นมัสเตอินเดีย...อารายๆก็อินเดีย:เรียนอินเดีย
ประมาณปี 2546 ยังจำได้แม่น เป็นปีแรกที่ผมได้มีโอกาสมาเหยียบแผ่นดินภาระตะเป็นครั้งแรก ปีนั้นจำได้ว่า ต้นตะไคร้ที่หน้าบ้าน ยังไม่ออกดอก จนกระทั่งป่านนี้ ปี 2553 ต้นตะไคร้ต้นนั้น ก็ยังไม่ออกดอก ผมเดินทางมาอินเดียในช่วงเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงที่ใครๆก็ไม่อยากจะมากัน เป็นช่วงหน้าร้อน (ไม่แนะนำให้มาอินเดียในช่วงมีนาคมถึงพฤษาคม...อากาศมันร้อนครับ คือร้อนมากหน่ะ ประมาณ 45-47 องศา ) วินาทีแรกที่ผมเดินทางมาอินเดีย บอกตามตรงนะ หากคนอินเดียคนไหนหลงเข้ามาอ่าน ผมยกมือกราบขอโทษหล่ะ หากผมพูดอะไรไม่ใช่ความจริง เดินมาหอมแก้มผมได้เลย “ทำไมคนมันเยอะอย่างนี้(ว่ะ)” มีคนทุกตรอกซอกซอย บังเอิญผมเดินทางมาลงที่โกลกัตต้า โกลกัตต้าก็เคยเป็นเมืองหลวงของอินเดีย แต่สภาพทรุดโทรมมาก รถรางก็ยังมีอยู่นะ (คำว่า รางไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) บังเอิญไวยากรณ์ภาษาไทยก็เอาคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว ภาษาไทยก็ไม่ค่อยจะแข็งแรง ภาษาอังกฤษก็ย่ำแย่ ภาษาแขกก็ไม่ได้สักกะตัว แทบจะไม่มีอะไรดีให้อวดเลย
มหาวิทยาลัยกัลกัตต้า ปัจจุบัน...ปัจจุบันเลยนะครับ มีนักศึกษาไทยมาเรียนถือว่าไม่เยอะ แต่ก็มี สำหรับท่านใดที่สนใจมาเรียนก็มาเรียนได้ครับ ลองนึกถึงกรุงเทพเมื่อประมาณสัก 50 ปีที่ผ่านมา ประมาณนั้นเลย สภาพอาคารบ้านเมือง น่าจะอยู่ในยุคนั้น สภาพการจราจร โอ๊วแม่เจ้า....ไม่อยากจะ said ปวดหัวเลย ถ้าจะให้บรรยายเรื่องสภาพถนนและการจราจร เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนก่อน เพราะไม่ว่าจะหยิบยกเรื่องไหนมา ผมนินทาได้ทุกเรื่องว่างั้นเถอะ ถนนฝุ่นตลบ ควันขโมก มือขวาปิดจมูก มือซ้ายปาดเหงื่อ ก้นเตรียมโยกตามเบาะรถ เพราะถนนไม่ค่อยดี รถแท็กซี่มีแอร์ แต่ต้องเปิดแอร์ให้เข้ามา บ้านเมืองไม่ค่อยสะอาด ส่วนห้องน้ำ นี่เลยข้างทางเพราะหากเป็นห้องน้ำสาธารณะ คือมันเข้าไม่ได้หน่ะ เพราะว่ามันโคตะระสกปรก อันนี้โดยภาพรวมนะ ไม่ต้องพูดเอาหน้า สภาพเป็นแบบไหนผมก็บอกไปตามนั้น เพราะอย่างไรก็คงไม่มีเทศบาลคนไหนมาลากคอผมไปสอบสวน เพราะผมไม่ได้เรียนอยู่เมืองนี้ เมืองที่ผมเรียนอยู่โบราณกว่านี้ วุ่นวายกว่านี้ สภาพการจราจรแย่กว่านี้ สกปรกกว่านี้ เออ...จริงๆนะ ประมาณว่ากดแตรแข่งกันเต็มท้องถนน ลองนึกสภาพดูดิว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหน ผมอยากจะนอนยันบอกคนไทยทุกๆคนว่า คนไทยโชคดีมากเลยนะครับที่เกิดที่ประเทศไทย ที่อินเดียนะ บางรัฐนะครับ เวลาประมาณสัก 4 ทุ่มไปแล้ว ไม่มีร้านค้าไหนเปิดเลย เขาปิดร้านกันตั้งแต่ 9.30 น ร้าน 7 11 ก็ไม่มี ส่วนมากก็จะทานอาหารญี่ปุ่นแทน มาม่า ไวไว ยำยำ หากใครคิดจะมาเรียน อดทนขนมาม่า(รสที่ตัวเองชอบ)มาด้วยสักกล่องสองกล่องหรือสักสามสี่กล่องก็ดีครับ เอาไว้ในยามสิ้นคิดคือไม่รู้จะกินอะไรแล้ว นี่เลย อาหารญี่ปุ่น ตกลงเขาเรียกว่าขนหรือว่าแบก