินสินเชื่อในรูปแบบบัตรเครดิต กล่าวคือให้วงเงินเบิกเกินบัญชีไว้จำนวนหนึ่ง การคิดอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มคิดเมื่อสมาชิกเบิกเงินออกจากบัญชี จะแตกต่างจากสินเชื่อบุคคลที่จะเริ่มคิดดอกเบี้ยทั้งก้อนทันทีที่โอนเงินเข้าบัญชีสมาชิก 
สินเชื่อเงินสด คือสินเชื่อเงินด่วนฉุกเฉิน เมื่อลูกค้าได้รับการอนุมัติเป็นสมาชิกแล้ว สมาชิกจะเบิกเงินจากวงเงินสินเชื่อเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อมีรายการเบิกเงินทางธนาคารจะแจ้งรายการเบิกเงินเป็นประจำทุกเดือนส่งให้สมาชิก เพื่อแจ้งให้ชำระ สมาชิกสามารถเลือกชำระคืนทั้งจำนวนที่เบิกไปในเดือนนั้น หรือชำระคืนเพียงบางส่วน 5% ก็ได้ เช่นเดียวกับบัตรเครดิต โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ยในส่วนที่สมาชิกยังไม่ได้ชำระจนกว่าจะชำระหมด แตกต่างจากบัตรเครดิตตรงที่สินเชื่อเงินสดไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเบิกเงินสด แต่บัตรเครดิตต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเบิกเงินสด โดยประมาณ 4% ของยอดที่เบิกรวมกับดอกเบี้ยด้วย 
การเปิดบัญชีสินเชื่อเงินสดเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งในการอำนวยความสะดวก ในกรณีฉุกเฉิน หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนที่ไม่มากนัก อีกทั้งสมาชิกสามารถนำบัตรเดบิตวีซ่าอิเลคตรอนไปใช้จ่าย ณ สถานธุรกิจร้านค้าทั่วไปที่มีสัญลักษณ์วีซ่า เช่นเดียวกับบัตรเครดิตวีซ่า หรือสามารถนำบัตรวีซ่าอีเลคตรอนไปเบิกเงินสด ณ ตู้เอทีเอ็มในเครือได้เช่นกัน นอกจากนั้นทางธนาคารยังมีเช็คให้ 10 -20 ฉบับให้ลูกค้าเซ็นสั่งจ่ายได้ตามวงเงินที่ธนาคารอนุมัติให้ด้วย 
การให้วงเงินสินเชื่อเงินสดของทางธนาคารจะให้วงเงิน 2-3 เท่าของเงินเดือนเช่นเดียวกับบัตรเครดิต แต่ทั้งนี้ถ้าลูกค้าเป็นสมาชิกบัตรเครดิตอยู่ก่อนหน้าแล้ว ทางธนาคารจะพิจารณารวมวงเงินบัตรเครดิตด้วยจะต้องไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือน เว้นเสียแต่ว่าเป็นลูกค้าที่มีประวัติชำระที่ดีมากว่า 1 ปีมาแล้วอาจจะให้วงเงินที่สูงกว่าได้ เพราะการให้สินเชื่อเงินสด เปรียบเสมือนการให้วงเงินสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มนั่นเอง 
ถ้าคุณต้องการเงินสดจำนวนหนึ่งวันนี้ สินเชื่อเงินสดช่วยคุณได้ เพราะคุณไม่ต้องมีหลักทรัพย์ใดๆ ค้ำประกัน เพียงสมัครเป็นสมาชิก และส่งเอกสารแสดงรายได้ ทางธนาคารก็จะให้อำนาจในการใช้จ่ายแก่คุณเพียงพอต่อความต้องการของคุณได้ หรือเพียงแต่คุณต้องการสำรองใว้ในกระเป๋าในยามต้องการเงินสด สินเชื่อนี้จะทำให้คุณอุ่นใจได้ กับค่าธรรมเนียมเพียง 500-1,000 บาท ต่อปี ยิ่งไปกว่านั้นทาธนาคาร แต่ละแห่งจะเสนอสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่แตกต่างกันไป 

สินเชื่อส่วนบุคคลคืออะไร?

สินเชื่อส่วนบุคคล เป็นสินเชื่อที่ให้อำนาจในการนำเงินสดก้อนหนึ่งไปใช้จ่ายตามนานาวัตถุประสงค์ของผู้สมัคร โดยลูกค้าจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งโอนเข้าบัญชีของลูกค้า ประมาณ 5 เท่าของเงินเดือน โดยที่ลูกค้าจะได้สินเชื่อดังกล่าวโดยไม่ต้องมีบุคคล หรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน 
การให้สินเชื่อส่วนบุคคลของทางธนาคารเป็นทางเลือกหนึ่งของลูกค้า ที่จะนำเงินดังกล่าวไปซื้อสินค้า ท่องเทียว การศึกษา หรือนำไปลงทุน ไม่เว้นแม่แต่ชำระหนี้ บัตรเครดิตของธนาคารเอง เพราะสินเชื่อส่วนบุคคล จะเป็นสินเชื่อเงินก้อนเดียว และชำระคืนธนาคารเป็นงวดๆ เท่ากันทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลาที่ลูกค้าต้องการ 
ข้อแตกต่างของสินเชื่อส่วนบุคคล กับสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อเงินสด ก็คือ สินเชื่อส่วนบุคคลวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารอนุมัติให้มากกว่า อัตราดอกเบี้ยที่คิดเป็นอัตราคงที่ (Flat Rate) โดยการชำระคืนเป็นงวดๆ แตกต่างจากบัตรเครดิต และสินเชื่อเงินสด ซึ่งจะคิดดอกเบี้ยในอัตราถดถอย(Decline Rate) หรือคิดจากยอดที่ค้างชำระจนกว่าจะชำระเงินต้นหมดนั่นเอง และยังสามารถใช้จ่ายได้เรื่อยๆ ตราบใดที่วงเงินสินเชื่อยังไม่เต็ม กล่าวคือเมื่อมีการชำระคืนเงินต้นเท่าใด วงเงินสินเชื่อก็ว่างมากขึ้นเท่านั้นนั่นเอง 
สินเชื่อทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนเป็นสินเชื่อที่ปลอดหลักทรัพย์และบุคคลค้ำประกัน โดยธนาคารจะพิจารณาจากความสามารถของลูกค้าในการชำระคืน หมายถึงถ้ามีเงินเดือนมากก็จะได้วงเงินมากตาม รวมทั้งมีประวัติการชำระดี หรือตำแหน่งหน้าที่การงานต่างๆ ล้วนมีผลต่อการพิจารณาให้วงเงินกับผู้สมัครสินเชื่อบุคคลทั้งสิ้น 
ถ้าต้องการสินเชื่อส่วนบุคคลเวลานี้ต้องทำอย่างไรบ้าง? แน่นอนเรื่องเอกสารประกอบการสมัครเป็นปัจจัยสำคัญ นั่นคือต้องมีสลิปเงินเดือนฉบับจริงที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 15,000 บาทต่เดือนขึ้นไป และต้องมีสมุดบัญชีที่มีเงินเดือนผ่านอย่างน้อย 3 เดือน และให้แน่ใจว่าไม่ติดประวัติการชำระเงินในฐานข้อมูล 

บัตรเครดิตดีอย่างไร?

 ****นับจากบัตรเครดิตใบแรกเกิดขึ้นในโลกมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือการใช้เป็นสัญลักษณ์ แทนการใช้เงินสด หรือธนบัตรนั่นเอง ถึงแม้บัตรเครดิตจะมีวัตถุประสงค์ในการใช้ที่แตกแยกออกไปในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปท์เดิมอยู่เช่นเดิมคือเมื่อพกบัตรเครดิตไม่จำเป็นต้องพกเงินสด และแน่นอนย่อมมีข้อดีที่แตกต่างจากการพกเงินสดแน่นอน 
ที่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน นั่นคือความปลอดภัย เพราะการถือบัตรเครดิตโอกาสสูญเสียจากการสูญหาย หรืออุบัติเหตุ หรือถูกขโมยมีน้อยกว่าการถือเงินสดมาก เพราะถ้าเงินสดหายก็หายไปเลย แต่ถ้าบัตรเครดิตหายสามารถแจ้งอายัดบัญชี และออกบัตรใหม่ทดแทนได้ 
การพกบัตรเครดิตนอกจากสามารถซื้อสินค้าแทนเงินสดได้แล้ว ยังให้มูลค่าเพิ่มในการใช้อภิสิทธิ์จากสถาบันการเงินที่ออกบัตรในการรับบริการที่แตกต่าง ได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้าในราคาพิเศษ ได้รับความคุ้มครองด้านประกันภัยโดยไม่ต้องซื้อกรมธรรม์ ได้รับของกำนัลเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรตามที่ธนาคารกำหนด และการให้สิทธิประโยชน์ในรูปแบบการใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมาย 
****การมีบัตรเครดิตแสดงถึงสถานะที่เป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจในเรื่องการเงิน จึงได้รับเครดิตจากะธนาคารให้วงเงินสินเชื่อในการใช้จ่ายผ่านบัตรก่อน โดยที่ผู้ถือบัตรไม่จำเป็นต้องมีบัญชีกับธนาคาร หรือมีเงินฝากอยู่กับทางธนาคารแต่อย่างใด และที่สำคัญผู้ถือบัตรมีโอกาสในการวางแผนการใช้จ่ายได้ด้วยตนเอง กล่าวคือวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้า และสามารถชำระคืนทางธนาคารได้ในครั้งเดียวในแต่ละเดือน และยังให้ความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นโดยการให้ผ่อนชำระต่อได้อีก 
นอกจากนั้นผู้ถือบัตรยังมีอำนาจในการใช้จ่ายจากปกติได้สูงขึ้น 2-3 เท่าที่เคยใช้จ่ายจากเงินเดือนปกติได้ นั่นแสดงถึงมีเครดิตที่สูงกว่าการใช้เงินสด แต่ในทางตรงกันข้ามการใช้บัตรเครดิตมีข้อเสียอยู่ด้วยถ้าผู้ถือบัตรใช้จ่ายผ่านบัตร อย่างไม่ระมัดระวัง กล่าวคือการใช้จ่ายเกินตัวมากเกินไปจนไม่มีกำลังในการชำระคืน หรือถ้าไม่มีวินัยในการชำระคืนจะถูกธนาคารเรียกเก็บเบี้ยปรับ และดอกเบี้ยที่สูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่น 
*****ข้อแนะนำในการถือบัตรเครดิต: 
***ให้ถือบัตรเครดิตจากสถาบันการเงินที่มีค่าธรรมเนียม หรือดอกเบี้ยต่ำที่สุด หรือมีไว้หลายธนาคารได้เพื่อสำรองไว้ในยามฉุกเฉิน แต่ควรเลือกใช้ใบที่มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด 
***ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันปกติตามความต้องการ เพียงแต่เปลี่ยนรายการใช้จ่ายจากเงินสดมาเป็นบัตรเครดิตแทน ไม่ควรใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากปกติเพราะเหตุผลเพียงว่ามีบัตรเครดิต แล้วใช้จ่ายอะไรก็ได้ ซึ่งความจริงคือเงินของเราที่จะต้องจ่ายธนาคารในอนาคตที่แพงด้วย ถ้าจ่ายตามกำหนดเวลาไม่ได้ 
***ควรจดจำรอบบัญชีบัตรเครดิตแต่ละใบให้แม่นเพราะผู้ถือบัตรจะได้ประโยชน์เรื่อง ระยะเวลาการจ่ายคืนสูงสุดถึง 15-55 วันขึ้นอยู่กับวันที่ใช้ เพราะถ้าผู้ถือบัตรใช้ช่วงต้นรอบบัญชีก็จะได้เครดิตนาน ถ้าใช้จ่ายช่วงปลายรอบบัญชีก็จะต้องจ่ายในรอบเวลาที่สั้นลง 
***หลีกเลี่ยงการรายการที่มีค่าธรรมเนียมเช่นการกดเงินสดฉุกเฉิน ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการใช้ซื้อสินค้ามากเช่น ถ้าเบิก 5,000 บาทในรอบจะเสียค่าใช้จ่ายเบิกเงินสด ประมาณ 250 บาทบวกดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในรอบอีกตามอัตราที่ทางธนาคารกำหนด และจะส่งผลต่อประวัติการใช้ที่ไม่ค่อยดีนักในระยะยาว 
****จดจำวันที่จะต้องชำระคืนธนาคารให้ได้เพราะรอบการจ่ายคืนจะใกล้เคียงกันทุกเดือน และรักษาเวลาในการชำระคืนให้ได้ ไม่ควรชำระล่าช้าเกินเวลาที่กำหนด เพราะจะส่งผลต่อประวัติการชำระไม่ดี และจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกมากในเรื่องค่าธรรมเนียมการชำระล่าช้า และดอกเบี้ย 
…………………………………………………….. 

โดนหลอกแน่นอน!! ห้ามโอนเงินให้กับผู้ที่แอบอ้างขอเก็บดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมก่อน หรือเป็นค่าดอกเบี้ยงวดแรก หรือค่าประกันต่างๆ เพราะเป็นมิจฉาชีพที่แอบอ้าง หากท่านได้ทำการโอนเงินไปก่อน โปรดเตรียมใจเอาไว้เลยว่าถูกหลอกแน่นอนครับ
ความคิดเห็น

ประกาศล่าสุดในบอร์ดเดียวกัน