In memory

piamsak599 profile image piamsak599

เมื่อวานข้าพเจ้าได้ฟังวิทยุ แบบจริงจังอีกครั้ง หลังจากที่หลายปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าไม่ค่อยมีโอกาสได้ฟังเลยนั่นอาจจะเป็นเพราะว่ามีสื่อหลายๆแขนงที่มีให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต หนังสือ สื่อวิทยุจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายของข้าพเจ้าในการเลือกรับฟัง ถ้าเป็นสมัยก่อนในตอนที่ยังวัยรุ่น สื่อวิทยุเป็นสื่อทางเลือกแรกที่วัยรุ่นในยุคนั้นให้ความสนใจเพราะตอนนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ ยังไม่มีระบบอินเตอร์เน็ต  รายการโทรทัศน์ก็มีแต่ละครน้ำเน่า  รูปแบบรายการวิทยุก็คือการขอเพลง แล้วให้ ดีเจพูดอาไรไปที่เกี่ยวกับเพลง ถ้าดีเจคนไหนมีวิธีการนำเสนอที่ดีเป็นสาระจะเป็นที่รู้จักของแฟนๆวิทยุไม่น้อยเลยทีเดียว

 

                   ในตอนที่ข้าพเจ้าต้องจากบ้านไปทำงานที่กรุงเทพนั้น ก็มีวิทยุติดตัวไปจากบ้านแค่เครื่องเดียว ก็ได้อาศัยวิทยุนี่แหละที่คอยฟังเพลงในยามค่ำคืนที่แสนเดียวดายในซอกเหงาๆของห้องพัก สมัยนั้นการขอเพลงต้องเขียนเป็นจดหมายหรือไปรษณียบัตรไปขอแล้วดีเจ ก็จะอ่านแล้วก็ตอบจดหมายออกอากาศ จดหมายบางฉบับก็ขำ บางฉบับก็เศร้า บางฉบับก็...มันเขียนไปได้อย่างไร มีอยู่คลื่นหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ฟังทุกวันเป็นเวลาเกือบสองปี คือคลื่น 93 เมกกะเฮิร์ท  ชื่อรายการ เพลงไทยคุณขอมา รายการจะอยู่ระหว่างสองทุ่มถึงห้าทุ่ม ดีเจรายการนี้พี่แกจะไม่พูดอาไรมาก ตอบจดหมายเสร็จก็เปิดเพลงแค่นั้น  แต่หลังๆมักจะมีวัยรุ่นเขียนจดหมายมาขอคำปรึกษาเรื่องต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับเรื่องความรักหรืออนาคต พี่แกก็จะมีคำตอบที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นข้อคิดที่ดี ส่วนใหญ่แกก็จะให้กำลังใจและข้อคิดในการดำเนินชีวิต มีคำคมมานำเสนออยู่บ่อยๆ 

 

บังเอิญมีอยู่วันหนึ่งพี่ดีเจแกก็อ่านจดหมายฉบับหนึ่ง ใจความประมาณว่า ตอนเรียนหนังสือชอบผู้หญิงอยู่คนหนึ่งแต่ไม่กล้าบอกความรู้สึกของตนเอง พอเรียนจบก็จากกัน ตนเองต้องมาทำงานในกรุงเทพเพราะไม่ได้เรียนต่อ ส่วนผู้หญิงก็ได้ไปเรียนต่อที่จังหวัดแห่งหนึ่ง  แม้จะจากกันแต่ก็ยังคิดถึงผู้หญิงคนนี้อยู่ ตนเองสมควรจะทำอย่างไรดีและถ้าขอเพลงให้ผู้หญิงคนนี้ พี่ดีเจจะเปิดเพลงอาไร?  ข้าพเจ้านอนฟังอยู่ก็คิดในใจ เฮ้ย!เหมือนกูเลยนี่หว่า พี่ดีเจก็บอกประมาณว่า ความรักไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต  ชีวิตมีอาไรที่ต้องทำมากกว่าเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับน้องตอนนี้ก็คือการสร้างอนาคตของตนเองให้ดี โดยการเรียนต่อในมหาลัยเปิดหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ชีวิตตนเองดีขึ้น สำหรับเรื่องการบอกความรู้สึกของตนเองต่อผู้หญิงนั้นไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเสียหายแต่อย่างใด  รู้สึกอย่างไรก็บอกไปอย่างนั้น แต่อย่าไปหวังว่าเค้าจะมีความรู้สึกที่ดีตอบต่อเรา  เค้าจะรู้สึกอย่างไรมันเรื่องของเขา เราถือว่าเราได้ทำเต็มที่แล้วดีกว่าที่จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปแล้วมาคิดได้ทีหลังว่าน่าเสียดายเราน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วไม่ได้ทำ  แล้วพี่ดีเจแกก็บอกว่า ขอเปิดเพลงนี้ให้กับน้องเพื่อนำไปมอบให้แก่ผู้หญิงที่น้องมีความรู้สึกที่ดีด้วยนะครับ  สักพักหนึ่งเสียงดนตรีท่อนแรกก็ดังขึ้น แล้วเสียงของนักร้องก็ดังขึ้น  ...อยู่ตรงไหน รู้ไว้ มีคนที่ห่วงอยู่ อยากให้รู้ ฉันรักเธอเช่นเคย... ข้าพเจ้าก็ฟังเพลงนี้ด้วยอาการของคนที่ตกอยู่ในภวังค์ ซาบซึ้ง รู้สึกอินในเพลงนี้เหลือเกิน  มารู้ทีหลังว่าเพลงนี้ชื่อ กลับมาสักครั้ง ขับร้องโดย คุณนรินทร ณ บางช้าง นั่นเอง

 

                   หลังจากฟังเพลงนี้จบ ข้าพเจ้าก็นอนคิดว่า เหมือนชีวิตเอ็งแท้  ข้าพเจ้าก็ไพล่ไปคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกที่ดีด้วย ตั้งแต่เรียนจบมัธยมข้าพเจ้าก็ไม่ได้ติดตามผลงานเท่าไหร่คิดว่าคงจบแล้ว แต่มานึกดูข้าพเจ้าก็ไม่เคยบอกความในใจต่อเธอเลย เธออาจจะสงสัยว่าข้าพเจ้าคิดอย่างไรต่อเธอก็ได้

 

                   วันต่อมาหลังจากเลิกงาน ข้าพเจ้าได้ไปที่ร้านเครื่องเขียนเพื่อซื้อกระดาษเขียนจดหมายและซองชนิดอย่างดี แบบมีกลิ่นหอม ราคาสามสิบบาท (โคตรทุ่มทุนเลย คิดดูสมัยนั้นข้าวแกงจานละ 5 บาท)  ก็เขียนความรู้สึกในใจลงไป ข้าพเจ้าใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มในการเขียนจดหมายฉบับนี้ คือขัดเกลาสำนวนภาษา เพิ่มตรงนั้นบ้าง ตัดตรงนี้หน่อย ก็อาศัยเนื้อเพลงข้างต้นเป็นแนวทางในการเขียน จนเป็นที่พอใจถึงส่งไป ในใจก็ไม่คิดอะไร คิดแค่เพียงเผยความรู้สึกจริงๆ ให้เธอรับรู้ คือให้ข้าพเจ้าเป็นแค่คนรู้จักกันของเธอก็ได้ (เศร้าชิบหาย)   ก็ไม่ได้หวังว่าเธอจะตอบจดหมายหรอก เพราะจีบเธอมาสามปีตั้งแต่ข้าพเจ้าอยู่ ม.4 จนเรียนจบ จนมาทำงานที่กรุงเทพ เคยพูดกันแค่ 2 ครั้งๆ ละไม่เกิน 10 คำ  ก็ได้แต่มอง ไม่เคยบอกเธอตรงๆสักที ตอนอยู่ ม.4 ก็ได้แต่มอง พอขึ้น ม.5 โชคดีหน่อยเจอเธอที่ป้ายรถเมล์ทุกวัน ก็ได้แต่มองอย่างเดียว จนจะปิดเทอม ลืมบอกไปเธอเป็นรุ่นพี่ของข้าพเจ้าหนึ่งปี เธอจบ ม.6 เธอต้องไปเรียนต่อที่อื่น  ส่วนข้าพเจ้าเนื่องจากความประพฤติดีมาก (ความจริงโดนตัดคะแนนความประพฤติเกิน 100 คะแนน อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องถูกเชิญออกให้ไปเรียนที่อื่น) แต่โรงเรียนยังเมตตาอยู่จึงให้บวชสามเณรภาคฤดูร้อนที่วัดแห่งหนึ่ง คือตอนนั้นเวลาแห่งชะตากรรมของข้าพเจ้าเดินทางมาถึงทางแยกของคำร่ำลากับเธอแล้ว  ก็ไม่มีอะไรมากข้าพเจ้าก็เขียนจดหมายหนึ่งฉบับพร้อมของขวัญหนึ่งอย่างคือสมุดบันทึกนำไปมอบให้กับเธอด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าได้แค่ถามเธอว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน และพูดกับเธอว่า โชคดีนะ ลาก่อน ก็คิดว่าคงจะไม่ได้พบกับเธออีก เพราะเธอไปเรียนต่อที่อีกจังหวัดหนึ่ง  ก็เลยห่างๆ กันไป แต่ข้าพเจ้าก็คิดถึงเธอตลอด พอถึงวันเกิดเธอและวันวาเลนไทน์ ข้าพเจ้าก็จะเขียนจดหมายและของขวัญส่งไปให้เธอ เราก็พบกันบ้าง เพราะเธอกลับมาบ้านเดือนละสอง-สามครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยนั่งรถข้ามจังหวัดนำของขวัญไปให้เธอถึงสถาบันที่เธอศึกษาอยู่ เธอก็แสนดี ออกมารับของขวัญที่ข้าพเจ้านำมาให้  พอเธอรับของขวัญจากข้าพเจ้าเสร็จก็มีเพื่อนชายของเธอขี่มอเตอร์ไซค์มา ข้าพเจ้าสบตากับเพื่อนชายของเธอ และก็หันไปหาเธอ เธอก็พูดว่า ไปหละ ข้าพเจ้าก็พยักหน้าและก็หันไปมองหน้าเพื่อนชายของเธออีกครั้ง และข้าพเจ้าก็พยักหน้าพร้อมทั้งยักคิ้วให้ เพื่อนชายของเธอก็พยักหน้าตอบ ความหมายที่เราทั้งคู่สื่อสารถึงกันก็คือ มึงกับกูเจอกันที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้  (โคตรเก่งเลยตอนนั้น) และเธอก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปกับเพื่อนชายของเธอแบบหน้าตาเฉย  ต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าก็ได้แต่มองตามจนเธอหายลับตาไป ได้แต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า แม่งเอ้ย จะหาคนหล่อๆกว่าเอ๋งก็ไม้ได้น้อ  พอเดินมาสักพักข้าพเจ้าเริ่มมีอาการจุก มือสั่น ใจสั่น ปวดหัวใจ เรี่ยวแรงไม่มีจะเดิน ก็ได้รับรู้ว่า อ๋อ คนอกหักมันอาการเป็นอย่างนี้นี่เอง ขณะที่เดินคอตกจากสถาบันการศึกษาของเธอไปที่ท่ารถ พลันสายตาข้าพเจ้าก็ไปกระทบกับกระป๋องโค้กซึ่งวางอยู่ข้างทาง ไม่ฟังเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าวิ่งเข้าไปง้างเท้าซ้ายหวดกระป๋องใบนั้นทันที แน่นอนไม่มีคำว่าพลาด มันลอยโด่งไปตกเสียไกล ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็พยายามตัดใจจากเธอ ก็กำลังจะลืมเธอไปแล้ว จนเรียนจบไฮสคูลแล้วมาทำงาน  จนกระทั่งได้ฟังรายการวิทยุที่ว่า จึงเกิดแรงบันดาลใจอยากสื่อสารถึงเธออีกครั้ง

 

                   หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ข้าพเจ้าได้รับจดหมายตอบจากเธอ เป็นซองจดหมายและกระดาษเขียนจดหมายอย่างดีสีฟ้า ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก อ่านไปอ่านมาสิบกว่ารอบ จับใจความได้ว่า เธอไม่อาจรับความรู้สึกที่ดีของข้าพเจ้าที่มีต่อเธอได้เพราะเธอมีใครบางคนอยู่แล้ว ข้าพเจ้านึกถึงไอ้หน้าลาวคนนั้นขึ้นมาทันที คิดในใจว่า แมร่งเอ้ย ถ้าหล่อกว่าเฮา เฮาสิบ่ว่าซักคำเลย แต่ว่าข้าพเจ้ากับเธอสามารถเป็นเพื่อนกันได้ (โคตรฮิตเลยเราเป็นเพื่อนกันเถอะ) ตอนท้ายเธอบอกว่าประมาณเดือนธันวาคม สถาบันของเธอจะเข้ามาแข่งกีฬาที่กรุงเทพ ถ้าอยากเจอเธอก็มาหาเธอได้ที่สนามกีฬาแห่งชาติ (ศุภชลาสัย) แต่เป็นความงี่เง่าบวกความโง่เขลาของข้าพเจ้าเองที่ไม่สามารถหาทางไปสนามกีฬาแห่งชาติได้  เพราะมีหัวหน้างานของข้าพเจ้าคนหนึ่งบอกว่าไกลมาก  ข้าพเจ้าอยู่แถวลาดกระบังตอนนั้น เค้าบอกว่าอยู่แถวมาบุญครอง ต้องต่อรถไปอีกไกล ข้าพเจ้ามารู้ทีหลังว่าอยู่ติดมาบุญครองเลยเดินไปก็ถึง  ก็เลยไม่ได้ไปหาเธอ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับตัวเธออีกเลย ก็กินแห้วไปตามระเบียบ ภาษาฝรั่งเค้าว่า“Gone With The wind” แปลเป็นไทยว่า เธอหายไปกับสายลม แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามันน่าจะมีความหมายว่า โดนหมาคาบไปแดกแว้วววว

ความคิดเห็น

ประกาศล่าสุดในบอร์ดเดียวกัน

piamsak599 Icon In memory อ่าน 225 3 ปีที่ผ่านมา
3 ปีที่ผ่านมา
4 ปีที่ผ่านมา
4 ปีที่ผ่านมา
5 ปีที่ผ่านมา
5 ปีที่ผ่านมา