ครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสมหาวิทยาลัยในเมืองแขก ผมชอบบรรยากาศที่นี้มาก คือเต็มไปด้วยแมกไม้นานาชนิด ซึ่งแตกต่างจากนอกกำแพงมหาวิทยาลัยราวเมืองสวรรค์กับนรก จริงๆนะ มาอยู่อินเดียได้ 1 อาทิตย์ ผมไม่สบายอย่างหนัก เพราะร่างกายยังปรับสภาพไม่ได้ ตลอดจนยังไม่คุ้นกับอาหารการกิน การเป็นอยู่ในอินเดียไม่มีอะไรจะสำคัญเท่ากับสภาพภูมิอากาศและอาหารการกิน ถึงหน้าร้อนอากาศร้อนมากๆ บางเมืองก็มีของแถมมาด้วยนั่นก็คือฝุ่น ต้องหลบหนีไปอยู่เมืองที่อากาศดี เช่น ฉิมล่า ดาร์จี่ลิ่ง ธรรมศาลา เพราะเมืองเหล่านี้ เป็นเมืองพักตากอากาศ อากาศดีตลอดทั้งปีทั้งเดือนและทั้งวัน เป็นเมืองท่องเที่ยวว่างั้นเถอะ ทั้ง 3 ภพ เอ้ย ทั้ง 3 เมืองที่ผมกล่าวมาเบื้องต้น มีนักเรียนไทยอาศัยอยู่ ฉิมล่าก็มีนักศึกษาไทยในระดับมัธยมเกือบ 3 ร้อยกว่ากองกันอยู่ที่โน้น ดาร์จีลิ่งก็มีทั้งนักเรียนไทยและคนไทยที่มาเรียนภาษาอังกฤษระยะสั้นๆหรือมาเที่ยว เมืองนี้ชื่อเสียงก็คือชา อากาศน่าจะมี 2 ฤดู คือฝนและหนาว ไปอยู่ที่โน้นเกือบเดือน มีแค่สองฤดูจริงๆ ฝนและหนาว ส่วนธรรมศาลาส่วนมากเป็นนักศึกษาไทยขาจร คือไปเรียนภาษาอังกฤษกับครูฝรั่งที่มาสอนลามะ เอาไว้ค่อยพูดให้ฟังทีหลังนะครับ เรื่องธรรมศาลา
สภาพบ้านเมืองหรือตลอดจนสภาพมหาวิทยาลัยหากมีความเป็นอยู่สะดวกสบาย การกินการอยู่ไม่ลำบาก การเรียนก็ราบรื่นไปด้วย ท่านไม่จำเป็นต้องเห็นคล้อยตามทฤษฎีของผม อาจจะเป็นเพียงทฤษฎีหนึ่งที่ไม่ถูกต้องเสมอไปก็ได้สำหรับอินเดีย อินเดียเป็นประเทศกว้างและมีความแปลกประหลาดในตัวของมันเอง บางรัฐหนาวมากๆ ขณะที่บางรัฐร้อนมากๆ บางรัฐมีแต่ทะเลทราย ดังนั้นความพอดีจึงไม่มีที่อินเดีย
อย่างที่ผมได้เคยกล่าวเอาไว้แล้ว คือไม่มีที่ไหนจะเป็นสวรรค์บนดินเท่ากับเมืองไทยอีกแล้ว ของกินมีทั้งปี ไม่ว่าอยากกินอะไรก็มีให้กิน ร้านอาหารแบบจานด่วนมีให้กินทั้งกลางวันและกลางคืน ที่อินเดียพอ 4 ทุ่มแขกกินข้าวเย็นกัน พอ 5 ทุ่มก็นอนกันเกือบทั้งเมือง ตี 1 ตี 2 หากหิวขึ้นมา ก็คงไม่พ้นอาหารสิ้นคิดอีกตามเคย ต้มมาม่า เจียวไข่ คือคิดอะไรไม่ออกแล้ว ก็ต้มมาม่า เจียวไข่ อาจจะมีเมนูพิเศษขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พัดมาม่าใส่ไข่ หากเบื่อกลัวไม่มีรสชาติ ก็ต้มมาม่าใส่ไข่ ใส่ผักเท่าที่จะพอหาได้ มีรายการอาหารตั้งมากมายที่ผมเคยจดเอาไว้ในไดอารื่ ที่คิดเอาไว้ว่า หากกลับเมืองไทยจะต้องไปหากินให้ได้ พอกลับไปเมืองไทยจริงๆ อาจจะเป็นเพราะอิ่มใจที่ได้กลับมายังถิ่นมาตุภูมิหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ รายการอาหารที่จดเอาไว้ แทบจะไม่ได้กินอะไรเลย นอกจากก๋วยเตี๋ยว แต่อย่างน้อยก็ยังมีให้เลือก ก๋วยเตี๋ยวไก่ ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น น้ำเงี้ยวเย็นตาโฟ แต่อยู่อินเดีย ผมจะหากินก๋วยเตี๋ยวที่ไหน หาแขกขี้ตามท้องไร่ท้องนา ยังจะหาง่ายเสียกว่า พูดขึ้นแล้ว ก็อดเปรี้ยวปากไม่ได้ นึกถึงส้มตำอีกแล้ว
อย่างที่ผมบอกจะมีที่ไหนอีกที่เป็นเมืองสวรรค์สำหรับนักชิมเท่ากับเมืองไทย อาหารที่พอจะพบปะในชีวิตประจำวันแขกในระดับรากหญ้า เท่าที่เคยเห็นก็มีอยู่ไม่มาก ส่วนมากจะเป็นอาหารซ้ำๆกัน ไม่หลากหลายเหมือนบ้านเรา
เวลาผมนึกถึงคำพูดของรุ่นพี่ที่เคยบอกต่อกันมาเป็นรุ่นสู่รุ่น อยู่อินเดียระวังถ้าไม่หัวล้านก็ผมหงอก ไม่รู้เป็นไง ผมนึกถึงคำพูดเหล่านี้ทีไรมักจะอดขำไม่ได้ ทำไมมันถึงเป็นเฉพาะคนอยู่อินเดีย ทุกปีมักจะมีให้เห็นตลอด ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือเพื่อนๆที่มารุ่นเดียวกัน ผมหงอกและผมบาง บางคนทั้งล้านและหงอก ถือว่าเป็นความซวยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนก็บอกว่าเป็นเพราะทานกับข้าวแขกมากเกินไป อาจจะเป็นเพราะอากาศ อาหาร ก็มีส่วนทำให้หงอก ว่าก็ว่าเถอะ ผมเองก็ถอนไปเยอะแล้วเหมือนกันนะ ผมหงอก พูดเรื่องผมหงอกแล้วจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว อิอิ