ปิดหลักสูตรปริญญาตรี(ต่อเนื่อง)พัฒนาหรือทำลายระบบการศึกษาสายวิชาชีพ
ตฤณ ดิษฐลำภู คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)หรือทบวงมหาวิทยาลัยเดิม มีกรอบความคิดที่จะปิดหลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) ของสถาบันอุดมศึกษาสายวิชาชีพมาหลายยุคสมัย ด้วยเหตุผลต้องการให้เป็นมาตรฐานเดียวกับหลักสูตรปริญญาตรีทั่วไป ที่รับนักศึกษามาจากสายสามัญที่ขึ้นตรงกับสกอ.มาโดยตลอด กระทั่งสถาบันอุดมศึกษาสายวิชาชีพต่างๆ ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นมหาวิทยาลัยเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ต้องขึ้นตรงต่อ สกอ. กรอบความคิดเดิมจึงถูกนำมาปฏิบัติเชิงเผด็จการ โดยออกคำสั่งปิดหลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) ทุกสถาบันอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 ให้มีผลบังคับตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 เป็นต้นไป และยังให้คำแนะนำแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายชินวรณ์บุณยเกียรติ ออกคำสั่งปิดหลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) ตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 เป็นต้นไป สั่งเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2553 โดยให้สถาบันอุดมศึกษายังสามารถรับนักศึกษาระดับ ปวส. หรืออนุปริญญาเข้ามาศึกษาในระดับปริญญาตรีได้ โดยการเทียบโอนผลการเรียนระดับปริญญาเข้าสู่การศึกษาในระบบ เมื่อมหาวิทยาลัยได้ปฏิบัติตามแนวนโยบายของ สกอ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแล้วได้เกิดความยุ่งยากและสร้างความเดือดร้อนและภาระแก่นักศึกษา รวมไปถึงครอบครัวอย่างมากมาย กล่าวคือ หลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) เป็นการศึกษาสายวิชาชีพ ที่เปิดรับนักศึกษาสายวิชาชีพระดับ ปวส.คืออนุปริญญาหรือเป็นปริญญาตรีปีที่ 1 และ 2 เรียนมาประมาณ 100 หน่วยกิต แล้วเข้าศึกษาต่อยอดอีก 2 ปี ในหลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) ก็คือปีที่3 และ 4 ของมหาวิทยาลัยทั่วไปอีกประมาณ 74-86 หน่วยกิต รวมเป็น 174-186 หน่วยกิต จึงได้รับวุฒิปริญญาตรีในสายวิชาชีพนั้นๆ ในขณะที่หลักสูตรปริญญาตรีทั่วไปของมหาวิทยาลัยเรียนประมาณ140-150 หน่วยกิตเท่านั้น เมื่อ สกอ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสั่งปิดหลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) นักศึกษาปัจจุบันต้องนำผลระเบียนการเรียนในระดับ ปวส. 100 หน่วยกิต มาเทียบรายวิชากับหลักสูตรปริญญาตรีปกติที่ถูกสร้างขึ้นตามกรอบแนวคิดของ สกอ. และคุรุสภาจำนวน 170 หน่วยกิตเป็นตัวตั้ง หากวิชาใดตรงกัน3 ใน 4 ของคำอธิบายรายวิชาก็สามารถเทียบได้คือไม่ต้องเรียนในรายวิชานั้น แต่ถ้าได้เกรด D มาก็เทียบไม่ได้ เมื่อเทียบแล้วปรากฏว่านักศึกษาที่เทียบได้มากสุดคือ จำนวน 30 หน่วยกิต จึงต้องลงทะเบียนเรียนในรายวิชาที่เทียบไม่ได้ที่เหลืออีก 140 หน่วยกิตกว่าจะได้รับวุฒิปริญญาตรี (4 ปี) ต้องเรียนถึง 240 หน่วยกิต นักศึกษาอีกจำนวนมากที่เทียบได้เพียง 2 วิชาคือ 6 หน่วยกิต จึงต้องเรียนในหลักสูตรหลักเกณฑ์ของ สกอ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถึง164 หน่วยกิต กว่าจะได้รับวุฒิปริญญาตรี (4 ปี) ต้องเรียนถึง 264 หน่วยกิต และต้องใช้เวลาในสถานศึกษาจากเดิม 2 ปี เป็น 3-4 ปี ต้องเสียค่าลงทะเบียน ค่าบำรุงการศึกษา ค่าหน่วยกิต ค่าเบี้ยใบ้รายทางที่มหาวิทยาลัยต่างๆ สรรหาขึ้นเป็นกฎข้อบังคับเก็บเงินนักศึกษาอีกมากมายหลายกรณี หลายกิจกรรม นี่คือความทุกข์และเดือดร้อนของนักศึกษา ปวส.รวมไปถึงทางครอบครัวของนักศึกษา ปวส.ทั้งหมดทั่วประเทศ รวมทั้งแรงงานภาคอุตสาหกรรมเกษตรกรรม ราชการ และรัฐวิสาหกิจทั้งปัจจุบันและอนาคตนับแสนนับล้านคน ใครจะเข้ามาเรียนศึกษาต่อยอดเพื่อเป็นบัณฑิตให้เสียเวลาและสิ้นเปลืองอย่างมากมาย จึงเป็นการขาดโอกาสพัฒนาศักยภาพแรงงานทุกภาคส่วนไป อันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการกระทำของ สกอ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน ที่ต้องจดจำไว้ชั่วลูกชั่วหลานดังเคยปรากฏมาทุกยุคสมัยที่นักการศึกษาระดับชาติได้เปลี่ยนแปลงนโยบายทางการศึกษา ด้วยอ้างพัฒนาคุณภาพและภูมิปัญญา แต่ผลที่ปรากฏกลับกลายเป็นเยาวชนในปัจจุบัน คิด อ่าน เขียน และแก้ปัญหาไม่เป็นดังปรากฎ ความสำคัญของหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม ปี พ.ศ.2479 รัฐบาลมีนโยบายให้เปิดสอนวิชาชีพแก่เด็กไทย แต่ยังไม่มีโรงเรียนสอนสายวิชาชีพปี พ.ศ.2480 กระทรวงศึกษาฯจึงเรียกครูวุฒิสามัญจำนวน 552 คน มาฝึกวิชาชีพทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อเปิดโรงเรียนอาชีวศึกษาขึ้นตามจังหวัดต่างๆ พ.ศ.2491 รัฐบาลจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูอาชีวศึกษาขึ้นในวังรพีพัฒน์เทเวศร์ (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร) เพื่อฝึกหัดครูช่างขึ้นเป็นแห่งแรก พ.ศ.2502 รัฐบาลได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลเยอรมนีจัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคพระนครเหนือขึ้น (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ) และจัดตั้งวิทยาลัยเทคนิคธนบุรี (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) จัดตั้งวิทยาลัยโทรคมนาคม(ปัจจุบันคือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) พ.ศ.2514 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังได้เปิดสอนหลักสูตรปริญญาครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิตขึ้นพ.ศ.2518 วิทยาลัยครูอาชีวศึกษาเทเวศร์ เปิดโอกาสให้นักเรียนระดับ ปวส.ได้เข้าศึกษาต่อยอดเป็นบัณฑิตในหลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) สายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาคปฏิบัติการ คือคณะวิศวกรรมเทคโนโลยี มี 2 ภาควิชา คือภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์และภาควิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรม เพื่อขยายโอกาสทางอาชีวศึกษายกระดับช่างฝีมือ และช่างเทคนิคขึ้นเป็นวิศวกรปฏิบัติการ และครูช่างสายวิชาชีพต่างๆออกไปปฏิบัติอาชีพวิศวกรภาคสนามและสายการผลิตที่มีทักษะฝีมือในการใช้และซ่อมเครื่องจักรกลต่างๆโดยไม่เน้นวิทยาศาสตร์และการคำนวณชั้นสูง เหมือนหลักสูตรในมหาวิทยาลัยทั่วไป ส่วนการยกระดับช่างฝีมือและช่างเทคนิคขึ้นเป็นครูช่างออกไปปฏิบัติอาชีพเป็นครูช่างตามวิทยาลัยเทคนิคทั่วประเทศ เพื่อผลิตช่างฝีมือระดับ ปวช. และ ปวส.อย่างมีคุณภาพเป็นที่ประจักษ์มาตลอด 35 ปี ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร(วิทยาลัยครูอาชีวศึกษาเทเวศร์เดิม) เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิต(หลักสูตร 5 ปี) โดยรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.6) และ ปวช.เข้ามาศึกษา เป็นหลักสูตรหลักตามกำหนดของ สกอ. แต่การสั่งปิดหลักสูตรปริญญาตรี(ต่อเนื่อง) อันเป็นหลักสูตรหลักมาตลอด 35 ปี ที่เคยรับช่างเทคนิคจากภาคอุตสาหกรรม และนักศึกษาปวส.เข้ามาศึกษาต่อยอดอีก 2 ปี เพื่อเป็นครูช่างและวิศวกรปฏิบัติการทิ้งไป โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายได้ว่าหลักสูตรดังกล่าวได้สร้างความเสียหายอะไรขึ้นบ้าง นอกจากอ้างเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกับหลักสูตรที่รับนักเรียนชั้น ม.6 เข้ามา ซึ่งได้สร้างความเสียหายต่อนักศึกษาและระบบการจัดการศึกษาสายวิชาชีพอย่างหนัก จึงเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 26 มาตรา 30 มาตรา 50 และมาตรา 80 (3) แล้ว ยังก้าวล่วงพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มาตรา 15 (1)และวรรคห้า วรรคหก มาตรา 19 มาตรา 28 มาตรา34 วรรคสอง และมาตรา 36 วรรคสอง และก้าวก่ายการบริหารงานตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ.2548 มาตรา 7 และมาตรา 38 (3) อีกทั้งไม่นำพาต่อประกาศกระทรวงศึกษาธิการในราชกิจจานุเบกษา เรื่องเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี พ.ศ.2548 ข้อ 7.4 และวรรคสอง ข้อ 8.2.4 และข้อ 8.3 วรรคสอง เกี่ยวกับการให้เปิดหลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) และที่สำคัญการประกาศปิดหลักสูตรปริญญาตรี(ต่อเนื่อง) ของ สกอ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการครั้งนี้ เป็นการทำลายกรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2551-2565)ของ สกอ.เสียเอง กล่าวคือ ในแผนได้ระบุชัดว่าให้อุดมศึกษาร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมรายสาขาเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคน ให้เปิดรับผู้จบอาชีวศึกษาสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้ด้วยความยืดหยุ่น เร่งผลิตครูช่างต่อยอด ฯลฯ แล้วยังแสดงแนวคิดเผด็จการเบ็ดเสร็จโดยไม่ฟังมติของนายกสภาวิชาชีพต่างๆ จำนวน 14 องค์กร อาทิ สภาการศึกษาแพทยสภา สภาสถาปนิก เนติบัณฑิตสภา สภาทนายความ สภาเภสัชกรรม สภาวิศวกรรม สภาการพยาบาล ฯลฯ ที่มีความเห็นสอดคล้องว่า หลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) ยังมีความสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาคนและพัฒนาประเทศชาติ ดังนั้น การใช้อำนาจหน้าที่ทางราชการของ สกอ.และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในครั้งนี้ จึงเป็นการละเมิดทางการปกครองอีกด้วย !!
--มติชน ฉบับวันที่ 6 ก.ย. 2553 (กรอบบ่าย)--