บันทึกเหตุการณ์ประจำวันของครูวิด

guest profile image guest
บอร์ดนี้สำหรับครูวิดบันทึกเท่านั้นนะครับ ทุกคนสามารถอ่านดูได้ ไม่เป็นความลับครับ
ความคิดเห็น
guest profile guest

กิน กาม  เกียรติ จะบั่นทอนลงไป เมื่อข้าพเจ้ามีอายุมากขึ้นและร่างกายเหี่ยวย่น เสื่อมสลายไปตามอายุขัยของมนุษย์ 
ข้าพเจ้าจะใช้ชีวิต จิตใจและร่างกายที่มีอยู่สร้างสมบุญบารมีและความดีงามให้มากที่สุดก่อนจะแตกดับ
ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจแล้วว่า เมื่อถึงวาระหนึ่งของชีวิต ทำไมเจ้าชายสิตทัตถะจึงมีความคิดออกบวช  ......สละชีวิตทางโลกเข้าหาทางธรรมและดับขันธ์ปรินิพพาน สละทางโลกวัย 29  ตรัสรู้ 35  เผยแผ่เป็นเวลายาวนาน 45 ปี จนร่างกายเสื่อมสลายไปตามอายุขัยวัย 80 นิพพาน พระองค์เป็นต้นแบบในการใช้ชีวิตความเป็นมนุษย์ของชาวพุทธ  เป็น ไอดอลของข้าพเจ้า...... สุดยอดมาก ธรรมบททุกถ้อยคำเป็นบทสอนให้มนุษย์นำมาปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด....อริยสัจ 4  ทุกข์ สมุห์ทัย นิโรธ และมรรคมีองค์ ๘
....ทำดี ละชั่ว และทำใจให้บริสุทธิ์ ....  สะอาด สว่าง สงบ 
มนุษย์มี สี่จำพวก บัวสี่เหล่าที่อยู่ ในตม  ในน้ำ   เสมอน่้ำและพ้นน้ำ  หรือ มืดมามืดไป  มืดมาสว่างไป  สว่างมามืดไป   สว่างมาสว่างไป  สำหรับข้าพเจ้าแล้วคงเป็นทั้งสี่จำพวก เพราะในวาระหนึ่งของชีวิตนั้นไม่มีความรู้ทางธรรมไม่ปฏิบัติธรรม...ถือว่าอยู่ในตม  พอโตขั้นมาหน่อยได้ศึกษาธรรมบ้างมีความรู้ขึ้นมาบ้าง...ถือว่าอยู่ในน้ำ  ต่อมาได้เข้าใจธรรมะบ้างอยู่เสมอน้ำ และข้าพเจ้าจะรอระยะเวลาที่พ้นน้ำในวาระก่อนตาย หรือ.....อาจจะไม่มีโอกาสเข้าใจธรรมะอย่างแจ่มแจ้งก็เป็นได้....แต่ไม่ว่าอย่างไร  มนุษย์เลือกได้ ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ก็ย่อมเลือกได้ว่าจะอย่างไร  ข้าพเจ้าจะเลือกสว่างไปแม้จะมืดมาก็ตาม....ดังนั้นมืดมาสว่างไปจึงเหมาะที่ข้าพเจ้าจะเลือกเป็นมนุษย์ในชาตินี้  ตายไปจะไม่เสียดายชาติเกิด
......เสียดายชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ไม่ทำดี ละชั่ว และทำใจให้ผ่องใส...

guest profile guest

เพียงแค่คิด...ชีวิตก็เปลี่ยน
ความคิดมีอำนาจ

guest profile guest
เสาร์ 11 ธันวาคม 2553 (2895)18.18
   วันนี้สอนคณิตศาสตร์ม.3 โครงการวันเสาร์  ติวโอเนตได้2 ข้อ
ทำกิจกรรม มาสเตอ์โลจิก และซูโดกุ และคิดเลขเร็ว
    นักเรียนส่วนมากไม่ค่อยชอบคิดด้วยตัวเอง  ข้าพเจ้าจึงทำหน้าที่ผู้ชี้แนะแนวทางและให้นักเรียนคิดได้ด้วยตัวเอง
บอกกับนักเรียนเสมอว่า  แต่ละโจทย์คิดยังไง  ต้องมีความรู้อะไร  และเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ยังไง  แก้ปัญหาตามลำดับขั้นอย่างไร
 ข้าพเจ้าไม่ต้องการบอกวิธีคิด  แต่จะกระตุ้นให้นักเรียนคิดไปด้วยกัน การคิดสำคัญที่สุด  ตรงนี้แหละเป็นการสอนให้นักเรียนคิดแก้ปัญหา คิดผิดหรือคิดถูกไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  สำคัญอยู่ทีว่า นักเรียนจะกล้าคิดหรีอเปล่า   นักเรียนชอบคิดหรือเปล่า  ...การสอนแนวใหม่ของเรา...จะเน้นให้นักเรียนคิดด้วยตัวเอง  ...แค่คิดก็เริ่มฉลาดแล้ว...คิดได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่อง
    มีเด็กชายนิติศักดิ์คนเดียวที่คิดมาล่วงหน้า ส่วนนักเรียนคนอื่นไม่คิดมาล่วงหน้าเลย  ทำให้บทเรียนไปอย่างล่าช้า นักเรียนไม่ทำการบ้านมาเลย   ทั้ง ๆที่ ข้อสอบอยู่กับตัวเองตั้งหลายวันแล้ว
วันนี้ข้าพเจ้าจึงมอบหมายว่า ให้นักเรียนไปเฉลยข้อสอบโอเนตมาทุกข้ออนุญาตให้เดาได้และตรวจเก็บคะแนนเป็นคะแนนPre-test ในวันเสาร์หน้า  สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องเตรียมก็คือ
1. กระดาษคำตอบ Pre test ของนักเรียนทั้งหมด
2. เฉลยคำตอบทุกข้อและเก็บคะแนนก่อนเรียน

จากนั้นก็เริ่มเฉลยข้อสอบไปทีละข้อจนครบโอเนต 2ปี

ข้าพเจ้าไม่ค่อยสดชื่น  สอนไม่ค่อยมันส์เลย เมื่อคืนนอนตี 3 เพื่อเตรียมข้อสอบโอเนตสอนนักเรียน

คราวหน้าจะไม่นอนตี 3 อีกแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ
เต็มที่ก็ควรนอนตี 1 และตื่น 6 โมงเช้า นอน 5 ชั่วโมงก็พอ
ระวังสุขภาพเสื่อม


guest profile guest
ความเรืองปัญญาและคุณธรรมคือมาตรฐานคุณภาพบัณฑิตครุศาสตร์จุฬาฯ
เกียรติภูมิจุฬาฯคือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน
ครูคือเทียนที่เผาละลายตนเองลง เพื่อให้ความสว่างแก่ศิษย์
อย่าลืมคำทำเพื่อตนหรือชนชาติ
และอย่าลืมคำปฏิญาณตนเป็นบัณฑิตที่ดีต่อหน้าพระพักตร์พระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล และต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระเทพรัตนฯ ในวันรับพระราชทานปริญญาบัตรนิสิตจุฬาฯและอย่าลืมคำปฏิญาณตนเป็นข้าราชการที่ดีต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชในวันพิธี ๕ ธันวามหาราช


.....เกียรติก้องเกริกไกร ครุศาสตร์ปราชญ์จุฬาฯ....
guest profile guest

(2924)
6.30-18.00 เมื่อวานนี้เหนื่อยมาก......สงสารเทพพิทักษ์ที่ถูกรุมทำร้ายจากเพื่อนๆ  และได้ตัดคะแนน ทัณฑ์บนนักเรียนกลุ่มนั้นแล้ว ขอให้เทพพิทักษ์สบายดีสุขภาพแข็งแรงเข้มแข็งต่อไป ขอบคุณที่อภัยให้เพื่อนๆเสมอ และขอให้เทพทั้งหลายช่วยพิทักษ์รักษาศิษย์คนนี้ด้วย
       เหนื่อยเพื่อแผ่นดิน....ถ้าตายก็ไม่เสียดายชีวิต ...

guest profile guest

    ข้าพเจ้าจะเป็นปราชญ์จุฬาฯ  เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ที่มีวินัยในตนเองเป็นนักวิชาการ และเป็นครูนักการศึกษาที่เที่ยงธรรมเพื่อประเทศไทยตลอดไป  ชั่วฟ้าดิน

guest profile guest

คาบ 8 วันนี้ซ้อมเชียร์  สีม่วง สนุกดีเป็นสีสันของโรงเรียน
คาบว่าง เดินตรวจพบนักเรียนหนีเรียน หลายคน  เตื่อนให้ทำอนาคตของตัวเองให้สำเร็จ  อย่ามัวแต่ไร้สาระ  ยิ่งเรียนยิ่งไร้สาระไม่ได้เด็ดขาด  ยิ่งเรียนต้องยิ่งฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ มีความจริงจังในชีวิต   สงสารนักเรียนกลุ่มวิษณุจังเลย  ถ้าไม่เรียนจบม.3จะทำอะไรกิน เมื่อวันจันทร์พบ สุธิพงษ์ และวันเฉลิม   ยิ้มไหว้ทักทาย  เขามาเยี่ยมเพื่อน ๆ เขาคิดถึงเพื่อนๆ  เขาบอกว่าเขาอยากเรียน   แต่คงเรียนไม่ได้แล้ว แนะนำว่าให้เรียนต่อ กศน.   เราอดสงสารลูกศิษย์ไม่ได้   เป็นห่วงอนาคตของเขาจังเลยว่าจะเป็นอย่างไร...
ยังไงเขาก็เป็นเด็ก.....เด็กที่ไม่ดี ก็มีสาเหตุ 3  อย่าง 1. โรงเรียน 2. บ้าน และ 3 สังคมชุมชนรอบตัวสื่อด้วย
ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเกิดมาจากข้อ 3  สังคมบางบ่อถ้าไปดูสองข้างทางไปตลาดมีแต่อบายมุขทั้งนั้น....มีผู้ใหญ่บางคน วัยทำงาน ทำตัวแย่ ๆให้เด็ก ๆ ของเราเห็น เช่น สูบบุหรี่  กินเหล้า เสพอบายมุข มัวเมาในกิเลส  จนทำให้เด็กของเราเลียนแบบ  เด็กบางคนหัวอ่อนเชื่อคนง่าย ชักจูงได้ง่ายก็ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ใหญ่ใจร้ายบางคนตกเป็นเครื่องมือบำรุงกิเลสของผู้ใหญ่อันธพาล
สงสารเด็กจังเลย   ข้าพเจ้าคิดว่า เด็กไม่ได้แย่โดยสันดาน แต่น่าจะแย่มาจากแบบอย่างที่ไม่ดีของผู้ใหญ่มากกว่า

guest profile guest
หากเรามุ่งเรียนสูง ๆ เอาความรู้มาก ๆ คอยแต่แสวงหาตำแหน่งแย่งกันเป็นใหญ่มีบัณฑิตเต็มบ้านเต็มเมือง แต่บ้านเมืองยังเดือดร้อนเพราะมากด้วยจอมโจรบัณฑิตหรือจอมโจรเสื้อครุย
                                     (สมณโพธิรักษ์)
guest profile guest

ครูนั้นเป็นแม่แบบ เป็นต้นแบบ เป็นแม่ปู ถ้าเราฝึกครูออกมาได้ไม่ดีครูไม่สามารถเดินตรงได้ เราก็เชื่อแน่ได้ว่า เราไม่สามารถให้นักเรียนเดินตรงได้
                                    

guest profile guest

อยากให้ชาติของเรามีอนาคตดี โรงเรียนดี ครูดีต้องช่วยให้มีมากๆ                                    

guest profile guest

ค่าของความรู้อยู่ที่มีไว้และใช้ให้เกิดประโยชน์        

guest profile guest

ความรู้ขาด ความสามารถไม่มี  ความดีไม่อยู่ เป็นยอดครูไม่ได้        

guest profile guest

ครูไม่ใช่ผู้รับจ้างสอนหนังสือกิน ครูไม่ใช่ลูกจ้างสอนหนังสือเลี้ยงชีวิต ครูต้องเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณ(พุทธทาสภิกขุ)        

guest profile guest
เดี๋ยวนี้ครูบางคนทำนาบนหลังเด็ก ทำนาบนหลังผู้ปกครอง หาทางคดโกงคอรัปชั่นเพราะครูเห็นแก่เงิน ครูจึงเปิดประตูทางวิญญาณเป็นผู้นำทางวิญญาณให้เด็กไม่ได้(พุทธทาสภิกขุ)

          
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่านพุทธทาส  สิ่งที่ท่านพูดไว้ตรงความเป็นจริงมาก  ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการครู ได้เห็นสภาพชีวิตของครู การดำรงชีวิตของครู  ครูบางคนมีทั้งดีและเสียในคนคนเดียวกัน   ข้าพเจ้าได้เข้าไปอ่านกระทู้ความเห็นของคุณครูทั่วประเทศไทย  ได้รับทราบความรู้สึกของครูหลาย ๆคน ก็ไม่สบายใจที่ครูเป็นคนเห็นแก่ได้  เห็นแก่เงิน มีการประท้วงจะเอานั่นเอานี่  ข้าพเจ้าในฐานะที่อยู่ในวงการครู วงการศึกษา รู้สึกละอายแทนครูเหล่านั้น  ครูเป็นอาชีพทีเสียสละไม่ใช่หรือ  ครูเป็นอาชีพบุญไม่ใช่หรือ  

     จะขอพูดเรื่อง เงินเงินของครู
     ข้าราชการครูมีรายได้สองอย่าง
   1. เงินเดือน
2. เงินวิทยฐานะ

   
เงินเดือน  ให้เพื่อ   ใช้จ่ายเพื่อการเลี้ยงชีพ ดำรงชีวิต ซื้อข้าวกินประทังชีวิตให้อยู่รอด  รวมทั้งปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต

    เงินวิทยฐานะ ให้เพื่อ เอาไปใช้ทำบุญ สร้างสาธารณกุศล  สร้างโรงเรียน
บำรุงนักเรียน
ให้เพื่อที่ครูจะเอาไปทำบุญสร้างบารมีให้กับตัวเองก่อนจะสิ้นลมหายใจ ยังมีเด็กในโรงเรียนของเราจำนวนมากที่ขาดเงิน ยังยากจนอยู่ ดังนั้นครูต้องเอาเงินส่วนนี้ไปช่วยเหลือนักเรียน 

   แต่ครูบางคนใช้เงินผิดวัตถุประสงค์  และคิดเอง เข้าใจเองว่า เงินวิทยฐานะ ถือเป็นเงินเดือน  จึงเอาไปใช้เพื่อการเลี้ยงชีพทั้งหมด  ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายโอกาสของความเป็นข้าราชการครู   ครูยังไม่เข้าใจว่า  เงินวิทยฐานะทุกบาททุกสตางค์ที่ครูได้รับมาเป็นเงินภาษีประชาชนทั้งประเทศให้เพื่อความเป็นศักดิ์ศรีของครู  ทุกคนเชื่อว่า คศ. 2 คศ. 3 คศ.4 คศ. 5  มีศักดิ์ศรีเป็นครูที่น่าเชื่อว่าจะเป็นครูที่ดี ครูที่แท้จริง  แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสียทั้งหมด   ครูบางคนนำเงินวิทยฐานะมาทำลายศักดิ์ศรีของตัวเอง นำเงินไปบำรุงบำเรอกิเลสของตัวเอง นำเงินวิทยฐานะไปใช้ในทางเสื่อม ทางอบาย  สร้างบาปให้กับตัวเอง  ....ช่างน่าสงสาร...ช่างน่าเสียดายโอกาสที่ดีของความเป็นข้าราชการครู  ครูหลอกลวงตัวเอง  โกหกตัวเอง โกหกคนอื่น  ครูบางคนไม่ซื่อสัตย์

   คำว่า  ครูชำนาญการ  ครูชำนาญการพิเศษ  ครูเชี่ยวชาญ หรือครูเชี่ยวชาญพิเศษ  ต่างได้รับเงินวิทยฐานะจำนวนมหาศาลในแต่ละเดือน  เงินมหาศาลเหล่านั้น ถูกครูเอาไปใช้ตามอำเภอใจ   ใช้สิทธิ์ของครูเต็มที่
  
     ทำไมไม่ให้โรงเรียนเก็บเงินวิทยฐานะเหล่านั้นไว้เป็นกองกลางของโรงเรียน   ตั้งเป็นกองทุนช่วยเหลือนักเรียนยากจน  เป็นทุนนักเรียนเรียนดี  ไว้ซ่อมแซมอาคารสถานที่ หรือสร้างอาคารเรียนดีดีให้นักเรียนอาศัย  เอาไปซื้อต้นไม้มาแปลูกเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มออกซิเจนในโรงเรียน  จะได้ไม่ต้องแย่งกันหายใจ ไว้ปูกระเบื้อง  ซื้อโต๊ะเรียนดีดี  ซื้อทีวีไว้เปิดวีดีโอการสอนให้นักเรียนดูชม  มีห้องอินเตอร์เนตทุกห้องหรือเอาไปช่วยคนประสบภัยน้ำท่วม ทำบุญสร้างวัดในถิ่นทุรกันดาร มีวัดบางแห่งทรุดโทรมมากและยังไม่มีศาลาปฏิบัติธรรม  หรือเอาไปใช้สาธารณกุศลทุกอย่าง เอาไปช่วยคน  นี่แหละคือสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากเห็น ครูในประเทศไทย ครูไทยครูที่แท้จริง  แต่ที่ผ่านมาข้าพเจ้าเสียดายเงินส่วนนี้ เงินส่วนนี้น่าจะเอาไปสร้างข้าราชการที่ดีหน้าใหม่ ๆในวงการศึกษาได้หลายคน  เพราะมีหลายคนที่อยากมาทำหน้าที่เป็นครูที่แท้จริงซึ่งตอนนี้กำลังร่ำเรียนความเป็นครูที่ดีอยู่ในมหาวิทยาลัย หรือกำลังเรียนรู้ความเป็นครูที่ดีอยู่ในโรงเรียน  มีนักเรียนหลายคนตั้งใจจะประกอบวิชาชีพครู  จึงตั้งใจเรียนตั้งแต่ ม.1 ถึงม. 6 นอกจากร่ำเรียนด้านวิชาการในโรงเรียนแล้ว เขายังเรียนรู้ ด้านจิตวิญญาณของความเป็นครูของคุณครูแต่ละท่านในโรงเรียน เขาได้เห็นแบบอย่างทั้งครูที่ดีและครูที่ไม่ดี ได้เห็นนิสัยของครูที่แย่ๆ ที่ไม่ควรทำตาม หรืออาจจะทำตามก็ได้ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า นักเรียนบางคนของข้าพเจ้าที่ตั้งใจจะเป็นครู จะได้เรียนรู้ชีวิตความเป็นครูของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะถ่ายทอดความเป็นครูให้เขาได้ซึมซับมากที่สุด และเขาจะต้องเป็นตัวตายตัวแทนความเป็นข้าราชการครูที่ดีในวันข้างหน้า เพื่อรักษาจิตใจของมนุษย์ให้สูงส่งมากขึ้น 

     ข้าพเจ้ามีโอกาสนั่งรถผ่านบางโรงเรียน   โรงเรียนโทรมมาก อาคารทรุดโทรม  ไม่ดึงดูดให้มาเรียน  อาคารเก่า  ๆ ข้าพเจ้าจำชื่อโรงเรียนไว้  แล้วมาค้นหาชื่อครูว่า ใครเป็นครูอยู่ในโรงเรียนนี้  ปรากฎว่า  เป็นครู ที่ได้รับเงินวิทยฐานะ 11,200 บาท และ 3,500บาท หลายคน
    ทำไมครูเขาทนได้กับโรงเรียนโทรม ๆ อย่างนั้น ทำไมไม่มีแก่ใจที่จะบูรณะซ่อมแซมให้ดูสวยงาม   ทำไมนิ่งดูดายมาก

    ครูเหล่านี้อกตัญญูจริง ๆ  ข้าพเจ้าถือว่าโรงเรียนเป็นที่ทำกิน  เป็นหม้อข้าวหม้อแกง  เป็นห้องครัว ทำกิน  หม้อข้าวไม่สะอาดทำไมไม่ช่วยกันล้าง  ช่วยกันขัด  ทำไมมีแต่คนกิน  ไม่มีใครคิดที่จะช่วยกันล้าง......
  
     โรงเรียนถือเป็นสถานที่ราชการ   เป็นปัจจัยด้านที่อยู่อาศัย   เป็นบ้านหลังที่สองของทุกคน  ทั้งครูและเด็ก ทุกคนอาศัยโรงเรียน  ใช้สถานที่นี้เป็นที่หายใจ ตั้งแต่เช้ายันเย็น  ทำไมไม่ช่วยกันดูแลบ้าน  การที่เราเอาเงินเดือนแค่ไม่กี่บาท ทำที่อยู่อาศัยหลังนี้ ให้มันดีขึ้น มา   ให้มันแข็งแรงน่าอยู่มากขึ้น ทำไมจึงไม่ทำกัน


guest profile guest
(2990)
ใครปรารถนาความสุขบ้าง ยกมือขึ้น?
มนุษย์คนใดก็ตามที่อยากมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตให้ปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นมงคลแก่ชีวิตซึ่งเรียกว่า
มงคลชีวิต 38 ประการ
มาสร้างชีวิตให้เป็นมงคล มีความสุขล้นด้วยมงคลชีวิตดังต่อไปนี้
1.ไม่คบคนพาล
2.คบบัณฑิต
3.บูชาบุคคลที่ควรบูชา
4.อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม
5.มีบุญวาสนามาก่อน
6.ตั้งตนชอบ
7.เป็นพหูสูต
8.มีศิลปะ
9.มีวินัย
10.มีวาจาสุภาษิต
11.บำรุงบิดามารดา
12.เลี้ยงดูบุตร
13.สงเคราะห์ภรรยาหรือสามี
14.ทำงานไม่คั่งค้าง
15.บำเพ็ญทาน
16.ประพฤติธรรม
17.สงเคราะห์ญาติ
18.ทำงานไม่มีโทษ
19.งดเว้นจากบาป
20.สำรวมจากการดื่มน้ำเมา
21.ไม่ประมาทในธรรม
22.มีความเคารพ
23.มีความถ่อมตน
24.มีความสันโดษ
25.มีความกตัญญู
26.ฟังธรรมตามกาล
27.มีความอดทน
28.เป็นคนว่าง่าย
29.เห็นสมณะ
30.สนทนาธรรมตามกาล
31.บำเพ็ญตบะ
32.ประพฤติพหรมจรรย์
33.เห็นอริยสัจจ์
34.ทำพระนิพพานให้แจ้ง
35.จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
36.จิตไม่โศก
37.จิตปราศจากธุลี
38.จิตเกษม
ท่องและจำเอาไปใช้ให้เป็นนิจ มงคลชีวิต 38 ประการ

ไม่ต้องไปเสพสุข หาความสุขอย่างอื่นหรอก....ทำ 38 อย่างนี้ก็สุขเกินพอแล้วในความเป็นมนุษย์
.
guest profile guest

(3003)
มนุษย์คนใดก็ตามอยากหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารให้บำเพ็ญบารมี 10 อย่างยิ่งยวดคือ
1. ทานบารมี
2.ศีลบารมี
3.เนกขัมมะบารมี
4.ปัญญาบารมี
5.วิริยะบารมี
6.ขันติบารมี
7.สัจจะบารมี
8.อธิษฐานบารมี
9.เมตตาบารมี
10.อุเบกขาบารมี

     สู้ ๆ .....

guest profile guest

(3079)
  ถ้าเราเป็นครูที่ยังไม่ดีพอ   ก็ไม่ควรรับตำแหน่งครูชำนาญการ รับเงินวิทยฐานะ 3,500 บาท หรือไม่ควรรับตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ รับเงินวิทยฐานะ  11,200 บาท หรือตำแหน่งอื่นใดที่มันขัดแย้งตรงข้ามกับความเป็นจริงในโรงเรียน
๑.ลูกศิษย์ของข้าพเจ้ายังสูบบุหรี่ ติดยาเสพติด
๒.ลูกศิษย์ของข้าพเจ้ายังทิ้งขยะไม่เป็นที่  ขยะเกลื่อนโรงเรียน
๓.ลูกศิษย์ของข้าพเจ้ายังชกต่อยทะเลาะวิวาท
๔.ลูกศิษย์ของข้าพเจ้ายังชู้สาว  มีแฟน นอกลู่นอกทาง ผิดจากนิสัยนักเรียนที่ดี แก่แดด ไร้ยางอาย  มิจฉาทิฎฐิ  
๕.ลูกศิษย์ของข้าพเจ้ายังคบคนพาล

   แล้วตำแหน่งหัวหน้าระดับดีเด่นของฉัน  มันจะมีความหมายอะไร.......
เป็นตำแหน่งอันจอมปลอม  เพราะในความเป็นจริง  ฉันก็ยังไม่ดีเด่นอะไรเลย  การตัดสินว่าฉันเป็นครูดีหรือไม่ดี  อย่าตัดสินแค่แผ่นกระดาษหรือผลงานทางวิชาการที่เนรมิตปรุงแต่งขึ้นมา คาดเดาอย่างนั้นอย่างนี้แล้วชักชวนว่ามันวิเศษ  เป็นผลงานที่เลอเลิศ   เราควรดูเด็กนักเรียนเป็นสำคัญ  ดูทุกคนไม่ใช่ส่วนใหญ่ ถ้านักเรียนดีก็แสดงว่า ครูดี   ถ้านักเรียนไม่ดีก็แสดงว่าครู........
  
      ตลกสิ้นดี
      ครูชำนาญการบางคน  สอนนักเรียนได้ไม่ดีพอ  เด็กยังสอบตกอยู่แล้วได้ตำแหน่งวิทยฐานะ 3,500 ได้อย่างไร  มันช่างน่าขำ
      ครูชำนาญการพิเศษบางคน ยังเคียดแค้นนักเรียนไร้จรรยาบรรณ  นักเรียนสอบตก กลั่นแกล้งนักเรียน ยังมีหน้ารับเงินวิทยฐานะ 11,200 บาท ฉันละอายใจที่มีครูอย่างนี้ปะปนอยู่ในสังคมการศึกษาของประเทศชาติ  
     ครูบางคนไม่เหมาะด้วยซ้ำที่จะได้รับตำแหน่งกินเงินวิทยฐานะแต่เขารับไปแล้ว.....สงสารเขาจังเลยนะ.....เพราะเขาขึ้นชื่อว่าเป็นผู้สร้างบาปแก่ตัวเอง  คอรัปชั้น....แต่เชื่อไหมเขาไม่กลัวบาป เขาไม่มีหิริ  โอตัปปะ  หิริแปลว่า ละอาย  โอตัปปะแปลว่า เกรงกลัวต่อบาป   และฉันก็ไม่สามารถจะดลบันดาลให้เขาคิดดีคิดชอบได้... 

    ฉันในฐานะนักวิชาการศึกษาคนหนึ่งของประเทศไทย และเป็นข้าราชการครูด้วย  ฉันควรทำอย่างไร   ฉันจะแก้ปัญหายังไง   ฉันทำอะไรไม่ได้เลย เพราะระบบการศึกษาชาติ  วัฒนธรรมการศึกษาชาติ ถูกออกแบบมาอย่างนี้   ฉันทำได้แค่ว่า  อุเบกขา.....วางเฉย แต่ก็อดเป็นห่วงอนาคตของประเทศชาติไม่ได้.....

   สังคมครูและนักเรียน ฉันคิดว่า น่าจะเป็นสังคมที่น่าอยู่ที่สุดแล้ว และเป็นสังคมที่สร้างอนาคตให้กับชาติบ้านเมือง.....เราเป็นบุคคลสำคัญที่ปั้นมนุษย์คุณภาพให้กับสังคมไทย

   วันนี้ไปประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูสมุทรปราการ ลงทะเบียนตอน 7-10 น. เริ่มประชุม 10.00 น. ก็ยังมีครูบางคนโดดประชุม  (คอรัปชั่น)  ครูบางคนไปลงทะเบียนรับเบี้ยประชุม 900 บาทแล้วก็กลับบ้าน  เขาไม่กลัวบาปหรืออย่างไร   เงิน 900 บาทให้สำหรับเสียเวลาเข้าประชุม 2 ชั่วโมง คิดเป็นชั่วโมงละ 450 บาท ...เชื่อไหมว่า ครูเราก็ทำกันได้....นี่เป็นตัวอย่างความมักง่าย เห็นแก่ตัวของครูไทย  เราเองก็อยากกลับนะ  แต่ทำไม่ลง กลัวผิดจรรยาบรรณครู  ความซื่อสัตย์ต่อตนเองต้องมี   ไม่มีใครรู้แต่เรารู้  เทวดา รู้  ศาลพระภูมิรู้  ยมบาลรู้    ....ครูเราไม่กลัวบาปกันเลย ถ้าไม่อยู่ประชุมก็ไม่ควรรับเงิน ....และอีกอย่าง  ....ครูที่เข้าประชุมบางคนคุย คุย คุย ไม่มีมารยาทการประชุม.... ไม่รู้จักคิด....ฉันได้แต่อุเบกขา  อยากลุกขึ้นยืนและตะคอกให้เงียบปาก  ก็ไม่กล้าทำ เพราะเป็นครูครูกันแล้ว  เรื่องอย่างนี้คงไม่ต้องสอนกันหรอกมั้ง ....แต่เชื่อไหม  ครูเรายังสอบตกเรื่องมารยาท....เกินจะบรรยาย  ไม่รู้จักเกรงใจเราบ้างเลยที่พยายามฟังการประชุมจนจบ 
......เขาละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เขาไม่เคารพประธาน  เขาไม่ควรจะนั่งอยู่ตรงนั้น เขาควรถูกเชิญออกไปจากห้องประชุม.....อย่ามาคุยให้ฉันระคายเคืองหูอีก....รำคาญชะมัด....


      นี่แหละครูไทยในอีกสังคมปัจจุบัน  มันไม่เหมือนที่ฉันเรียนอยู่ที่จุฬาฯเลย  ครูในอุดมคติของฉันยังหาไม่ค่อยเจอเลย.....

ฉันก็จะเป็นครูในอุดมคติของฉัน....ฉันก็จะยังเป็นครูที่ยึดหลักการและความถูกต้องเสมอมา  และฉันก็ไม่เคยยึดตัวเอง  เอาแต่ใจตัวเองจนลืมหลักการและความถูกต้อง......และฉันก็จะไม่มีทางฝ่าฝืนตัวเองทำสิ่งที่ผิดหลัการและความถูกต้องอย่างแน่นอน......อีก 29 ปี ในการปฏิบัติราชการ.....ฉันต้องสู้ต่อไป.....ฉันก็ขอภาวนาว่า ขอให้มีครูที่ดี ครูที่แท้จริง เกิดขึ้นในสังคมมากมาก    ขอให้ครูที่บรรจุมาใหม่เป็นครูที่สุดยอดครู สามารถนำพานักเรียนของฉันประสบความสุขและความสำเร็จในชีวิตโดยไม่บาป.....
 
    
  

guest profile guest

3092

วิทยฐานะ
คำแปล

1. น. ภูมิความรู้, ระดับความรู้.
2. ฐานะในด้านความรู้ เช่น สอบเทียบวิทยฐานะ มีวิทยฐานะในระดับปริญญาตรี


เงินเดือน
คำแปล

1.น. เงินค่าตอบแทนการทํางานที่กําหนดให้เป็นรายเดือน; (กฎ) เงินที่มีกําหนดจ่ายเป็นรายเดือนจากเงินงบประมาณรายจ่ายหมวดเงินเดือน.
2.น. เงินค่าจ้างที่จ่ายให้เป็นรายเดือน.

เงินวิทยฐานะไม่ถือเป็นเงินเดือน

เงินวิทยฐานะนั้น รัฐบาลให้มาเพื่ออะไรเพื่อให้ครูเอาไปทำอะไร ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้อง
ก.    เพื่อเอาไปซื้อรถขับ
ข.    เพื่อเอาไปซื้อบ้าน  ผ่อนบ้าน
ค.    เพื่อเอาไปประกอบธุรกิจค้าข้ายหรืออื่น ๆ
ง.     เพื่อเอาไปซื้ออาหาร  เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม  ค่ารักษาพยาบาล
จ.     เพื่อสาธารณประโยชน์ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนยากจน เพื่อซ่อมแซมอาคารเรียน เพื่อทุนการศึกษานักเรียน  เพื่อการศึกษาตัวเอง เพื่อทำบุญผ้าป่า  ทำบุญวัด  อื่น ๆ ฯลฯ
ฉ.   ใช้ตามอำเภอใจ  


ลองตอบดูสิ....ว่าควรเป็นข้อไหน....
บางคนอาจตอบข้อ ก. ข. ค. ง. และ ฉ.

guest profile guest

ข่าวการศึกษา

ไชยยศ ระบุทุนครูพันธ์ใหม่ในหลักสูตร 5 เปิดรับปี54 เป็นปีสุดท้าย สถาบันผลิตครูไม่พร้อมเปิดรับหลักสูตร 5 ปีได้จนถึงปีการศึกษา 2555 แต่ในปีการศึกษา2556 ต้องไม่มีหลักสูตร 5ปี อีกแล้ว ด้าน สพฐ. ชูงานวิจัย ผลการเรียนดีหรือแย่ขึ้นไม่เกี่ยวกับวุฒิการศึกษาของครู

จากการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ เมื่อเร็ว ๆ นี้นายไชยยศ จิรเมธากร รัฐมนตรีว่าช่วยการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) ประธานคณะกรรมการฯ กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติดำเนินการหลักสูตรครูพันธ์ใหม่ 2หลักสูตร คือ หลักสูตร 4+2 รับผู้จบจากสาขาวิชาอื่น ๆ มาเรียนต่อระดับปริญญาโท และหลักสูตรครู 6 ปี โดยทั้ง 2หลักสูตรมีเงื่อนไขผูกพัน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.ให้ทุนการศึกษาระหว่างเรียนและประกันการมีงานทำ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับบรรจุเป็นครูในสาขาและพื้นที่ที่ขาดแคลนตามที่โครงการฯกำหนดสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)หรือสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 2 .ประกันการมีงานทำแต่ไม่มีเงินทุนการศึกษาให้ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับการบรรจุเป็นครูในสาขาและพื้นที่ที่ขาดแคลนตามที่โครงการฯกำหนด

นายไชยยศ กล่าวต่อว่า สำหรับครูในสังกัดสพฐ.เน้นผลิตในกลุ่มสาระวิชา ดังนี้ การศึกษาปฐมวัย การประถมศึกษา วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป และภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ญี่ปุ่น ภาษาไทย สังคมศึกษา ศิลปะ พลศึกษาและสุขศึกษา สาขาด้านการอาชีพและเทคโนโลยี และสาขาอื่น ๆ ขณะที่สอศ.เน้นผลิตครูช่างในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่นวิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรม อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเกษตร และกลุ่มธุรกิจบริการ

ขณะนี้มีสถาบันที่ยืนยันว่าสามารถเปิดสอนหลักสูตรครูพันธ์ใหม่หลักสูตร 6 ปีในปีการศึกษา2554 ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการฯแล้ว เบื้องต้น 36สถาบัน จำนวน 85 สาขาส่วนหลักสูตร 4+2 มีสาขาที่ผ่านการพิจาณาจากคณะกรรมการแล้วเบื้องต้นจำนวน 104 หลักสูตร จาก 34 สถาบัน ซึ่งจากนี้ทางสถาบันที่พร้อมจะเปิดสอนต้องไปจัดทำแนวทางการจัดทำหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน และเสนอมายังคณะกรรมการฯเพื่อคัดเลือกสถาบันที่เหมาะสมต่อไปโดยคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปในกลางเดือนมกราคมปี 2554

ทั้งนี้ ทุนครูพันธ์ใหม่ในหลักสูตร 5 จะเปิดรับปี54 เป็นปีสุดท้าย ขณะที่สถาบันที่ยังไม่พร้อมที่เปิดหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ให้เปิดรับหลักสูตร 5 ปีได้ไปจนถึงปีการศึกษา 2555 แต่ในปีการศึกษา2556 ก็จะไม่มีการเปิดรับหลักสูตรครู 5 ปีอีกแล้ว เนื่องจากการปรับครั้งนี้เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาและพื้นที่ที่ให้สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานผู้ใช้ครูอย่างสพฐ.และสอศ.

ด้านดร.สมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองกพฐ.)กล่าวว่าสำหรับสพฐ.อนาคตมีเป้าหมายว่าการบรรจุครูในระดับประถมและมัธยมต้น ต้องบรรจุครูผู้สอนให้ตรงกับวุฒิการศึกษามากขึ้น ไม่ใช่สอนคนเดียวได้ทุกวิชา ขณะที่ระดับมัธยมปลายต้องใช้ครูที่จบป.โทเพิ่มขึ้น เพื่อให้การเรียนการสอนในห้องมีคุณภาพ อย่างไรก็ตามที่ผ่านผลงานวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษาของครูที่จบ แต่ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่การเรียนการสอนของครูในห้องเรียนที่มีต่อเด็กมากกว่า

 

ที่มา คมชัดลึก วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2553

วิจารณ์ข่าว
1.เห็นด้วยกับผลงานวิจัย ที่ว่า เด็กเก่ง  หรือไม่เก่ง  เด็กดี หรือไม่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษาของครู แต่ขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่ของครู   ครูบางคนทำหน้าที่ล้มเหลว   เด็กก็เลยไม่เก่ง  และนิสัยไม่ดีเพราะครูไม่สนใจนักเรียน
2. คนจบ ป.4 หรือ จบ ม. 3 หรือจบ ม. 6  หรือจบ ป.ตรี  ก็สามารถเป็นครูได้   เพราะครูคือ  ครุ  แปลว่า หนัก   หรือผู้เสียสละ  ใครก็ตามที่พร้อมจะเสียสละ ก็มีใจเป็นครูได้แล้ว เป็นครูที่แท้จริง ไม่กลั่นแกล้งนักเรียน ไม่ข่มขู่นักเรียน  ไม่ทำร้ายจิตใจนักเรียน  ไม่เอาเปรียบนักเรียน ตั้งใจสอนนักเรียนด้วยจิตวิญญาณของการเป็นครู  ถ้าตั้งใจเป็นครูแล้ว ก็พยายามศึกษาเนื้อหาเพื่อจะเอาไปสอนนักเรียน หรือถ่ายทอดนักเรียน ไม่ว่าเนื้อหาจะยากแค่ไหน แต่ถ้าครูเอาใจใส่กับมัน ก็จะทำได้ไม่บกพร่อง 
3. อยากเน้นที่จิตควิญญาณความเป็นครูมากกกว่าคุณวุฒิทางการศึกษา  ทุกวันนี้ ครูดีดีหายาก   ครูทำเพื่อเด็กหายาก  มีน้อยมาก   อยากให้เป็นหลักสูตร 4 ปีก็ได้ แต่เพิ่ม คุณธรรมและจรรยาบรรณความเป็นครู อย่างเข้มข้น  มีการทดสอบวิญญาณความเป็นครู  ก่อนจไปปฏิบัติราชการครู  ไม่ใช่สอบได้  สอบเก่งอย่างเดียวแต่นิสัยไม่ดี  แล้วมาเป็นครูที่จะเป็นอันตรายกับนักเรียน 
guest profile guest

ข่าวการศึกษา

ศธ.แจงมติปี 2556 เลิกหลักสูตรครู 5 ปีแล้ว ขณะที่ สพฐ.ย้ำคุณภาพเด็กอยู่ที่การเอาใจของครู ไม่ใช่วุฒิการศึกษา

วันนี้ (22 ธ.ค.) นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.กระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ ว่า ที่ประชุมยืนยันมติโครงการครูพันธุ์ใหม่ที่จะดำเนินการใน 2 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตร 4+2 ที่จะรับผู้ที่จบการศึกษาจากสาขาวิชาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่สายครูมาเรียนต่ออีก 2 ปีและหลักสูตรครู 6 ปี ซึ่ง 2 หลักสูตรจบออกมาได้วุฒิปริญญาโท โดยมีเงื่อนไข 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.ให้ทุนการศึกษาและประกันการมีงานทำ เมื่อสำเร็จการศึกษา และ2.ประกันการมีงานทำ แต่ไม่มีเงินทุนการศึกษาให้

ส่วนสาขาวิชาที่ผลิตต้องตรงกับความต้องการของผู้ใช้คือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เน้นสาขาการศึกษาปฐมวัย การประถมศึกษา วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป เช่น ฟิสิกข์ เคมี ชีวิทยา ภาษาต่างประต่าง สังคมศึกษา ศิลปะ พลศึกษาและสุขศึกษา สาขาด้านการอาชีพและเทคโนโลยี และสาขาอื่น ๆ ส่วนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เน้นผลิตครูช่างในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรม อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเกษตรและกลุ่มธุรกิจบริการ

นายไชยยศ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมมีมติโครงการครูพันธุ์ใหม่หลักสูตร 5 ปีที่รับทุนให้รับปีการศึกษา 2554 เป็นปีสุดท้าย ส่วนสถาบันใดที่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดหลักสูตรครูพันธุ์ 6 ปี ให้เปิดรับหลักสูตร 5 ปี ได้จนถึงปีการศึกษา 2555 แต่ในปีการศึกษา 2556 จะไม่มีหลักสูตรครู 5 ปีอีกแล้ว ทั้งนี้การปรับหลักสูตรดังกล่าว เพื่อให้ได้ครูในสาขาวิชาต่าง ๆ ตามที่ สพฐ.และสอศ. ต้องการ ขณะเดียวกันส่วนตัวเห็นว่าในอนาคตคนที่จะมาสอนเด็กควรจะต้องเป็นคนที่จบ ป.โท เพราะจะทำให้คุณภาพการเรียนการสอนดีขึ้น

ดังนั้นสถาบันผู้ผลิตจะต้องหันมาผลิตครูที่จบ ป.โท มากขึ้น อย่างไรก็ตามเบื้องต้นมีสถาบันผลิตครูได้ยืนยันที่จะเปิดสอนหลักสูตรครูพันธ์ใหม่ 6 ปีในปีการศึกษา 2554 ดังนั้นหลักสูตร 4+2 จำนวน 36 สถาบัน 85 หลักสูตร ส่วนหลักสูตร 6 ปี 34 สถาบัน 104 หลักสูตร ซึ่งหลังจากนี้สถาบันดังกล่าวจะต้องไปจัดทำแนวทางการจัดทำหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน

ด้าน ดร.สมเกียรติ ชอบผล รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.กำหนดเป้าหมายการบรรจุครูในระดับประถมและมัธยมต้น ที่จะต้องเป็นครูจบตรงตามวุฒิการศึกษามากขึ้น เช่น ครูสอนภาษาอังกฤษ ต้องมีความเชี่ยวชาญในวิชาภาษาอังกฤษ ขณะที่ครูที่จะมาสอนมัธยมปลายจำเป็นต้องจบ ป.โท มากขึ้น เพื่อให้การเรียนการสอนในห้องมีคุณภาพ แต่ที่ผ่านมาผลงานวิจัยระบุว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กจะมากหรือน้อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษาของครู แต่ขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่การเรียนการสอนของครูในห้องเรียนที่มีต่อเด็กมากกว่า ดังนั้นครูควรที่จะเอาใจใส่เด็กให้มากขึ้น

 

ที่มา เดลินิวส์ วันพุธ ที่ 22 ธันวาคม 2553




วิจารณ์ข่าว
 
1. จะคอยดูว่า  ครูพันธุ์ใหม่จะมีคุณภาพมากตามคำร่ำลือหรือเปล่า
2. เห็นด้วยอย่างแรงว่า  เด็กจะดีจะเก่งขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่ของครู
3. ครูอนุบาล ครูประถม  ครูมัธยมต้น อนาคตต้องจบป.โท  สุดยอดมาก เรียนตั้ง 6 ปีแน่ะกว่าจะได้ทำงานมีเงินเอาไปทำบุญ  เสียเวลาทำบุญไปตั้ง 2 ปีแน่ะ
4.เป็นไปได้หรือไม่  ครูที่ไม่เอาใจใส่เด็ก มีสาเหตุมาจากเรื่องปัญหาชีวิตส่วนตัว  จนสะเทือนจิตใจไม่มีกำลังจะสอนนักเรียนให้ได้ดี ไม่มีเวลาทุ่มเทเสียสละเพื่อนักเรียน อย่างแท้จริง
5.เป็นไปได้หรือไม่ว่า บัณฑิตครูที่จบออกมาไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรเพราะผู้ปั้นและสร้างบัณฑิตเหล่านั้นบกพร่องในเรื่องคุณภาพอย่างแท้จริง  มันเป็นข้อสมมติฐาน ที่ให้ทุกคนทุกฝ่ายประเมินตัวเองว่าเราดีแค่ไหน เราด้อยอะไร   เราใช้ใจทำงาน ทุ่มเทใจให้กับงานมากแค่ไหน  เราทำเพื่อใคร   ตัวเองหรือประเทศชาติ  วินัยในระดับสูงขึ้นไปเข้มข้นหรือยัง 

มันผิดที่ใครกันแน่      ฉันคนเดียวหรือไม่     หรืออะไรอีกที่ฉันคิดไม่ออก

guest profile guest
(3126)
ทำงานคุ้มกับเงินเดือนข้าราชการครูแล้วหรือยัง ????  เงินเดือนซึ่งเป็นภาษีราษฎร ภาษีของแผ่นดิน  ภาษีของชาติ  อันเป็นเงินงบประมาณของแผ่นดิน รับเงินเดือนมาก ก็ต้องทำงานมาก รับเงินเดือนน้อยก็ต้องทำงานน้อย ทำงานไม่ไหว ทำงานไม่ได้ ก็ต้องลาออกจากราชการ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  ตอนนี้ข้าพเจ้าอายุ 31 ปีแล้ว อีก 9 ปีข้างหน้า อายุ 40 ปี วันนั้นข้าพเจ้าอาจจะต้องลาออกจากข้าราชการไปปลีกวิเวก  เพราะอายุ 40 ปีสำหรับข้าพเจ้านั้น อาจจะทำงานไม่ไหวแล้วก็ได้ ข้าพเจ้าต้องลาออกเพื่อให้คนอื่นๆ ที่ทำงานไหว มาบรรจุราชการทำงานแทนข้าพเจ้าเพราะถ้าข้าพเจ้าทำงานไม่ไหว แล้วดันทุรังทำงานต่อไป ทำงานไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย มันจะกลายเป็นบาป เพราะบาปที่เกิดจากการทำงานไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีราษฎร ....มันช่างน่าอายบรรพบุรุษของชาติไทยเรา...อายฟ้าอายดิน อายเทวดา  ตายไปจะไปมองหน้าพวกเทวดาได้ยังไงกัน..เดี่ยวจะเกิดการดูถูกเหยียดหยามในดินแดนสวรรค์..ใครก็ตามที่ทำงานดีกว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายินดีสละตำแหน่งนี้ให้เลย....ยินยอมออกจากข้าราชการแต่โดยดี   เพราะมีมนุษย์หลายคนที่รอคิวมาเป็นข้าราชการครู 
   แล้ววันนี้ข้าพเจ้าทำงานดีและเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดินแล้วหรือยัง....
จะไม่มีวันให้มนุษย์หน้าไหน มาดูถูกการทำงานของข้าพเจ้าโดยเด็ดขาด......และใครก็ตามที่ทำงานไม่สมเกียรติภูมิ คนผู้นั้นก็ควรจะพิจารณาตัวเอง.......

  อีก 9 ปี  เราต้องทำงานให้ดีที่สุด เหนื่อยที่สุด   เพื่อช่วยเหลือนักเรียนและเพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุด แม้จะอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในสังคมมนุษย์ก็ตาม...หลังจากนั้นเราค่อยคิดและตัดสินใจว่า ความดีบารมีของเราสะสมมากเพียงพอแล้วหรือยัง  เราควรอยู่ต่อ สู้ต่อหรืออำลาวงการข้าราชการ.....ครู....

แล้วจะมีงานบุญงานความดีอะไรอีกไหมที่เราควรจะไปทำ.....ทำหน้าที่ความเป็นมนุษย์ที่ดีในชาตินี้เพื่อความจากไปอยู่ในภพที่ดีดีอีกหลายล้านชาติ......อยากสัมผัสดินแดนสวรรค์  พรหม  และโลกมนุษย์อีกครั้งในอีก2,500ปี โลกของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่....พระศรีอาริยะเมตไตร....ต้องบำเพ็ญบารมีกันอีกหลายชาติ.....
สู้ๆ ....ครูนววิธ.....
guest profile guest
ครม.ไฟเขียวจ่ายเงินวิทยฐานะ7พันล. กลุ่มตกค้าง3ปี-กว่า2หมื่นคน
ศธ.จี้เพิ่มค่าครองชีพครูเอกชน

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม นายชินวรณ์ บุณยเกียรติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในการประชุมวิชาการ "โครงการพัฒนาระบบการนิเทศก์การศึกษาแนวใหม่ กลไกการปฏิรูปการศึกษา" จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่อิมแพค เมืองทองธานี ว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.เงินเดือนเงินวิทยฐานะและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระ 1 ในสมัยประชุมที่จะถึง โดยตนจะนั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ คาดว่าภายในเดือนมีนาคม พ.ศ.2554 ร่าง พ.ร.บ.จะผ่านสภาผู้แทนราษฎร จากนั้นจะเร่งนำเข้าพิจารณาในวุฒิสภา ทั้งนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ ครม.ได้อนุมัติให้ ศธ.ใช้งบประมาณจากบัญชี 2 มาเบิกจ่ายย้อนหลังให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ผ่านการประเมินวิทยฐานะแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงินวิทยฐานะ รวมไม่ต่ำกว่า 20,000 คน คิดเป็นเงินวิทยฐานะรวมประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ ศธ.กำลังขอให้กรมบัญชีกลางใช้งบฯจากบัญชี 2 เชื่อว่าจะสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ข้าราชการครูฯได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องการเพิ่มค่าครองชีพให้กับครูโรงเรียนเอกชน ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติมานานแล้ว ตนได้สั่งการให้ประสานกรมบัญชีกลางและสำนักงบประมาณ เพื่อเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามมติ ครม.โดยเร็ว

"เงินวิทยฐานะที่ยังค้างจ่ายเพื่อนครูอยู่นั้น ควรจะได้รับเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่มาล่าช้าเนื่องจากรัฐบาลไม่มีเงินให้ จึงค้างจ่ายครูมาตลอด ครั้งนี้เป็นมติ ครม.ครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีเข้าใจเพื่อนครู และให้ได้รับตกเบิกด้วยทุกวิทยฐานะ" รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าว และว่า ในส่วนของศึกษานิเทศก์ (ศน.) ตนได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.) ระบบ ไปพิจารณากระบวนการประเมินวิทยฐานะของ ศน.ทั่วประเทศ โดยเน้นพิจารณาจากคุณภาพการศึกษาที่เกิดขึ้นกับตัวนักเรียนเป็นหลักนอกจากนี้ ให้มีการแก้กฎกระทรวงเพื่อเปิดโอกาสให้ศน.สามารถเข้ารับการสรรหาคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ด้วย รวมทั้งจะสนับสนุนให้ ศน.ทำงานเป็นเครือข่ายมากยิ่งขึ้น โดยได้มอบให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการไปพิจารณาดูว่าจะสามารถจัดตั้งเป็นสำนักศึกษานิเทศก์ได้หรือไม่

ด้านนายวรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. กล่าวว่า ข้าราชการครูและศึกษานิเทศก์มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบการศึกษาของชาติ จึงไม่ควรให้เกษียณอายุราชการเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ตนอยากให้ขยายไปจนถึงอายุ 65 ปี

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

วิจารณ์ข่าว

1. รัฐไม่มีเงินจ่ายเงินวิทยฐานะ ควรจะแก้กฎหมายยกเลิกให้เงินวิทยฐานะไปเลยดีไหม   ควรให้มีวิทยฐานะเหมือนเดิม  แต่ไม่ต้องให้เงินเพราะสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน  ถ้าเป็นอย่างนี้ จะมีสักกี่คนที่ยังอยากจะได้วิทยฐานะ ที่จะตั้งใจทำงาน  รัฐบาลต้องยอมรับว่า  ครูบางคนทุกวันนี้ทำงานเพื่อเงิน ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลของการเป็นครูที่ดีแบบไหนก็ตาม แต่ลึก ๆแล้ว ครูเห็นแก่เงิน แต่พูดออกมาไม่ได้  ครูไม่ค่อยยอมรับความรู้สึกที่ละอายใจของตัวเอง  คิดดีหวังดีแต่ประสงค์เงิน   ทุกคนอยากมีวิทยฐานะเพื่อจะได้เงินใช้มากกว่าเดิมได้เงินเพิ่ม  แต่ไม่คำนึงถึงประเทศชาติว่า มีเงินจ่ายหรือไม่  ทุกคนหวังแต่จะเอาเงินจากแผ่นดินนี้   สงสารรัฐบาลนะที่ออกกฎหมายมาก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมไปตามกฎหมาย  ไม่มีเงินจ่ายก็ต้องหามาให้จนได้.......ครูที่มีวิทยฐานะรู้สึกละอายบาปกันบ้างไหมเนี่ยะ......เบียดเบียนเงินภาษีของประเทศชาติ....กลัวบาปกันบ้างไหม..... 

2. กำลังใจของครู  ไม่ได้มาจากวัตถุเงินตรา เท่านั้น  แต่ความดีของครูจะผลักดันให้ครูตั้งใจทำงานเพื่อแผ่นดินไทยโดยไม่สนใจเงินตรา วัตถุปรนเปรอต่าง ๆ

3.เงิน 7,000 ล้านเยอะมาก สร้างอะไรได้มากมายเช่น จ้างครูได้มากขึ้น   จ้างบุคลากรทางการศึกษาได้มากขึ้น    ปัญหาที่รัฐบาลไม่ยอมแก้ ก็คือ   เพิ่มจำนวนข้าราชการครู รัฐมีเงินจ่ายวิทยฐานะบำรุงบำเรอปรนเปรอกำลังใจครู แต่ไม่มีเงินจ้างครูใหม่ ๆมาทำงาน  แล้วการศึกษาจะไปรอดไหมเนี่ยะ....กรรม....ข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายเงิน 7 พันล้านมากมากเลย ยกเลิกไปเถอะเงินวิทยฐานะ  สิ้นเปลืองงบประมาณ  หรือถ้ามีก็ควรมอบให้โรงเรียนที่ครูอาศัยสังกัดอยู่นำไปบำรุงโรงเรียน บำรุงเยาวชน  เป็นทุนการศึกษาของชาติ ทำบุญสาธารณกุศล  มากกว่าให้สิทธิ์ครูเอาไปใช้ตามอำเภอใจ เพราะเป็นการสร้างบาป สร้างกรรมให้กับครู ครูบางคนไม่รู้บาปบุญคุณโทษ เอาเงินภาษีราษฎรส่วนนี้ไปใช้ก็มีแต่เป็นบาปแก่ตัวเอง  โดยที่เขาไม่รู้   ช่างน่าสงสารครูพวกนั้น 

เงินวิทยฐานะอจจะไม่ได้ช่วยทำให้ครูเป็นครูที่ดีขึ้น แต่เป็นไฟที่ทำให้ครูไม่สงบ เห็นแก่ตัว ทุจริต  โกหก  บิดเบือนข้อมูล   รายงานเท็จ    ขาดจิตสาธารณะ ชิงดีชิงเด่น ประกวดผลงาน ประกวดวัตถุภายนอก แต่ไม่เคยประกวดจิตวิญญาณของความเป็นครู ทอทิ้งนัเรียน เป็นอุบาทว์ในวงการศึกษาไทย

คำพูดที่ว่า พิจารณาจากคุณภาพการศึกษาที่เกิดกับตัวนักเรียนอย่างแท้จริง  ไปดูโรงเรียนเลยว่า  เด็กยังสูบบุหรี่  เด็กยังสอบตก   เด็กยังชกต่อยทะเลาะวิวาท ครูยังสมควรได้รับเงินวิทยฐานะอยู่อีกหรือไม่....ข้าพเจ้าเป็นครูเล็ก ๆคนหนึ่ง ที่ต้องการกำลังคนจากรัฐบาลมาช่วยกันแก้ปัญหา  แต่รัฐบาลก็เอาเงินไปจ่ายวิทยฐานะเสียหมด....แล้วจะมีเงินจ้างครูมาช่วยข้าพเจ้าได้ไหม
  ครูหลอกตัวเอง   ทำบาปไปชั่วชีวิต......ตัวเองไม่มีคุณภาพ ก็ยังหลอกคนอื่นว่ามีคุณภาพ  หลอกเอาเงินวิทยฐานะ ทั้งที่ตัวเองยังแก้ปัญหาการศึกษา แก้ปัญหาเด็กไม่ได้.....เวรกรรมอะไรเช่นนี้

4. ไม่เห็นด้วยที่ครูเกษียณอายุ 65 ปี  ครูที่แท้จริงที่ทำบุญทำทานมาทั้งชีวิต เขาอยากปลีกวิเวก อยากพักผ่อน  ไปวัดป่า นั่งวิปัสสนากรรมฐาน เตรียมตัวตาย....จะใช้งานเขาไปถึงไหน  ....ทำบาปกับคนแก่.... ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราจะมีตัวตาย ตัวแทนไว้ทำไม ครูที่ดีที่เก่งมีเยอะ ถ้าตั้งใจฝึกหัดเขาให้เป็นคนดีมีจิตวิญญาณครูสูงส่ง  เขาก็เป็นได้  รัฐควรจริงจังกับคุณภาพครูตั้งแต่บรรจุ จนถึง 60 เกษียณ แต่ละช่วงวัยจะต้องมีคุณภาพ  อย่าลืมว่า อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์แค่ 68 ปี  ถ้าเกษียณ 65 ปี จะมีเวลาน้อยในการเตรียมตัวตาย.....


 
   

guest profile guest
ข้าพเจ้าจะไม่ใช้สิทธิ์ที่มียื่นสมัครรับตำแหน่งวิทยฐานะและรับเงินวิทยฐานะใดใดทั้งสิ้นตราบใดที่ข้าพเจ้ายังอบรมสั่งสอนศิษย์ได้ไม่ดีพอ และข้าพเจ้าจะไม่มีวันโกหกหลอกลวงตัวเอง และคอรัปชั่นแผ่นดิน จะยึดมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณชั่วฟ้าดิน ให้สมกับเกียรติภูมิความเป็นข้าราชการที่ดีขององค์ภูมิพลและถ้าหากข้าพเจ้าได้รับเงินวิทยฐานะใดใดก็ตามเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นเงินวิทยฐานะข้าพเจ้าจะนำเงินไปเป็นทุนเพื่อการศึกษาบำรุงนักเรียน บำรุงโรงเรียน บำรุงคณะครูและบุคลากรในโรงเรียนของข้าพเจ้าเป็นสำคัญ  นำไปใช้จ่ายเพื่อการศึกษาทุกชนิด เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดแก่วงการศึกษาของประเทศชาติและข้าพเจ้าจะไม่มีสิทธิ์นำเงินวิทยฐานะไปใช้จ่ายบำรุงกิเลสของตัวเอง ไม่ใช้ในทางฉิบหาย ทางอบาย แต่ใช้เพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษย์ตามสมควร  ทั้งนี้เพื่อให้สมศักดิ์ศรีกับความเป็นบัณฑิตนักเรียนทุนคณิตศาสตร์ของประเทศไทย โครงการ รพค. คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันเป็นความหวังกำลังสำคัญส่วนหนึ่งของแผ่นดินสยาม   ขอให้ความดีทั้งสิ้นทั้งปวงที่ข้าพเจ้าได้กระทำจงส่งผลให้ข้าพเจ้าเกิดในภพภูมิที่ดี และบรรลุนิพพานในอนาคตกาลด้วยเทอญ....
guest profile guest
(3138)
  เย็นวันนี้ให้นักเรียนจัดสถานที่ในห้อง 132 เพื่อจัดงานวันขึ้นปีใหม่ 2554  เวียนมาบรรจบครบปีที่ 2 แล้ว......
   หน้าที่ของครูที่ปรึกษาที่ดีก็คือ  จัดงานเลี้ยงนักเรียนให้สมเกียรติ ครูนววิธ และครูหม่อน  เลี้ยงหมูกระทะ 6 ชุด(1,500)ไก่ทอด104 ชิ้น ยำรวมมิตร 1 ถาด  น้ำอัดลม  ผลไม้ มีของขวัญเล็กๆด้วยเป็นพวงกุญแจให้เด็ก ๆคนละ 1 ชิ้น และมีของขวัญชิ้นใหญ่ 2 ชิ้น ให้นักเรียนชาย 1 ชิ้นและหญิง 1 ชิ้น เฉพาะคนที่จับฉลากได้ นอกจากนี้ยังมีซองเงินมอบให้ด้วยในงานปีใหม่   ซึ่งปีที่แล้วมาก็จัดแบบนี้   การเลี้ยงดูบุตรเป็นหนึ่งในมงคลชีวิต(ข้อที่ 12 ) นักเรียนของข้าพเจ้าห้องนี้ ได้ทำความดีมากมาย ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขมากมากที่ได้อยู่ร่วมกับพวกเขา ทุก ๆวันที่มาโรงเรียนนักเรียนของข้าพเจ้าจะเชื่อฟังข้าพเจ้า อยู่ในโอวาท เขาเป็นศิษย์ที่ดีมากมาก เป็นบุญของข้าพเจ้าที่ได้มาพบเจอเทวดาและนางฟ้าน้อย ๆ ที่ได้เกิดมาเป็นศิษย์ของข้าพเจ้า ขอบคุณสวรรค์ที่ประทานคนดีดีมาอยู่รวมกัน ศิษย์ของข้าพเจ้าเหล่านี้แหละคืออนาคตของประเทศไทย เขาจะเติบโตเป็นคนคุณภาพของสังคมไทย  เขาได้เห็นแบบอย่างที่ดีจากเรา  เขาได้เห็นความตั้งใจ ทุ่มเท เอาใจใส่จากเรา เมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่เขาก็จะระลึกนึกถึงแบบอย่างที่ดีและทำตามเรา  ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นแต่เด็กๆ กลุ่มนี้เห็น ถึงไม่มีใครรู้แต่เราและศิษย์รู้ นี่แหละเป็นการสอนคนให้เป็นคน.....ข้าพเจ้าใช้ตัวและใจของข้าพเจ้า ทั้งชีวิตสอนเขา มันไม่มีตำราใดใดเขียนไว้....ดังนั้นวันพรุ่งนี้ศิษย์ของข้าพเจ้าจะเลี้ยงฉลองความสำเร็จด้วยกัน เขาจมีความสุขที่สุด เราจะมีความสุขในสไตล์ของเรา  เพราะเราคือชาว EIS1 อยากให้ถึงพรุ่งนี้จังเลย เราจะได้ถ่ายรูปร่วมกัน  ทำกิจกรรมสนุกสนานกันอีกแล้ว  หลังจากผ่านพ้นความเฮฮาแบบนี้มาเกือบปีแล้ว....555
guest profile guest
(3154)
"แมเนปีนี้เป็นใคร...ลูไมรู้ แต แมเนในใจลูต้องยใ คนนี้เลย รัแมทีสุเลย"  นีเป็นของขัญทีลูย์มอบในนปีใม30 .ค.
guest profile guest
(3169) ๑ มกราคม ๒๕๕๔
สวัสดีปีใหม่ 2554 ปีกระต่าย 2011
  ข้าพเจ้าขออาราธนาอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อำนาจพระอินทร์ พระพรหม พระยมบาล เทวดานางฟ้า พระโพธิสัตว์พระภูมิ เจ้าที่ อำนาจหลวงพ่อรัตนสิทธิชัย หลวงปู่ปาน อำนาจคุณพระศาสดาของทุกศาสนา  อำนาจพระสยามเทวาธิราช อำนาจบุญบารมีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชีนีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนฯ สมเด็จพระปิยมหาราช สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า และอำนาจพระบารมีกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ และอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก ได้โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้มนุษย์ทุกคนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า มีความสุขสมหวังในชีวิตทุกประการและค้นพบสัจธรรม บรรลุพระนิพพานในอนาคตกาลด้วยเทอญ

....ครูนววิธ ศรีปลั่ง ข้าราชการครูในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ภูมิพลและสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าและกษัตริยาราชเจ้าทุกพรองค์นับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน รวมทั้งบรรพบุรุษของชนชาติไทยผู้ซึ่งกอบกู้เอกราชรักษาชาติบ้านเมืองไว้จนเป็นปึกแผ่น
guest profile guest

แฉหลักสูตรใหม่ "จ่ายครบจบแน่"

“ไชยยศ จิรเมธากร” เผยพบหลักสูตร “จ่ายครบจบแน่” เกลื่อน ส่ง สกอ.ตรวจสอบสาขาวิชาการเรียน

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสนใจเรื่องการโฆษณาซื้อขายปริญญาทางเว็บไซต์มาก โดยสอบถามตนว่ามีการดำเนินการอย่างไรบ้างซึ่งรายงานว่าได้ตรวจสอบกับสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา(สกอ.)และมหาวิทยาลัยที่มีชื่อถูกพาดพิง 2-3 แห่งแล้ว โดยทั้งหมดยืนยันว่าไม่มีกระบวนการซื้อขายปริญญาในระบบการศึกษาไทย ตนจึงได้มอบหมายให้นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ ที่กำกับดูแล สกอ.ไปดำเนินการกับกลุ่มบุคคลที่ขึ้นประกาศสร้างความหลอกลวงเรื่องดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไป และหากเห็นว่ามีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อหลอกลวงต้มตุ๋นและทำให้สถาบันการศึกษาตลอดจนสกอ.เสียหาย ก็ต้องดำเนินการร้องขอสำนักงานสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เพื่อเข้าไปติดตามเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทั้งนี้หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีคนในสถาบันการศึกษาเกี่ยวข้องด้วย ก็จะมีการดำเนินการทั้งทางคดีอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาด เพราะตนไม่ต้องการให้กรณีนี้เกิดขึ้นกับวงการศึกษาไทยอีกต่อไป

ด้านนายไชยยศ กล่าวว่า ทราบมาว่ามีหลักสูตรประเภทที่จ่ายครบจบแน่อยู่มาก แต่ไม่รู้ว่ามีอยู่จำนวนเท่าไหร่ และที่ใดบ้าง ดังนั้นตนจึงได้มอบหมายให้ สกอ.ไปสำรวจสาขาวิชาที่สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ที่ขณะนี้มีอยู่ทั้งหมด 170 แห่ง 310 วิทยาเขต ว่าเปิดสอนหลักสูตรต่างๆอยู่กี่สาขาวิชา เพื่อจะได้เข้าไปจัดการกับหลักสูตรประเภทที่จ่ายครบจบแน่ เช่น เรียนปริญญาโทปีเดียว หลักสูตรที่ปล่อยให้จบโดยอ้างประสบการณ์เทียบโอน เป็นต้น เมื่อทราบจุดที่แน่นอนแล้วก็จะเข้าไปจัดการ ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายที่มอบหมายให้อธิการบดีหรือนายกสภามหาวิทยาลัยดูแล โดยอาจจะต้องเพิ่มโทษในกรณีที่ปล่อยปะละเลาย รวมถึงอาจต้องดำเนินคดีอาญา และกำหนดกระบวนการตรวจสอบหลักสูตรใหม่ที่เข้มข้นขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าจำนวนหลักสูตรจ่ายครบจบแน่ว่ามีอยู่เท่าไหร่นั้นไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญเราต้องป้องกันไม่ให้มีหลักสูตรลักษณะนี้เกิดขึ้น

นายไชยยศ กล่าวด้วยว่า ที่มีการออกหลักสูตรกันมาเป็นจำนวนมากนั้น เนื่องจากที่ผ่านมากรรมการสภามหาวิทยาลัยที่ไปเป็นที่ปรึกษาหลักสูตร ตลอดจนผู้ที่เป็นประธานหลักสูตร จะได้ค่าตอบแทนจากหลักสูตรที่เปิดใหม่ไม่ต่ำกว่าแสนบาท จนเมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานตรวจเงินผ่านดิน (สตง.) ได้ชี้ให้ ตนเข้าไปตรวจสอบในเรื่องนี้ เพราะเห็นว่ามีอธิการบดีหลายมหาวิทยาลัยมีรายได้จำนวนมากจากการเปิดหลักสูตรพิเศษ และไปเป็นกรรมการบริหารหลักสูตรดังกล่าวเสียเอง ดังนั้นตนจึงมอบหมายให้ สกอ.ไปตรวจสอบว่า อธิการบดีแต่ละคนไปเป็นกรรมการบริหารหลักสูตรกี่หลักสูตร ตลอดจนสำรวจว่ากรรมการสภามหาวิทยาลัยแต่ละคนไปเป็นกรรมการสภาของมหาวิทยาลัยกี่แห่ง ซึ่งไม่ควรเป็นกรรมการเกิน 2 แห่ง เพื่อจะได้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อทราบข้อมูลแล้วจะขอความร่วมมือให้สภามหาวิทยาลัยแก้ไขหลักเกณฑ์การเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยได้ไม่เกิน 2 แห่ง แต่หากสภามหาวิทยาลัยอ้างว่าไม่สามารถแก้ไขได้เพราะไม่มีระเบียบรองรับ ตนก็จะสั่งการให้ สกอ.ออกระเบียบรองรับ.

 

ที่มา เดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2553

วิจารณ์
1. เป็นความอุบาทว์ในวงการศึกษาไทยอย่างไม่น่าให้อภัย
2.ความเห็นเห็นแก่ตัวของมนุษย์
3.หากินกับการศึกษาของชาติไทย บาปนะจ๊ะ......อย่าทำเลย
เสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
4.เคยได้พบได้เห็นเหมือนกัน  หลักสูตรปริญญาโท 1 ปี  ได้แต่เฉย ๆ ไม่สนใจเพราะไม่อยากพูดแล้วทำให้คนที่ตกเป็นเหยื่อเสียใจ เขาเน้นจบ ไม่ได้เน้นคุณภาพ....เปิดแข่งมหาวิทยาลัยของรัฐ อ้างเรียนนอกเวลา ช่วยเหลือครูที่ไม่มีเวลาไปเรียน ไม่รู้ว่าระบบการให้คะแนนมีคุณภาพมากแค่ไหน ....แต่อย่างไรก็ตามขอให้ผู้ใหญ่ตรวจสอบให้แน่ชัดและจัดการให้เรียบร้อยด้วย จะได้ไม่เป็นที่ครหา เพราะมีหลายหลักสูตรเปิดเกลื่อน 

guest profile guest

เล็งDSIฟัน  ขายปริญญามหาลัย"จ่ายครบจบแน่"รอเจอดี!

นายกฯ ห่วงปัญหาขายปริญญาผ่านเว็บ สั่ง สกอ.เร่งจับแก๊งตุ๋นสร้างความเสียหายให้กับสถาบันการศึกษา ชินวรณ์เผยหากพบเชื่อมโยงเป็นขบวนการพร้อมให้ดีเอสไอจัดการ เตรียมฟันมหาวิทยาลัยที่โฆษณา "จ่ายครบจบแน่" ด้วย ด้าน "ไชยยศ" ชี้ควรคุมการออกหลักสูตร แก้ กม.ฮุบรายได้เข้าแผ่นดิน

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสนใจเรื่องการโฆษณาซื้อขายปริญญาทางเว็บไซต์มาก โดยสอบถามตนว่ามีการดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งตนได้รายงานว่าได้ตรวจสอบกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และมหาวิทยาลัยบางแห่งที่มีชื่อถูกพาดพิง 2-3 แห่งแล้ว โดยทั้งหมดยืนยันว่าไม่มีกระบวนการที่จะซื้อขายปริญญาในระบบการศึกษาไทย ตนจึงได้มอบหมายให้นายไชยยศ จิรเมธากร รมว.ศธ. ที่กำกับดูแล สกอ.ไปดำเนินการกับกลุ่มบุคคลที่สร้างความหลอกลวงเรื่องดังกล่าวอย่างเคร่งครัดต่อไป และหากเห็นว่ามีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเพื่อหลอกลวงต้มตุ๋น และทำให้สถาบันการศึกษาตลอดจน สกอ.เสียหาย ก็ต้องดำเนินการร้องขอสำนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อเข้าไปติดตามเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทั้งนี้ หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีคนในสถาบันการศึกษาเกี่ยวข้องด้วย ก็จะมีการดำเนินการทั้งทางคดีอาญาและทางวินัยอย่างเด็ดขาด เพราะตนไม่ต้องการให้กรณีนี้เกิดขึ้นกับวงการศึกษาไทยอีกต่อไป

"ผมยังได้มอบหมายให้นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เข้าไปตรวจสอบคุณภาพการจัดการเรียนการสอนที่พูดกันว่า "จ่ายครบจบแน่" ในบางสถาบัน หรือกรณีที่การบริหารจัดการขาดคุณภาพ รวมถึงมีการเปิดศูนย์นอกที่ตั้งโดยไม่มีคุณภาพ หรือการเปิดสาขาวิชาที่ไม่มีความพร้อมจะต้องมีความเข้มข้นมากขึ้นในปีการศึกษา 2554 นี้" รมว.ศธ.กล่าว

ด้านนายไชยยศกล่าวว่า ทราบมาว่ามีหลักสูตรประเภทที่จ่ายครบจบแน่อยู่มาก แต่ไม่รู้ว่ามีอยู่จำนวนเท่าไหร่ และที่ใดบ้าง ดังนั้นตนจึงได้มอบหมายให้ สกอ.ไปสำรวจสาขาวิชาที่สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ที่ขณะนี้มีอยู่ทั้งหมด 170 แห่ง 310 วิทยาเขต ว่าเปิดสอนหลักสูตรต่างๆ อยู่กี่สาขาวิชา เพื่อจะได้เข้าไปจัดการกับหลักสูตรประเภทที่จ่ายครบจบแน่ เช่น เรียนปริญญาโทปีเดียว หลักสูตรที่ปล่อยให้จบโดยอ้างประสบการณ์เทียบโอน เป็นต้น เมื่อทราบจุดที่แน่นอนแล้วก็จะเข้าไปจัดการ ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับปรุงกฎหมายที่มอบหมายให้อธิการบดีหรือนายกสภามหาวิทยาลัยดูแล โดยอาจจะต้องเพิ่มโทษในกรณีที่ปล่อยปละละเลย รวมถึงอาจต้องดำเนินคดีอาญา และกำหนดกระบวนการตรวจสอบหลักสูตรใหม่ที่เข้มข้นขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าจำนวนหลักสูตรจ่ายครบจบแน่ว่ามีอยู่เท่าไหร่นั้นไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญเราต้องป้องกันไม่ให้มีหลักสูตรลักษณะนี้เกิดขึ้น

"ที่ผมเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา ก็เพื่อส่งสัญญาณว่ารัฐบาลต้องการเอาจริงเอาจังกับคุณภาพการจัดการศึกษา ที่ผ่านมาให้อำนาจกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยและสภามหาวิทยาลัยมาก แต่เมื่อไม่มีการควบคุมคุณภาพตามที่ให้อำนาจไว้ ในที่สุดรัฐบาลก็อาจจะต้องเข้าไปแก้ไขกฎหมาย โดยการออกมาตรการควบคุม เพื่อให้คุณภาพการศึกษาและระบบโดยรวมของสังคมอยู่ได้ ซึ่งผมเห็นว่าควรจะแก้กฎหมายกำหนดให้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มาจากการเปิดหลักสูตรเข้าเป็นรายได้ของแผ่นดิน แล้วรัฐก็จะคืนทุกบาททุกสตางค์ให้แก่มหาวิทยาลัย เพียงแต่ขอให้เข้าสู่การตรวจสอบของระบบบัญชีที่ถูกต้อง และอาจจะต้องกำหนดให้มหาวิทยาลัยจัดให้มีการ "สอบออก" หรือการออกข้อสอบประมวลความรู้ว่ามีความรู้ในสาขาที่จะจบออกไปเพียงพอหรือไม่" นายไชยยศกล่าว

ที่มา ไทยโพสต์ วันพุธที่ 29 ธันวาคม 2553

guest profile guest

ไฟเขียว "กองทุนครูของแผ่นดิน" ครม.ลงขันทุนประเดิมตั้งแสนบาท!


ไฟเขียว “กองทุนครูของแผ่นดิน” ครม.ลงขันทุนประเดิมตั้งแสนบาท!

ครม.ไฟเขียว ตั้ง “กองทุนครูของแผ่นดิน” พัฒนาความเป็นเลิศ สนับสนุนครูพื้นที่เสี่ยงภัยภาคใต้ มอบกระทรวงคลังพิจารณาหลักเกณฑ์ลดหย่อนภาษีเงินบริจาค ขอเครื่องราชฯ ผู้สมทบกองทุน “ชินวรณ์” เผย คณะรัฐมนตรี ลงขันประเดิมแสนกว่าบาท

วันนี้ (28 ธ.ค.) นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบตามที่ ศธ.เสนอขอจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ภายใต้ชื่อ กองทุนครูของแผ่นดิน เพื่อพัฒนาครู บุคลากร และบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความเป็นเลิศมีความสามารถ เป็นครูที่ดี ทั้งยังส่งเสริมสนับสนุนครูในพื้นที่เสี่ยงภัยทางภาคใต้อีกด้วย ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติหลักเกณฑ์ การนำเงินบริจาคสำหรับกองทุนดังกล่าว เป็นค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปี ตามประมวลรัษฎากร เป็นจำนวน 2 เท่า ของรายจ่ายที่จ่ายไป และอนุมัติในหลักการของการพิจารณา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ให้กับผู้บริจาคเงินสมทบกองทุนครูของแผ่นดิน ตามระเบียบที่ได้กำหนดไว้

นายชินวรณ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้มอบเงินบริจาคเพื่อเป็นทุนประเดิมจำนวน 108,000 บาท อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกองทุน ได้ตั้งเป้าไว้ที่ 84 ล้านบาท

 

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ธันวาคม 2553


วิจารณ์
1. เป็นความคิดที่ได้บุญมากมาก  คิดช่วยเหลือครูที่ประสบความยากลำบาก
2.อยากให้มีกองทุนนักเรียนของแผ่นดิน  เพื่อพัฒนานักเรียน ช่วยเหลือนักเรียนยากจนให้ได้รับทุนการศึกษา เรียนจบรับใช้แผ่นดินไทย เหมือนโครงการ  คนแกร่งหัวใจแกร่ง  ของ เอไอเอส เป็นโครงการทีดีได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
3.ข้าพเจ้ามีความคิดว่า  จะตั้งเป็นกองทุนคนดีศรีบบว. เพื่อช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ ประสบความสำเร็จในการเรียน  อาจจะเป็นทุน คุรุทายาทก็ได้ ส่งเรียนครู จบแล้วมาพัฒนาโรงเรียนบางบ่อวิทยาคมให้ทุนการศึกษาทุก ๆ ปี  พัฒนานักเรียนทุนให้มีจิตสำนึกของความเป็นนักเรียนทุนทีดี เป็นต้นแบบนักเรียนทุนที่ตอบแทนคุณรับใช้แผ่นดิน เป็นนักเรียนทุนที่ไม่เย่อหยิ่ง จองหอง เอารัดเอาเปรียบสังคม เป็นนักเรียนทุนที่อุทิศตนช่วยเหลือสังคม

guest profile guest

แวดวงการศึกษาปี"2553"
5ข่าวโชว์-4ข่าวฉาว+ข่าวช้ำ

เวียนมาบรรจบครบ 1 ปีอีกครั้ง

สำหรับแวดวงการศึกษาในรอบปีนี้มีข่าวเด่นและประเด็นร้อนเกิดขึ้นตลอดปี



 

 

ปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่สอง


 

 

โรงเรียนดีประจำตำบล


 

 

โทรทัศน์ครู


 

 

กองทุนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการศึกษา


 

 

ขึ้นเงินเดือนครู


 

 

เด้งพรหมสวัสดิ์


 

 

นักเรียนตีกัน


 

 

ริรักวัยเรียน-ทำแท้ง


 

 

ล่วงละเมิดทางเพศ


 

 

น้ำท่วมโรงเรียน

 

คัคนานต์ ดลประสิทธิ์ รายงาน
ที่มา ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553


มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีที่สร้างความเสียหายครอบคลุมพื้นที่ถึงหลายจังหวัดของประเทศทำให้คนไทยชีช้ำไปตามๆ กัน

สถานศึกษาทุกสังกัดของศึกษาธิการได้รับผลกระทบรวม 3,441 แห่ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายถึง 2,229 ล้านบาท แบ่งเป็นสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1,326 ล้านบาท สำนักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 403 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 376 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) 94 ล้านบาท สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 42 ล้านบาท สำนักงานตรวจราชการเขต 10 ล้านบาท

หากไม่มีแนวทางบรรเทาน้ำท่วม คาดว่าทั้งผู้คนและสถานศึกษาอาจต้องชีช้ำอีกในปีหน้า




ปัญหาละเมิดทางเพศในโรงเรียนที่ยังคงเป็นข่าวอื้อฉาวของวงการศึกษาอยู่ทุกปี

ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2553 ก็เพิ่งมีผู้ปกครองพาลูกไปแจ้งความจับครูสอนคอมพิวเตอร์ในโรงเรียน ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ

นอกจากนั้น ก็ยังมีคดีที่รุนแรงถึงขั้นกลายเป็นประเด็นฆาตกรรมครูจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.สมุทรปราการ โดยต้นตอปัญหาจากคำกล่าวอ้างของผู้ก่อเหตุมาจาก ครูนาฏศิลป์ซึ่งเป็นภรรยาถูกครูร่วมโรงเรียนบังคับขืนใจอย่างต่อเนื่องยาวนาน

แม้ข้อเท็จจริงในแต่ละกรณีจะอยู่ระหว่างการพิสูจน์ตามขั้นตอนของกฎหมาย

แต่จากข่าวที่ออกมาก็ตอกย้ำความอื้อฉาวในแวดวงการศึกษา




ปัญหาเด็กท้องก่อนวัยอันควรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะเด็กในเมือง

การขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศศึกษา สุขอนามัย ไปจนถึงสิ่งยั่วยุต่างๆ เป็นประเด็นที่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเร่งรณรงค์ให้ความรู้แก่เด็ก

ส่วนกรณีที่ตกเป็นข่าวสะเทือนใจต่อคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นกรณีเด็กมัธยมศึกษาปีที่ 6 สั่งซื้อยาจากเว็บไซต์มาทำแท้งด้วยตัวเอง จนเกิดตกเลือด เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา

รวมไปถึงกรณีพบ 2002 ซากทารก ที่วัดไผ่เงินโชตนาราม ที่คนส่วนใหญ่ประเมินว่ามาจากเด็กนักเรียนนักศึกษาที่ไปทำแท้ง

ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่มีทุกปี โดยเฉพาะเด็กอาชีวะ ที่ยังคงยกพวกก่อเหตุทะเลาะวิวาทอยู่เป็นประจำ และทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน

โดยเฉพาะกรณีวันที่ 1 ก.ย. มีเหตุนักเรียนช่างกลใช้อาวุธปืนยิงใส่รถโดยสารประจำทาง สาย 113 วิ่งระหว่าง มีนบุรี-หัวลำโพง เป็นเหตุให้ด.ช.จตุพร ผลผกา อายุ 9 ขวบ นักเรียนชั้น ป.3 โรงเรียนวัดบำเพ็ญเหนือ ถูกลูกหลงกระสุนปืนยิงเข้าที่บริเวณต้นคอ เสียชีวิตจากนั้นไม่กี่วัน

ช่วงบ่ายของวันที่ 5 ก.ย. มีกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาท บริเวณชั้น 7 ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง คราวนี้เป็นนายติณณภพ กีรติวรกุล นักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ ที่ถูกแทงเสียชีวิต และเมื่อวันที่ 15 พ.ย. ก็เกิดนักเรียนช่างกลขว้างระเบิดใส่คู่อริที่อยู่บนรถมินิบัสสีส้มสาย 27 ไปตกบนตัก นายพิเชษฐ์ ชัยยะ อายุ 26 ปี ผู้โดยสารถูกแรงระเบิดเสียชีวิตต่อหน้าแฟนสาว

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนของความรุนแรงที่แก้ไม่ตกเสียที




คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในวันที่ 2 มิ.ย. ให้ นายพรหมสวัสดิ์ ทิพย์คงคา เลขาธิการ กอศ. มาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี และมีมติให้รับโอน น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) โดยให้เหตุผลของการโยกย้ายครั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ ในโครงการตามปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง หรือ SP2 ของอาชีวะ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง




เรียกเสียงเฮ เมื่อครม.มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ในวันที่ 21 ก.ย. 2553 เนื่องจากที่ผ่านมา ข้าราชการครูใช้พ.ร.บ.ครู ปี 2547 แต่เมื่อมีการปรับโครงสร้างเงินเดือน เมื่อปี 2551 ในส่วนของครูยังไม่มีการปรับให้เท่ากับข้าราชการหน่วยงานอื่น จึงเกิดความเหลื่อมล้ำ

ดังนั้น ศธ.จึงเสนอให้ปรับเงินเดือนครู 400,000 คน โดยปรับเงินเดือนตามโครงสร้าง ให้ครูมีเงินเดือนสูงเท่ากับบุคลากรทางการแพทย์ และบุคลากรทางกฎหมาย ซึ่งจะปรับให้ทันในเดือนเม.ย.2554 ซึ่งจะทำให้ครูมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 13 จากเดิมที่รัฐบาลจะปรับให้ร้อยละ 5 อยู่แล้ว

ทั้งนี้ จะใช้งบ 2,000 ล้านบาทต่อปี ในการดำเนินการ โดยอัตราเงินเดือนผู้ปฏิบัติการจากเดิม 6,800 บาท ได้รับการปรับเป็น 7,940 บาท และในส่วนครูผู้เชี่ยวชาญพิเศษจากเดิม 64,430 บาท ได้รับการปรับเป็น 66,480 บาท




กองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษามีสถานะถูกต้องตามกฎหมายเสียที เมื่อนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศธ. ลงนามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ.2553 เมื่อวันที่ 23 ส.ค. มีผลทำให้มีกองทุนรองรับการจัดตั้งกองทุนเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ที่ได้จัดสรรกองทุนประเดิม 5 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2553 สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้มอบเงินสมทบเข้ากองทุน 75 ล้าน รวมทั้งสิ้น 80 ล้านบาท

นายชินวรณ์ กล่าวเอาไว้ว่า การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาจะเป็นแรงขับเคลื่อนทำให้การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองบรรลุเป้าหมาย และช่วยในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งเป็นเครื่องมือช่วยในการพัฒนาครูด้วย




โครงการโทรทัศน์ครู (Teacher TV) เพื่อพัฒนาวิชาชีพครู แจ้งเกิดด้วยแนวคิดใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ถ่ายทอดตัวอย่างการสอนของเพื่อนครูในรูปแบบรายการโทรทัศน์ และประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนของตัวเอง ผ่านช่องทางการเผยแพร่จะสื่อสารผ่านเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เปิดตัวเมื่อ 15 ก.พ. 2553 พร้อมสถานีโทรทัศน์ทีวีไทยและทรูเคเบิล ช่อง 36 ให้ครูดาวน์โหลดรายการต่างๆ ไปใช้ได้อย่างสะดวก

สำหรับเนื้อหาของรายการจะนำเนื้อหาจากต่างประเทศ เช่น อังกฤษ ฟินแลนด์ มาปรับให้เข้ากับสังคมไทย พร้อมแปลเป็นภาษาไทย เพื่อให้ครูไทยได้เปิดโลกทัศน์ ขณะนี้มี 3,500 รายการ แบ่งเป็นหัวข้อการเรียนแต่ละกลุ่มสาระ

ขณะเดียวกันจะมีการผลิตรายการของไทยเอง โดยอาศัยครูที่สอนเก่งจากทั่วประเทศ สอนจริงในห้องเรียน รวมทั้งผสมผสานกับการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญให้ครูเห็นจุดเด่น ส่วนครูที่อยู่ห่างไกลจะมีการผลิตซีดีหรือดีวีดี ส่งไปให้สถานศึกษานั้นๆ ด้วย




เป็นอีกแนวทางในการปฏิรูปการศึกษาที่รัฐมนตรีศึกษาธิการยกมาเป็นประเด็นชูโรง และเร่งขับเคลื่อนไปยังทุกตำบลในประเทศไทย

ด้วยเหตุผลว่า ช่องว่างทางคุณภาพของโรงเรียนในเมืองและชนบท ซึ่งสร้างปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมระหว่างเมืองและชนบท จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาทุกโรงเรียนที่กระจายไปทั่วประเทศ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน "ชาติก้าวไกล โรงเรียนไทยเข้มแข็ง" จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างนายชินวรณ์ และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย เพื่อดำเนินโครงการโรงเรียนดีประจำตำบล 7,000 แห่งทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 5 พ.ย.

ผลที่ตามมาจากโรงเรียนดีประจำตำบล คือแนวคิดจะยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ตามหมู่บ้าน และตำบลต่างๆ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องเร่งหาข้อยุติต่อไป




นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ก้าวขึ้นมาเป็น รมว.ศึกษาธิการ คนใหม่ตั้งแต่ต้นปี พร้อมกับทบทวนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองอีกครั้ง โดยรอบแรกได้จัดสมัชชาปฏิรูปการศึกษา เพื่อระดมความคิดเห็นจากบรรดากูรูของวงการศึกษา ซึ่งนำมาสู่การกำหนดเป้าหมาย 4 ใหม่

ได้แก่ 1.สร้างคนไทยยุคใหม่ ให้เป็นคนไทยที่เก่ง ดี มีสุข ใฝ่รู้ ใฝ่ดี คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น มีความจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ ต่อต้านการทุจริต และเป็นพลเมืองยุคใหม่ที่ดีมีคุณภาพ 2.สร้างครูยุคใหม่ เปลี่ยนจากครูที่มุ่งแต่การสอน เป็นการเรียนรู้ให้มากขึ้น โดยจะพัฒนาครูทั้งระบบ 3.สถานศึกษายุคใหม่ ศธ.จะพัฒนาโรงเรียนที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล อย่างน้อยจังหวัดละ 3 โรงเรียน มีโรงเรียนดีประจำอำเภอ 500 โรงเรียน คืออย่างน้อยอำเภอละ 3 โรงเรียน และโรงเรียนดีประจำตำบล 7,000 โรงเรียน ทั่วประเทศ และ 4.การบริหารจัดการใหม่

จากนั้นก็จัดแถลงผลงานนโยบาย "180 วัน ร้อยเรียนรู้ มุ่งสู่การพัฒนา" เมื่อ 21 ส.ค. เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาการศึกษา 8 ด้าน

ได้แก่ 1.การปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่สอง 2.โครงการเรียนฟรี เรียนดี 15 ปีอย่างมีคุณภาพ 3.จัดตั้ง "โรงเรียนดีประจำตำบล" 4.พัฒนา การศึกษา 3 จังหวัดชายแดนใต้ 5.สร้างแหล่งเรียนรู้ราคาถูก คือ สำนัก งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ตำบล 6.จัดทำโครงการ Student Channel และ Thai Teacher TV 7.สร้างขวัญและกำลังใจครู และ 8.สนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับวิทยา ศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี


guest profile guest

จี้สทศ.เลิกสอบโอเน็ตฉบับสั้น'ชินภัทร'ชี้วัดผลสัมฤทธิ์ไม่ได้

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยถึงการจัดการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ตฉบับสั้น แก่นักเรียนชั้น ป.6 และ ม.3 เดือนกุมภาพันธ์ 2554 ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)จะขอให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ทบทวนเรื่องการใช้ข้อสอบโอเน็ตฉบับสั้น เพื่อไปใช้ข้อสอบฉบับยาวเช่นเดิม เพราะมองว่าการสอบโอเน็ตฉบับสั้นไม่สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่แท้จริงของเด็กได้ แต่สพฐ.อยากให้การสอบโอเน็ตสะท้อนคุณภาพผู้เรียน และคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนด้วย เพราะต่อไปสพฐ.พยายามจะให้โรงเรียนใช้ผลการสอบโอเน็ตในการเข้าเรียนมากขึ้น

"การสอบโอเน็ตฉบับสั้น เด็กจะได้ทำข้อสอบเพียงบางข้อเท่านั้น จึงไม่สะท้อนผลการเรียนของเด็ก เท่ากับการสอบไม่เป็นประโยชน์เท่าที่ควร ที่ผ่านมาในการประชุมร่วมกับบอร์ด สทศ.ก็มีความขัดแย้งในเรื่องนี้ หากปีนี้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนข้อสอบฉบับสั้นให้เป็นฉบับยาวได้ทัน ก็คงต้องใช้ไปก่อน แต่ในปีต่อไป สพฐ.อยากให้กลับมาใช้ฉบับยาวเช่นเดิม" นายชินภัทรกล่าว

นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสทศ.กล่าวว่า การสอบโอเน็ตเดือนกุมภาพันธ์คงต้องทำต่อไป เพราะวางแผนงานไว้หมดแล้ว แต่หลังจากสอบเสร็จแล้ว ต้องกลับมาดู และทำวิจัยข้อสอบอีกครั้ง ว่าข้อสอบที่สอบไปนั้น วัดและประเมินผลได้เป็นไปตามเป้าหมายของโอเน็ตฉบับสั้นหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามนั้นก็ต้องทบทวนทั้งนี้ สำหรับข้อสอบฉบับสั้นจะจัดสอบให้นักเรียนชั้น ป.6 และ ม.3 ทั้งหมด 8 กลุ่มสาระ คือ สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษคณิตศาสตร์ รวม 40 ข้อ ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานและอาชีพและเทคโนโลยี 50 ข้อ ใช้เวลา 1.30 ชั่วโมงส่วนนักเรียนชั้น ม.6 สอบวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ยังเป็นข้อสอบฉบับยาว 6 วิชาคือ สังคมศึกษา คณิต ภาษาอังกฤษ วิทย์สุขศึกษา ศิลปะ การงาน วิชาละ 2 ชั่วโมงประกาศผลสอบวันที่ 10 เมษายน 2554 และโรงเรียนเข้ามาดูผลสอบได้ตั้งแต่วันที่20 มีนาคม

 

ที่มา : --มติชน ฉบับวันที่ 31 ธ.ค. 2553 (กรอบบ่าย)

guest profile guest

กางปฏิทินรับนักเรียน ปีการศึกษา 2554


* ระดับอนุบาล
รับสมัคร 29 ม.ค.-2 ก.พ. 54 จับสลากประกาศผล และรายงานตัว 6 ก.พ. มอบตัว 13 ก.พ.

* ระดับชั้น ป.1 รับสมัคร 5-9 ก.พ. จับสลาก ประกาศผล และรายงานตัว13 ก.พ. มอบตัว 20 ก.พ.

* ระดับชั้น ม.1

นักเรียนในเขตพื้นที่บริการประเภทสอบคัดเลือก (ถ้ามี) รับสมัคร 12-16 มี.ค.สอบ 19 มี.ค.ประกาศผล และรายงานตัว 22 มี.ค. มอบตัว 2 เม.ย.

ประเภทจับสลาก รับสมัคร 12-16 มี.ค. จับสลาก ประกาศผล และรายงานตัว 27 มี.ค. มอบตัว 2 เม.ย. ประเภทนักเรียนทั่วไปที่ใช้คะแนนทดสอบความพร้อมพื้นฐานฯ รับสมัคร 12-16 มี.ค. สอบคัดเลือก 19 มี.ค. ประกาศผลและรายงานตัว 22 มี.ค. มอบตัว 2 เม.ย. ประเภทนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ(ถ้ามี) รับสมัคร 12-13 มี.ค. คัดเลือก 14 มี.ค. ประกาศผลและรายงาน ตัว 15 มี.ค. มอบตัว 2 เม.ย.

ส่วนนักเรียนที่มีความประสงค์จะให้คณะกรรมการ สพป.และ สพม.จัดหาที่เรียนให้ รับสมัคร 3-4 เม.ย. ประกาศผล 7 เม.ย.รายงานตัว 8 เม.ย. ประกาศการจัดหาที่เรียนให้นักเรียน
ในเขตพื้นที่การศึกษาทุกคนอีกครั้ง 16 พ.ค.

* ระดับชั้น ม.4

ประเภทรับนักเรียนที่จบชั้น ม.3 เดิมการรับสมัครและประกาศผลให้เป็นไปตามกำหนดการของโรงเรียนรายงานตัว 27 มี.ค. มอบตัว 3 เม.ย., ประเภทรับนักเรียนที่จบชั้น ม.3 จากโรงเรียนอื่นและโรงเรียนเดิมโดยสอบคัดเลือก รับสมัคร 12-16 มี.ค.สอบคัดเลือก 20 มี.ค.(โดยใช้แบบทดสอบความสามารถพิเศษทางวิชาการของโรงเรียน) ประกาศผล 23 มี.ค. รายงานตัว 27 มี.ค.มอบตัว 3 เม.ย.

ส่วนประเภทใช้คะแนนผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร ม.ปลาย (GPAX) หรือใช้คะแนน O-NET รับสมัคร23-27 มี.ค. ประกาศผลและรายงานตัว 29 มี.ค. มอบตัว 3 เม.ย., ประเภทนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษรับสมัคร 12-13 มี.ค. คัดเลือก 14 มี.ค. ประกาศผลและรายงานตัว 15 มี.ค. มอบตัว 3 เม.ย.

ทั้งนี้ ดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ สพฐ. www.obec.go.th  หรือสอบถาม โทร.0-2288-5512

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

 

guest profile guest

เคล็ดลับการเรียนเก่งด้วยตัวเอง

เริ่มจาก ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหน จากนั้นลงมือทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

-หากวิชาไหนที่ยากมาก ลองรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ช่วยกันติว

-หาเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกๆวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง จนเป็นนิสัย

-ฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอๆ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ จัดระเบียบความคิด และ สรุปเนื้อหา

-ทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา

-อย่างสุดท้ายต้องตั้งใจเรียนด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครช่วยเราได้


เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถเรียนเก่งได้ด้วยตัวเอง

 

ขอบคุณที่มา เดลินิวส์

guest profile guest
3217

ชีวิตเป็นไปตามไตรลักษณ์   คือ  อนิจจัง ทุกขัง  อนัตตา
ทุกข์  สมุห์ทัย  นิโรธ  มรรค
ทาน ศีล ภาวนา
ศีล  สมาธิ  ปัญญา
ละชั่ว ทำดี  จิตบริสุทธิ์

เหนื่อยใจจังเลย..............เราต้องต่อสู้กับความไม่รู้ ความโง่ของศิษยอีกต่อไปใช่ไหม?   เราต้องชี้ทางสว่าง ทางสวรรค์ให้เขาต่อไปอีกใช่ไหม.....แล้วเมื่อไหร่เราจะได้พักสักทีนะ.........

อายุก็มากแล้ว  31 ปี....

แต่กลับมาทบทวนดูในหลวงของเราเหนื่อยกว่าอีก
พระพุทธเจ้าของเรายิ่งเหนื่อยกว่าอีกมากมาก

ออกบวช 29  ตรัสรู้ 35 สั่งสอนมนุษย์ 45  ดับขันธ์ 80 ปี
พระพุทธเจ้าเหนื่อยกว่าเราอีกมาก  พระมหากรุณาธิคุณเหนื่อสิ่งอื่นใด พระพุทธองค์ต้องต่อสู้กับมนุษย์สี่เหล่า ตั้ง 45 ปี

แล้วเราล่ะ....ต่อสู้มากี่ปีแล้ว  เป็นครูปีการศึกษาแรกเมื่อ  2545
ตอนนี้ปีการศึกษา 2553  นับได้ 9  ปีแล้วเป็น 1 ส่วนใน 5 ส่วนของพระพุทธองค์  แต่ทำไมเรารู้สึกเหนื่อยอยางนี้นะ

กำหนดวันตายของเราคือวันที่   20 ตุลาคม 2594   อายุ 72 ปี ครบ 6 รอบ  เกษียณ 60 ปี  อีก 12 ปี ปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด

อีกทางเลือกหนึ่งคือ เกษียณตัวเอง  40 ปี  อีก 32 ปี ปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด

ถ้าดวงชะตาเป็นไปตามทางเลือกที่ 2  คือเกษียณตัวเอง 40 ปี  นั่นก็หมายความว่า ข้าพเจ้าจะมีเวลาปฏิบัติราชการอีก 9 ปีนับต่อจากนี้ไป....แล้วหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็อาจปลีกวิเวกค้นหาพระนิพพาน

1 วัน ของสวรรค์ เท่ากับ 100 ปีของมนุษย์   อายุเทวดาคือ 1000ปีทิพย์  โลกมนุษย์ช่างสั้นนัก  แต่มมนุษย์ก็ยังทำชั่วอยู่ร่ำไป
บาปไม่ทำเสียเลยเป็นดีที่สุด เพราะมันไม่คุ้มค่าเลยถ้าต้องตกนรกไปเป็นสัตว์นรกหลายล้านปี 

มนุษย์เกิดมาทำไม   คำตอบคือเกิดมาเพื่อทำความดีสร้างบารมีเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร    เกิดมาเพื่อพระนิพพานให้แจ้ง
แล้วอีกกี่ชาตินะที่เราจะค้นพบพระนิพพาน มีจิตเกษม

สงสารพวกมนุษย์เหล่านั้นจังเลย ที่ต้องทำบาปอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จิตไม่นิ่ง  มีกิเลสครอบงำจิต  เราได้แต่ภาวนาให้เขาค้นพบสัจธรรม เข้าใจธรรมะ......แต่ต้องทำใจเพราะยุคนี้คือ  กลียุค.......จะมีคนชั่วมากกว่าคนดี....
คนดีต้องระวังตัวในการทำดีและคอยควบคุมคนไม่ดีพร้อมทั้งช่วยอบรมสั่งสอนคนไม่ดี.....ก็ย่อมต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา



สู้ ๆนะ...ให้กำลังใจตัวเอง 


guest profile guest
3224  วันนี้มีแต่เรื่องร้าย ๆ เครียด และกังวลหลายเรื่อง
เช่น ตรวจผมนักเรียนชาย  ตามล่านักเรียนสอบซ่อม 2 เดือนแล้วบางคนยังไม่ผ่านทำงานยังไม่เสร็จ  ....พิมพ์รายชื่อผ้าป่า   ประชุมกิจการ  ปัญหาพฤติกรรมชู้สาว  เราต้องแก้ปัญหาพวกนี้ให้ได้....สู้ ๆ
guest profile guest
3227 วันนี้เราทำงานคุ้มกับเงินเดือนแล้วหรือยัง...และวันนี้เราทำหน้าที่ของความเป็นครูดีที่สุดแล้วหรือยัง.....
วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องตามแก้ปัญหาให้กับนักเรียน
1.ตัดผมผิดทรง  และไม่ตัดผม  ตอนเช้าแก้ข้างหน้ายาวให้กับศตวรรษ/9และทิตวัตร์/5   และมีสองคนที่ข้าพเจ้าต้องจัดการด้วยตนเองก็คือพิพัฒน์/9และศิริชัย/11 คาบแรกข้าพเจ้าสอน3/2 พอคาบ 2 ข้าพเจ้าก็พาไปตัดที่ร้านหน้าโรงเรียน  เซ็นชื่อขออนุญาตที่ป้อมยามเพื่อพานักเรียนไปตัดผม และก็ให้นักเรียนเขียนใบขออนุญาตด้วย   พิพัฒน์ตัดร้านหน้าวัด  ส่วนศิริชัยตัดร้านหน้าโรงเรียน ตรงข้ามบ้านตี๋( สัญญา แสนพันธ์ ) ทั้งสองร้าน ราคา 20 บาท  ถูกมากและก็อยากให้นักเรียนทุกคนตัดร้านนี้ด้วย ประหยัดเงินด้วย จัดการเรียบร้อยไปแล้ว สอง คน ส่วนคนอืน ๆนั้นข้าพเจ้าให้ไปแก้เอง เพราะเขาบอกว่าจะไปแก้เอง แล้วจะคอยดูว่าวันจันทร์ตัดเรียบร้อยหรือไม่

2.สอบซ่อมนักเรียนในตอนเย็น ไปติดต่อครูปริศนา อาจารย์ท่านใจดีมากอนุญาตให้เราเข้าพบด้วย  ภาษาอังกฤษเหลือเจนจิราเพียงคนเดียวที่ยังไม่ผ่าน เจนยังไม่ผ่านภาษาจีนด้วย  ตั้งสองเดือนแล้วยังๆไม่ผ่านสักที  ยังไงก็ตามก็จะต้องผ่านไปได้ด้วยดี  ...คอยดู

3.วันนี้ไม่ได้ร่วมตักบาตรเลย  ไม่มีเวลาไปเลย เพราะต้องควบคุมแถว  มี ม.2 บางส่วนที่ร่วมไปทำบุญ อนุโมทนาด้วย....

4.จัดงานวันเด็ก  ตอนเช้ารองฯฝ่ายกิจการนักเรียนอ่านสาร์นจากนายกรัฐมนตรี คำขวัญวันเด็กเน้นให้มีจิตสาธารณะ  ชอบมาก ส่วนห้องม.2/1 ของเราคาบ 7 เป็นคาบโฮมรูม  เราก็มีการจับฉลากชื่อมอบรางวัลวันเด็กให้กับนักเรียนด้วย  เป็นเงินจากครูหม่อน 300 บาทส่วนที่เหลือก็เป็นเงินครูวิดประมาณ 850 บาท  ....รวมเงินทั้งสิ้น 1,150บาท แยกเป็นรางวัล 100 บาท 1 รางวัล  50 บาท 3 รางวัลและ 20 บาท 45 รางวัล.....สนุกมากลุ้นเหลือเกินว่าใครบ้างจะได้ 50 บาท และ 100 บาท คนที่ได้ 100 บาท คือ แม๊กสรศักดิ์ ส่วนคนที่ได้ 50 บาท ก็มีมาวิน  แหม่ม และ......(ไม่ได้จำ) เรามีความสุขนะที่ได้ให้เงินรางวัลแก่เด็ก ๆ  ได้ทำบุญด้วย  ถ้าเรามีเงินเดือนมากกว่านี้ เราอาจจะให้รางวัลเยอะๆกว่านี้อีก  
ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี  งานจัดเลี้ยงปีใหม่  และงานวันเด็ก  ที่ทำไปก็เพราะรักศิษย์ทุก ๆคน.....และตอบแทนที่ทุกคนตั้งใจทำความดี สอบผ่านกันเกือบทุก ๆ คน  อ้อลืมไป ได้มอบของชำร่วยสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังให้กับนักเรียนที่ไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงด้วย ได้แก่ จอห์น บอส  มารถ   มิก ปรินซ์ กอล์ฟ และฝน เป็นพวงกุญแจสีม่วงซึ่งเป็นสีที่เราสังกัด

คาบ 5 ส พานักเรียนไปเก็บขยะหน้าอาคาร 2 เพื่อเป็นการทำบุญบางส่วนก็ไปสอบคอมพ์ ครูหม่อนช่วยควบคุมด้วย 


5.งานให้คำปรึกษากับนิรชา/9 คุยกันประมาณ 1 ชั่วโมง และให้เจนอยู่ตอนเย็นด้วยเพื่อไปติดต่อภาษาจีนและอังกฤษ 

6.หลังเลิกเรียนไปเยี่ยมบ้านสัญญาพบผู้ปกครองด้วย บอกปัญหาเข้าห้องเรียนสายและยังสอบซ่อมไม่ผ่าน 2 วิชา คุยการสลายชุมนุมตอนเช้า ว่าต้องเลิกพฤติกรรมมาสายได้แล้ว  พบผู้ปกครองสหรัฐด้วย เรืองแก้ทรงผม  ตัดผิดทรง สัญญาก็ตัดผิดทรงแต่ไล่ให้ตัดเรียบร้อยแล้ว   ข้าพเจ้าไปเยี่ยมบ้านนักเรียนร่วมกันกับครูสุภัทรา แสงวัฒน์ ครูที่ปรึกษา ม.2/11 กลับบ้านประมาณ 6 โมง40 นาที ได้สั่งการให้พรชัยตัดด้านบนด้วย มีการขัดขืน ต้องโทรบอกผู้ปกครองให้จัดการ   จนเขาตัดเรียบร้อยแต่โดยดี  แต่จะเอาโทษฐานขัดคำสั่งครู ถือว่าไม่เคารพครู วันจันทร์จะลงโทษ

7. หลังเลิกเรียนข้าพเจ้าไปดูนักเรียนสอบพิมพ์ดีด นาทีละ 10 คำที่ห้องคอมพิวเตอร์ครูรสสุคนธ์ ไล่นักเรียนทุกคนขึ้นไปสอบให้เสร็จ....คมสันผ่านคอมพ์แล้ว ดีใจมาก...

8. ติวข้อสอบนักเรียน ม.3 และม. 5 สนุกดีบอกว่า ควรอ่านหนังสือด้วยตัวเองให้มากที่สุดเพื่อประหยัดเงิน

วันนี้ ทำงานสุดความสามารถ  แก้ปัญหานักเรียนได้ระดับหนึ่ง
วันจันทร์จะจัดการอีก



guest profile guest

ความกตัญญู

ถ้าไม่มีนักเรียน ก็ไม่มี  ครูในวันนี้
ถ้าไม่มีนักเรียน ก็ไม่มี  งานทำ
ถ้าไม่มีคนโง่ให้สอน  ก็ไม่ต้องมีครู
ถ้าไม่มีนักเรียนให้ทำวิจัย เป็นหนูทดลอง ก็ไม่มี ตำแหน่งวิทยฐานะ คศ.3 คศ.4หรือคศ.5
ถ้าไม่มีนักเรียน ก็ไม่มี  เงินเดือน
ถ้าไม่มีนักเรียน ก็ไม่ได้ ลองวิชา
ถ้าไม่มีนักเรียนก็ไม่ได้ ทำบุญธรรมทาน
ถ้าไม่มีนักเรียนก็ไม่มีโรงเรียน
ถ้าไม่มีโรงเรียนก็ไม่มี ครู
ถ้านักเรียนไม่มี  ครูก็ตกงาน   ถูกจ้างออก
ถ้านักเรียนฉลาดแล้ว ดีแล้ว ก็ไม่ต้องใช้ครู
ถ้านักเรียนมีปัญหา  แล้วจึงต้องมีครู
ครูจึงมีขึ้นมาเพื่อขจัดปัญหาในสังคม
ครูจึงเป็นผู้ที่ต้องแก้ปัญหานักเรียน
แก้ปัญหาเรียนโง่ นิสัยเสื่อม สร้างคนให้เป็นคน
 ...ณ วันนี้ ครูทุกสังกัด ทุกภูมิภาค ทุกพื้นแผ่นดินไทย ทุกธรณี ได้ทำหน้าที่ ครูที่ถูกต้องแล้วหรือยัง  คุณเป็นครูประเภทไหน  เช้าชามตามคำปรามาสหรือไม่  คุณช่วยเหลือนักเรียน ในระบบดูแลนักเรียนได้กี่คน คุณช่วยชีวิตนักเรียนได้กี่คน คุณสนใจนักเรียนของคุณดีแล้วหรือยัง....
หรือคุณเป็นครูเพียงแค่มีเงินเดือนเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอดเท่านั้น..... 



guest profile guest
3239 เมื่อวานวันเสาร์ ข้าพเจ้าติว O-NET ม. 3 ตอนกลางวันจับธยาน์ พลังธรรมและอานุภาพ นักเรียนม.2 ในความปกครองของหัวหน้าระดับนววิธ ไปตัดผมใหม่ที่ร้านตัดผมตรงข้ามบ้านสัญญาแสนพันธ์(ตี๋)  และได้ติวคณิตให้ได้ สนุกดี อีกครึ่งวันบ่าย อบรมการรักษาตัวให้อยู่รอดปลอดภัยจากเพศตรงข้าม บรรยายให้ธยาน์และศิริชัย ชาวนา ฟังเลิกบ่าย 2 โมง จากนั้นก็เย็บข้อสอบม.3สำหรับเตรียมสอบกลางภาควันอังคารที่ 11 ม.ค.2554 ให้โจม.2มาช่วยนับกระดาษทด และตัดตกแต่งกระดาษทดให้สวยงาม งานสำเร็จไปได้ด้วยดี
guest profile guest

เมื่อศุกร์ที่ผ่านมา 7 ม.ค. โรงเรียนได้แจกขนม ไอศกรีม เลี้ยงนักเรียนในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ส่วนตรงข้ามโรงเรียนก็มีการจัดวันเด็กมีการแสดงของนักเรียนก่อนปฐมวัย   ในโอกาสวันเด็กก็ขอให้เด็กในยุคกลียุคนี้ จงรักษาตัวรอดให้ปลอดภัยจากอบายมุขทั้งปวงไม่ตกเป็นเหยื่อของเกมคอมพิวเตอร์ การพนัน และยาเสพติด รวมทั้งกามารมณ์เพศ ทั้งหลาย   .....สาธุ  เป็นห่วงอนาคตประเทศไทยจังเลย......

guest profile guest

โปรดจำไว้เสมอว่า
1. เราเป็นนักเรียนทุนตั้งแต่ ประถม 6 จนถึง มหาวิทยาลัย
2. เราเป็นนักเรียนทุนโครงการครูคณิตศาสตร์ของประเทศ(รพค.)
3.เราเป็นบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4.เราเป็นข้าราชการครูในองค์ภูมิพล
5.เราเป็นพุทธศาสนิกชน ชาวพุทธที่ดี
ฉะนั้น เราเป็นที่พึ่งของนักเรียน ของโรงเรียน ของชุมชน ของสังคมและประเทศชาติ เราคือความหวังของแผ่นดินไทย  ดังนั้นเราจะทำตัวเยี่ยงสามัญชนทั่วไปมิได้  
โปรดจำด้วยว่า เกียรติภูมิจุฬาฯคือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชนและความเรืองปัญญาและคุณธรรมคือมาตรฐานคุณภาพบัณฑิตครุศาสตร์จุฬาฯ ศักดิ์ศรีนักเรียนทุนของประเทศ....อย่าลืม ใครจะคิดอย่างไรก็ช่างเขา กิเลสของเขาแตกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง 
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราต้องเป็นครูตัวอย่าง ครูต้นแบบอย่างแท้จริงให้กับนักเรียนของเรา    นักเรียนที่จะก้าวมาเป็นครูแทนเราในอนาคต เด็ก ๆ มัธยมของเรา กำลังจับจ้องดูเราว่า  เราเป็นนักเรียนทุนคณิตศาสตร์ของจุฬาฯ ซึ่งจบออกมาถือได้ว่า มีคุณภาพชั้นเยี่ยมของประเทศแล้ว....จะประพฤติปฏิบัติตนเช่นไร  สมเกียรตินักเรียนทุนหรือไม่ เป็นครูที่ดีแค่ไหน....หรืองั้นๆแหละไม่แตกต่างจากครูทั่วๆ ไป....เราจะต้องเป็นที่พึ่งของเขาให้ได้      ทำให้เขาได้เห็นว่า นี่แหละศักดิ์ศรีบัณฑิตทุนคณิตศาสตร์จุฬาฯ ผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดียี่งจากเหล่าคณาจารย์ เหล่าศาสตราจารย์รั้วจามจุรี....ดังนั้นใครก็ตามจะไม่มีวันมาปรามาสดูถูกเราได้.....ทุกวันนี้เราทำงานอย่างเต็มกำลัง ทำงานเพื่อรักษาศักดิ์ศรี ประกาศศักดาให้รู้ไปเลยว่า  เราคือนววิธ ศรีปลั่ง  คิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เป็นคนนิสัยอย่างนี้  ...เราพยายามเป็นครูต้นแบบให้ครูทั่วไปได้เห็นว่า  เราคือเรา เป็นบล็อกเป็นแบบเป็นต้นแบบอีกแบบหนึ่งที่ครูทั่วไปสามารถนำไปประพฤติปฏิบัติตนตามได้.....เรากำลังสอนความเป็นครูที่ดีให้กับครูรุ่นน้อง ครูบรรจุใหม่ ครูอัตราจ้าง หลาย ๆ คน แต่ไม่รู้ว่า  เขาจะทำตามเราได้มากน้อยแค่ไหน....ความเป็นครู ไม่ต้องไปเรียนรู้ที่ไหน   แต่เราเรียนรูได้จากความเป็นครูของครูทุกคนในโรงเรียน....เพราะครูทุกคนขึ้นชื่อว่าเป็น บัณฑิต ผู้ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร  ผู้ที่ได้ปฏิญาณตนว่าจะเป็นบัณฑิตที่ดีของประเทศ  เป็นชนชั้นระดับกะทิของประเทศไทย และเป็นความหวังของสังคมประเทศไทย ....
พวกเราชาวบางบ่อวิทยาคม ต่างชื่นชมรักมั่นในศักด์ศรี

guest profile guest

ความเป็นครู

หน้าที่ของครู ไม่ได้เริ่มต้นและจบที่ 08.30-16.30 น. ของวันจันทร์-ศุกร์ แต่หน้าที่ครู เป็นได้ทุกวัน ไม่เว้นวันเสาร์หรืออาทิตย์  เป็นได้ทุก ๆ เวลา ทุกสถานที่  เป็นได้ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นได้ถ้ามีจิตวิญญาณความเป็นครู

หน้าที่นักเรียนไม่ได้เริ่มต้นและจบเพียงแค่ คาบ 1-8 ที่โรงเรียนเท่านั้น แต่หน้าที่ความเป็นนักเรียนจะติดตัวไปตลอดเวลา ตลอดวัน ทุกที่ ทุกโอกาส  แม้จะอยู่นอกกำแพงโรงเรียนก็ยังคงเป็นนักเรียน แต่งเครื่องแบบเรียบร้อยสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นักเรียนที่ดี  ความเป็นนักเรียนจะติดตัวไปจนหมดสภาพความเป็นนักเรียน จนกว่าจะจบหลักสูตรของทางโรงเรียน

ใครที่เข้าใจอะไรผิดไป โปรดเข้าใจเสียใหม่ตามนี้ ทั้งครูและเหล่านักเรียนทุกคนทุกนาม

ที่ไหนไหน  ตรงไหน ก็เป็นโรงเรียนได้ทั้งนั้น ถ้าที่ที่แห่งนั้น มีครูและนักเรียน  โรงเรียนไม่ได้จำกัดอยู่ในกรอบกำแพงสี่เหลี่ยมหรือรั้วโรงเรียนเท่านั้น แต่ทุกพื้นที่ในแผ่นดินเป็นโรงเรียนได้ทั้งหมด  ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนรู้อะไร  มีครูและศิษย์หรือไม่.....ดังนั้นที่ใดใดในปฐพีนี้ ถ้าหากมีครูกับนักเรียนนั่งพูดคุยสนทนาอบรมสั่งสอนกันอยู่ ที่แห่งนั่นย่อมคือโรงเรียนแห่งหนึ่งเสมอ

guest profile guest

โรงเรียนบางบ่อวิทยาคม เป็นโรงเรียนต้นแบบ ๑ อำเภอ ๑ โรงเรียนในฝัน เป็นโรงเรียนรับรางวัลพระราชทานปีพุทธศักราช 2525 เป็นโรงเรียนเก่าแก่และมีชื่อเสียงมายาวนาน เป็นโรงเรียนแผ่นดินธรรม เป็นโรงเรียนคุณธรรมชั้นนำของประเทศไทย  มีประชากรนักเรียน ประมาณ 2,500 คน ประชากรครู ประมาณ 100 คน และเราก็จะพยายามควบคุมประชากรไม่ให้มากไปกว่านี้  เราเน้นคุณภาพของประชากรนักเรียนที่ดีมีคุณภาพ  เราไม่เน้นปริมาณที่ด้อยคุณภาพ นักเรียนของข้าพเจ้าทุกคนต้องมีความเคารพ ครูบาอาจารย์แต่งตัวให้เกียรติครูบาอาจารย์  ใครก็ตามที่ขัดคำสั่งหรือไม่เชื่อฟัง ลบหลู่ดูหมิ่นครูอาจารย์  นักเรียนผู้นั้นต้องได้รับโทษสถานหนัก และไม่ได้รับการให้เกียรติเชื่อถือจากข้าพเจ้าอีกต่อไป ถ้าหากนิสัยยังไม่ปรับปรุง    ข้าพเจ้าจะไม่คบคนพาลโดยสิ้นเชิง.....พาลผู้ใดที่มอบตัวเป็นศิษย์ของข้าพเจ้าแล้วไซร้ ถ้ายังไม่แก้ไขดัดนิสัยตัวเองให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแล้ว พาลผู้นั้นไม่มีสิทธิ์เหยียบแผ่นดินบ.บ.ว.อีกต่อไป

guest profile guest
ลูกศิษย์ คือ กระจกเงาของครู
guest profile guest
3281 เมื่อวานนี้อังคาร 11 ม.ค. 2554 คุณตาของน้องโจเสียชีวิตอายุประมาณ 80 ปี  ตอนเย็นครูวิดไปรดน้ำศพที่วัดบางบ่อ ศาลา 5 เวลาประมาณบ่าย 4 โมงเย็น  และวันนี้ก็ไม่ได้ไปฟังสวดอภิธรรมเพราะไม่สบาย ไอเล็กน้อย แต่ก็ได้ช่วยปัจจัยทำบุญด้วยแล้ว
guest profile guest

วันแรกของการสอบม.2 ตรวจผมนักเรียน ไล่ไปตัดเกรียนทุกคนแล้วยกเว้น  ปรีชา  นนทวัฒน์และกฤษณะ  วันศุกร์จะคอยดู..

guest profile guest
3290 (13 ม.ค.2554) วันสุดท้ายของการสอบม.3และม.ปลาย  วันนี้ม.3และม.6 ได้ถ่ายรูปรุ่นด้วยเพื่อนนำลงหนังสือรุ่นประจำปีนี้  ค่าหนังสือรุ่น+เลี้ยงโต๊ะจีนรวม 500 บาท ม.2 ของข้าพเจ้าปีนี้ต้องรีบเก็บเงินแล้วล่ะเพื่องานจะได้ไม่ฉุกละหุก
สิ่งต้องทำ
1.จัดโต๊ะถ่ายรูปมี 6 แถวกระดานและถ่ายรูปให้ดูดีทีสุด
2.เก็บเงินค่า เลี้ยงโต๊ะจีนและหนังสือรุ่น 500 บาท
3.ตัวแทนห้องทำหนังสือรุ่น โฟโต้ช็อบ ห้องละ 4 คน อบรมการตัดต่อรูปภาพเพื่อทำวีซีดีรุ่นและหนังสือรุ่น และเว็บรุ่น ซึ่งต้องทำให้เสร็จเร็วที่สุด สร้างกลุ่มรุ่นใน fb
4.ทำทะเบียนประวัตินักเรียน ชื่อชั้นเลขที่ ขอที่อยู่อีเมล์ของทุก ๆคน
5.ถ่ายภาพทำวีซีดีรุ่น
6.ม.3 ปีการศึกษา 2554 ต้องจบรุ่นที่ 1 ทั้งหมด 100 %
สู้ ๆ
guest profile guest

3299 ขอให้มนุษย์ทุกคนบรรลุนิพพานในเร็วพลัน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยแล้วเมื่อนั้นมนุษย์ทุกคนก็จะปราศจากความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิง

ไปร่วมงานแต่งงานฉลองมงคลสมรสครูข้าว ครูชาญดา ปันตา  14 ม.ค. 2554  ที่โรงเรียนเปร็งวิสุทธาธิบดี    ยินดีด้วยนะจ๊ะ
ไปร่วมงานนั่งโต๊ะเพื่อนสนิท พี่ตุ๊ก ครูกุล ครูกาญจนา+คุณแม่ ครูสร้อย ครูนุช และครูหลายๆ คนมากมาย  มีความสุขสนุกสนาน

......จะต้องไม่มีมนุษย์คนใดทำให้จิตใจข้าพเจ้าหวั่นไหวได้...ในการทำความดีอย่างยิ่งยวด..โดยเด็ดขาด.....ข้าพเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ในอีกไม่นาน.....เท่านั้น......แล้วเราจะต้องกลับไปในที่ที่เราจากมา......อีกไม่นานเกินรอ......จงอดทนกับความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของมนุษย์  อดทนกับความมักง่ายของคน  ความเอาแต่ใจไร้สาระของคน ความมิจฉาทิฐิของคน  จงอดทนอยู่ในยุค กลียุคให้ได้....เราต้องผ่านพ้นบททดสอบจากสวรรค์ให้ได้..... 31 ปีมนุษย์ผ่านไปแล้วนะ....สู้ๆ ...ปลอบใจตัวเอง

จะฝากความคิด ความรู้สึกของเรา ความเป็นตัวตนของเรา ชาติภพของเรา  ให้โลกได้รับรู้ในบันทึกเล่มนี้

เป็นความคิดและจิตวิญญาณของมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่ง......หนึ่งคนเท่านั้น.....หนึ่งเดียวในโลก.....ที่คิดเช่นนี้....คิดทวนกระแสโลกวัตถุนิยม  ....ความสุขที่เกิดจากการเสพวัตถุเงินตรา

ขอบคุณสวรรค์ที่ให้โอกาสฉันเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อทำความดี.....สนุกดีนะเป็นมนุษย์ได้รับรู้รสชาติหลายอย่าง โดยเฉพาะมนุษย์ด้วยกัน ได้เห็นคนที่เก่งทีสุดของโลก  ได้เห็นคนที่ดีที่สุดของเรา  ได้เห็นสมณะ
  และเราก็ยอมพลีตนเป็นคนที่จะถูกมนุษย์เอาเปรียบ เบียดเบียนอยู่ร่ำไป.....จนกายใจเราจะแตกดับ....

.....ขอบคุณมนุษย์หลายๆ คน ที่เป็นตัวละครให้เราได้ศึกษาไปจนกว่าชีวิตเราจะหาไม่....โดยเฉพาะมนุษย์ตัวจิ่วๆ น้อย ๆ ทั้งหลาย...รวมทั้งมนุษย์ผู้สูงวัย....

guest profile guest
16 ม.ค. 54  วันครู

   ข้าพเจ้าขอระลึกถึงพระคุณครูทุก ๆท่าน ขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดดลบันดาลให้ครูประสบความสุขในชีวิต
guest profile guest

ไฟเขียวเกณฑ์ใหม่เลื่อนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ-เชี่ยวชาญเอื้อครูมีผลงานเด่นระดับชาติ

เมื่อวันที่ 5 มกราคม นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการก.ค.ศ.ว่า ที่ประชุม ก.ค.ศ.ได้เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ในสายงานการสอน สายงานบริหารสถานศึกษาสายงานบริหารการศึกษา และสายงานนิเทศก์การศึกษา โดยการขอประเมินวิทยฐานะในเกณฑ์ดังกล่าวจะต้องให้ส่วนราชการต้นสังกัดเป็นผู้ขอ ซึ่งผู้ที่จะได้รับการพิจารณาต้องมีคุณสมบัติตามมาตรฐานวิทยฐานะ มีภาระงานการสอนขั้นต่ำ/ภาระงานตามที่ส่วนราชการกำหนด และปฏิบัติงานตามหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกับผู้ขอรับการประเมินวิทยฐานะ ว17/2552 มีผลงานดีเด่นเป็นที่ยอมรับในวงวิชาชีพ โดยต้องเป็นผลงานประเภทใดประเภทหนึ่ง ดังนี้มีผลงานดีเด่นที่ครูได้รับรางวัลสูงสุดระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ ผลงานดีเด่นที่เป็นที่ยอมรับจากส่วนราชการต้นสังกัดระดับกรมขึ้นไป และมีผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนที่สอดคล้องกับผลงานที่ดีเด่น

ประธานคณะกรรมการ ก.ค.ศ.กล่าวว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้รับการเสนอชื่อไม่ต้องจัดทำผลงานทางวิชาการในรูปแบบเอกสารเต็มรูปแบบ แต่ให้เขียนรายงานเกี่ยวกับผลงานดีเด่นที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ในหัวข้อปัญหาคืออะไร ปฏิบัติอย่างไร ผลเป็นอย่างไร ต่อไปจะทำอย่างไร โดยให้เขียนรายงานไม่เกิน 50 หน้ากระดาษเอ 4 สำหรับการประเมินจะมี 3 ด้าน คือ

ด้านที่ 1.ด้านวินัย คุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
ด้านที่ 2 ด้านความรู้ ความสามารถ และ
ด้านที่ 3 ด้านผลการปฏิบัติงาน

ส่วนการประเมินจะมีคณะกรรมการประเมิน 2 ชุด ประกอบด้วยคณะกรรมการชุดที่ 1 ประเมินด้านที่ 1. และ2.และคณะกรรมการชุดที่ 2 จะประเมินด้านที่ 3.ทั้งนี้ คณะกรรมการชุดที่ 2 จะมีกรรมการประเมินจำนวน 5 คนต่อผู้ขอ1 ราย ซึ่งจะเน้นการประเมินผลการพัฒนาคุณภาพในการปฏิบัติงานและผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ใช้รายงานของผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเสนอประกอบการพิจารณา และจะทำการประเมิน ณ สถานที่ปฏิบัติงานของผู้ได้รับการเสนอชื่อ ซึ่งการประเมินทั้ง 3 ด้านไม่สามารถพัฒนาหรือปรับปรุงได้ เว้นแต่รายงานเกี่ยวกับผลงานดีเด่นที่ประสบความสำเร็จ สามารถให้ปรับปรุงให้สมบูรณ์ได้

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการก.ค.ศ.ได้มอบหมายให้สำนัก งาน ก.ค.ศ.ไปจัดทำคู่มือการเตรียมความพร้อมจัดตั้งกรรมการประเมินให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนจากนั้นให้เสนอที่ประชุมคณะกรรมการก.ค.ศ.พิจารณาอีกครั้ง ก่อนที่จะประกาศใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวในปีนี้

"ร่างหลักเกณฑ์ที่ออกมาถือเป็นของขวัญให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผมเชื่อว่าจะทำให้เพื่อนครูได้วิทยฐานะชำนาญการพิเศษและเชี่ยวชาญเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยร่างเกณฑ์นี้จะครอบคลุมข้าราชการครูที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย" นายชินวรณ์กล่าว

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

guest profile guest

ส.ผู้ปกครองร.ร.หนุนใช้ไม้เรียว ตั้งกฎให้เลือก"ครู-พ่อแม่"ตี เผยห้ามตีเด็กยิ่งทำผิดเพิ่ม

กรณีข่าวผู้ปกครองและนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ นำคลิปครูทำโทษนักเรียนออกมาเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ http://www.thai. corporalpunishmentthailand.com เพื่อต่อต้านการใช้ไม้เรียวทำโทษของครูนั้น ซึ่งปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้สั่งให้นิติกรตรวจสอบข้อเท็จจริงครูที่ปรากฏอยู่ในคลิป ขณะที่เครือข่ายครูออกมาขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับการลงโทษนักเรียน พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการใช้ไม้เรียวลงโทษเด็กอย่างเหมาะสมนั้น


ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 มกราคม นายสุพัฒน์ เปรมสมบัติ ประธานเครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี กล่าวว่า การลงโทษเด็กนักเรียนโดยใช้ไม้เรียวต้องพิจารณาในข้อเท็จจริงในแต่ละกรณีๆ ไป ว่าครูตีสมเหตุสมผลหรือไม่ อีกทั้งในปัจจุบันเด็กนักเรียนก็เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีค่อนข้างรวดเร็ว บางคลิปที่นักเรียนทำร้ายร่างกายกัน ก็เป็นฝีมือการถ่ายคลิปของนักเรียนกันเองแล้วส่งต่อให้กัน การตรวจสอบคลิปการตีนักเรียนของครูนั้นควรดูถึงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เพื่อความเป็นธรรมของครูด้วย เพราะเชื่อว่าลึกๆ ในใจของครูทุกคนนั้นที่ทำโทษเด็กก็เพราะอยากให้เด็กเป็นเด็กดีไม่ทำผิดซ้ำสอง



ส่วนตัวผมคิดว่าเด็กที่กระทำความผิดก็ต้องมีการลงโทษอยู่ เพื่อให้เด็กเกิดความสำนึกเมื่อกระทำผิด หากไม่มีการทำโทษเด็กเลยเด็กก็จะไม่รู้สึกสำนึกถึงความผิดที่ตัวเองทำ และหากปล่อยให้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อาจจะกลายเป็นปัญหาสังคมต่อไปได้ การทำโทษเด็กนั้นก็ต้องมีขั้นมีตอน อย่างการอบรมสั่งสอน ภาคทัณฑ์ ตัดคะแนนความประพฤติ และการใช้ไม้เรียว


นายสุพัฒน์กล่าวอีกว่า ในส่วนของโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีการทำโทษด้วยการตีเด็กแต่ละครั้งจะเชิญผู้ปกครองเข้ามารับทราบด้วย โดยโรงเรียนจะให้สิทธินักเรียนที่ทำผิดได้เลือกวิธีการลงโทษว่าต้องการแบบใด มีทั้งจะให้ตัดคะแนนความประพฤติ หรือจะยอมถูกตี ซึ่งการตีก็จะมีให้เลือกด้วยว่าจะให้ครูตีหรือให้ผู้ปกครองตี ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนก็จะเลือกถูกตี เพราะไม่อยากถูกตัดคะแนน มีหลายครั้งที่เด็กให้ผู้ปกครองตีเองก็ร้องไห้ด้วยกันทั้งคู่


ขณะที่ พ.อ.ธีรพล หมั่นยิ่ง ประธานเครือข่ายผู้ปกครองโรงเรียนโยธินบูรณะ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการลงโทษนักเรียนด้วยวิธีการเฆี่ยนตียังจำเป็น เพราะเด็กยุคนี้ขาดระเบียบวินัย บวกกับพ่อแม่ตามใจมากเกินไป ซึ่งพบว่าการห้ามครูตีนักเรียนยิ่งทำให้เด็กทำผิดระเบียบมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการออกระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 โดยห้ามลงโทษนักเรียนด้วยการตีนั้น คิดว่าเจตนาของการออกระเบียบดังกล่าว ต้องการควบคุมครูที่ตีนักเรียนโดยไม่มีเหตุผล และรุนแรงเกินไป แต่ถ้าครูตีด้วยเหตุผล มีสติ และจิตสำนึกของความเป็นครู รวมทั้งชี้แจงให้ผู้ปกครองรับทราบว่าทำไมต้องตี เชื่อว่าผู้ปกครองเข้าใจ


"ในส่วนของโรงเรียนโยธินบูรณะ ตั้งแต่ผมเป็นประธานเครือข่าย ยังไม่มีผู้ปกครองมาร้องเรียน หรือตำหนิว่าลูกหลานถูกครูตีโดยไม่มีเหตุผล เพราะทางโรงเรียนได้ทำความเข้าใจกับผู้ปกครองตลอด ว่าถ้าหากลูกหลานทำผิดระเบียบรุนแรง จะใช้วิธีลงโทษด้วยการตี ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็ยินยอมและเข้าใจ ยืนยันว่าการลงโทษด้วยการตีมีความจำเป็น แต่ครูและโรงเรียนต้องทำความใจกับผู้ปกครองก่อนว่าถ้านักเรียนทำความผิดระดับใด จึงจะถูกลงโทษด้วยวิธีการตี"

 

ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

guest profile guest

ทำไมเรารู้สึกว่า  เราเหนื่อย.....เราเคี่ยวเข็ญให้เด็กเป็นคนดีมีวินัยอยู่ฝ่ายเดียว    คนอื่นๆ  เขาเหนื่อยเหมือนเราหรือไม่....
ขยะ ยังเต็มพื้นถนน   เขาสั่งให้เก็บบ้างไหม
เสื้อลอยชาย
ไม่คล้องบัตร
ผมไม่เกรียน
พูดจาไม่สุภาพ
นิสัยเด็กยังไม่ดีขึ้นเลย
...แล้วครูเราทำอะไรกันอยู่นะ.....
เราไม่ชอบที่เด็กเรียนเก่งแต่มีนิสัยเห็นแก่ตัว
ถ้าเป็นอย่างนี้เด็กเห็นแก่ตัวพวกนี้จะไปทำลายอนาคตของชาติ เหมือนกับจอมโจรบัณฑิต จอมโจรเสื้อครุย.....

เราไม่อยากจะเห็นความย่อยยับของประเทศเลย
แต่อย่างไรก็ตาม   ฉันจะเหนื่อยต่อไป
เพื่อต่อสู้กับปัญหาขยะ  ปัญหานักเรียนเห็นแก่ตัว     ทิ้งขยะกันอยู่ได้  อกตัญญูต่อโรงเรียนจริง ๆ....แย่มาก....

อยากให้ครูเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียน.....
ข้าพเจ้าไม่สามารถจะไปบังคับใครได้
แต่ข้าพเจ้าจะเริ่มทำ  ....เริ่มที่ข้าพเจ้าเอง
ไม่หวังพึ่งใครทั้งนั้น

ทำไปจนกว่าจะตาย.....ตายเมื่อไหร่ ก็หมดหน้าที่เมื่อนั้น   จะอะไรนักหนาชีวิตมนุษย์
เราโชคร้ายจริงที่ตกสวรรค์มาเกิดในยุคกลียุค
ซึ่งเป็นยุคของมนุษย์ที่มีอายุขัยเฉลี่ยร้อยปีและมีคนชั่วมากกว่าคนดี......

เราต้องทนอยู่ทำความดีกับคนชั่ว ๆให้ได้......
และเมื่อคิวตายมาถึง เราก็จะมีความสุขที่สุด...หมดอายุขัยมนุษย์เสียที......

ได้กลับบ้านเราเสียที......สวรรค์.....วิมานที่เราเคยจากมา 31 ปีแล้ว.....สู้ต่อไป...มนุษย์นววิธ

guest profile guest

เราต้องมีสติ เพื่อลิขิตชีวิตให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม  ไม่ตามกระแสวัตถุนิยม กำจัดอบายมุขให้สิ้นซาก

มนุษย์มีหลายชนิด.....เราต้องระวังมนุษย์บางชนิดที่จะทำอันตรายต่อเรา....

guest profile guest

ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์  โปรดดลบันดาลให้ข้าพเจ้ามีกำลังกาย กำลังใจ  ชนะภัยพาลทั้งสิ้นทั้งปวงเทอญ

guest profile guest
ติดรายชื่อห้องบนบอร์ดกระจกลานเอนกประสงค์ งานผ้าป่า
ม.3 ไปทัศนศึกษาจ.อยุธยา  วัดในประวัติศาสตร์ไทย

.....กรรมลิขิต.....
guest profile guest

ตามลมหายใจเข้าออก  ตั้งสติ    เตรียมตัวตาย

guest profile guest

โลกธรรม 8

สุข -ทุกข์

สรรเสริญ - นินทา

ลาภ-เสื่อมลาภ

ยศ-เสื่อมยศ

เราต้องมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม

guest profile guest
3355 โอวาทผอสจ.
นักเรียนตก ผู้มีความผิด คือ ครูผู้สอน ครูที่ปรึกษา และตัวนักเรียน  มี 3 ส่วนที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน  ครูผู้สอนผิดในฐานะวัดผลประเมินผลผิดพลาด ครูที่ปรึกษาผิดในเรื่องระบบดูแลนักเรียน นักเรียนผิดที่ต้องสอบตก ไม่ตั้งใจเรียน  ใครกันแน่ที่ผิด......
guest profile guest
3379 เสาร์นี้ติวโอเนตคณิตม.3  ยังทำได้ไม่ดีพอ.....
แม้ว่าจะเตรียมตัวสอนถึง ตี 1 ก็ตาม
ความกังวลไม่เคยทำให้ดีขึ้น....
ง่วง.....ไม่สดชื่น. ...ไม่กระชุ่มกระชวย
ขณะติว  เราน่าจะสนุกมากกว่านี้นะ.....
เหนื่อย.....เพราะหักโหมมากเกินไป....ตี 1 
ปีการศึกษาหน้า จะพยายามพูดให้รู้เรื่องมากกว่านี้....
guest profile guest
3387  ข้อปรับปรุงในการติว
1. ควรมีนาฬิกา  ฝึกจับเวลา ให้นักเรียนคิดก่อนเฉลย  คิดให้ได้ภายใน 1 นาที  จากนั้นครูเฉลยให้เสร็จสิ้นภายใน 3 นาที  1 ชั่วโมงจะได้ 15 ข้อ และควรฝึกให้นักเรียนต้องตัดสินใจเลือกตอบ   ทุกคนต้องตอบให้ได้ภายใน 1 นาที  จะเดาก็ได้  ฝึกการเดา ว่ามีโชคลาภในการเดาหรือไม่  และครูก็ตรวจไปด้วย  เมื่อทำครบ 15 ข้อแล้วนักเรียนจะสามารถประเมินตัวเองได้คร่าว ๆว่าเราทำข้อสอบได้มากน้อยแค่ไหน  เดาถูกี่ข้อ   เดาผิดกี่ข้อ
2. ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนยืนตอบปากเปล่า
3.ครูควรลุกไปยืนโชว์ตัวหรือให้นักเรียนมีส่วนร่วมเข้ามานั่งคิดกับครูบนเวทีก็ได้
4.ถ่ายรูปเก็บภาพไว้ด้วย
5.ฝึกสมองด้วยการคิดเลขเร็วง่าย ๆ
guest profile guest
กฎเหล็ก 9 ข้อ ในการรับนักเรียน

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

.....

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายการรับนักเรียน ปีการศึกษา ๒๕๕๔ แก่ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีอัตราการแข่งขันสูง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๔

รมว.ศธ. กล่าวว่า นโยบายการรับนักเรียนของ ศธ.ในปีการศึกษา ๒๕๕๔ ไม่ต้องการให้มีการฝากและเรียกรับเงินอย่างเด็ดขาดนั้น เป็นกลไกเล็กๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความเสมอภาค ความเป็นธรรม จึงต้องการทำความเข้าใจ เพื่อสร้างหลักคิดและนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนโยบายนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการศึกษาไทย ยอมรับว่าสิ่งใดที่มีการเปลี่ยนแปลง ย่อมมีแรงต้านทานเสมอ แต่ไม่มีอะไรที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ดีๆ ไม่ได้เกิดขึ้นได้ ที่ผ่านมาโลกจึงมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดีกว่าเสมอ

ในการรับนักเรียนในปีนี้ ได้วางนโยบายหรือกฎเหล็ก ๙ ข้อ ซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ได้แก่

๑) ต้องประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจถึงค่านิยมที่ถูกต้องในการรับนักเรียนตามนโยบาย  โดยต้องพูดให้เป็นเสียงเดียวกันว่า ในปีนี้รับนักเรียนต้องโปร่งใส เป็นธรรม เพื่อคุณภาพการศึกษาและสร้างความเป็นธรรมเปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคน โดยไม่มีการฝาก การเรียกรับเงิน ทั้งนี้ตนได้สั่งการให้ สพฐ.จัดทำป้ายไวนิลติดประกาศไว้หน้าสถานศึกษาทุกแห่งอย่างชัดเจนว่า "เพื่อคุณภาพการศึกษา และความเสมอภาค การรับนักเรียนทุกระดับทั่วประเทศ จะเป็นธรรม โปร่งใส ไม่มีการฝาก และเรียกรับเงินอย่างเด็ดขาด ผมขอความร่วมมือ"

๒) ต้องวางแผนการรับนักเรียนที่ชัดเจน และประสานแผนกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา รวมทั้งโรงเรียนคู่พัฒนาอีก ๔ โรงเรียน ให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใส

๓) การรับนักเรียนต้องรับรอบเดียว ห้องละ ๔๐ คน หากมีความจำเป็นสามารถเพิ่มได้ไม่เกินห้องละ ๑๐ คน แต่รวมแล้วต้องรับได้ไม่เกินห้องละ ๕๐ คน

๔) นักเรียนทุกคนต้องมีที่เรียน  ให้มีการเลือกโรงเรียนตามลำดับคะแนนและตามความสามารถของนักเรียน

๕) สถานศึกษาต้องดำเนินการตามแผนการรับนักเรียนให้นักเรียนทุกคนมีที่เรียนอย่างเคร่งครัด หากสถานศึกษาใดที่จะมีการจับสลาก การสอบ หรือโควตาผู้มีพระคุณ ต้องประกาศก่อนให้ชัดเจน

๖) หากใช้วิธีการสอบคัดเลือก ต้องประกาศผลการสอบและระบุคะแนนตามลำดับที่ที่สอบแข่งขันได้อย่างชัดเจน

๗) ห้ามไม่ให้มีการฝากเด็ก หรือการเรียกรับเงิน หรือผลประโยชน์อื่นใดในช่วงการรับนักเรียน

๘) สถานศึกษาต้องอำนวยความสะดวกในการขอรับทราบข้อมูลในการรับนักเรียน  ของนักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการติดตามการรับนักเรียน และส่วนกลาง

๙) ให้ทุกสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา จนถึงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ถือว่านโยบายการรับนักเรียนเป็นภารกิจหลักในการรับนักเรียนที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบาย

รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า การรับนักเรียนที่ผ่านมา มักจะมีการกล่าวอ้างถึงนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง เพื่อเรียกร้องหาผลประโยชน์ แต่ในปีนี้ต้องการให้การรับนักเรียนเป็นไปอย่างโปร่งใส ต้องทำลายกระบวนการหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบจากเรื่องนี้ให้ได้ ซึ่ง ศธ.ไม่สามารถดำเนินการได้เอง จึงต้องอาศัยผู้เสียหาย ได้แก่ ผู้ที่ถูกกล่าวอ้าง สถานศึกษา ทั้งนี้หากพบว่ามีผู้เรียกหาผลประโยชน์ในการรับรับนักเรียน ตั้งแต่ระดับโรงเรียนจนถึงระดับกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และหากเกิดขึ้นใน ศธ.จะดำเนินการโดยเด็ดขาดทันที ตั้งแตระดับปลัดกระทรวงไปจนถึงหน้าห้อง ซึ่งขณะนี้ตนได้สั่งการให้เลขาธิการ กพฐ. กันตำแหน่งไว้ที่ส่วนกลางแล้ว ๑๐ ตำแหน่ง สำหรับผู้ที่จะต้องเข้ามาช่วยราชการยังส่วนกลาง หากมีปัญหาเรื่องการรับฝากเด็กเกิดขึ้น โดยตนจะยึดกฎของซุนวู ที่ว่าหากทุกคนเข้าใจตรงกันแล้ว ผู้บังคับบัญชาออกคำสั่งแล้ว แต่ทำไม่ได้ คนออกคำสั่งเองก็ต้องถูกลงโทษด้วย

รมว.ศธ.กล่าวด้วยว่า หากพบเห็นว่ามีการเรียกรับเงิน ให้ร้องเรียนมาที่ www.chinnaworn.com  หรือโทร. ๑๕๗๙ หรือเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัว โทร. ๐๘๑-๔๘๑ ๙๔๙๔ หรือ ๐๘๙-๕๙๙ ๙๕๕๙ ยืนยันว่านโยบายการรับนักเรียนในปีนี้ จะทำให้เป็นประวัติศาสตร์ได้จดจำว่า เราเปลี่ยนแปลงภาพการรับนักเรียนให้มีความเชื่อมั่นเหมือนกับการสอบเอ็นทรานซ์สมัยก่อน และหวังว่าผู้บริหารทุกท่านจะให้ความร่วมมือช่วยทำการรับนักเรียนปีนี้เป็นไปด้วยความเป็นธรรมและโปร่งใส ไม่มีการฝาก และเรียกรับเงินอย่างเด็ดขาด

ที่มา http://www.moe.go.th/websm/2011/jan/017.html

 

guest profile guest

คลอด2มาตรฐานหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ ป.โทสอนรายวิชา-ประจำชั้น

นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ได้เห็นชอบแนวทางการออกแบบมาตรฐานหลักสูตรครูยุคใหม่หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี และหลักสูตรครูปริญญาตรีควบโท 6 ปี โดยหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี มีปรัชญาของหลักสูตร คือ การพัฒนาสร้างครูประจำวิชา เพื่อสอนระดับ ม.ปลายและอาชีวศึกษา ซึ่งผู้ที่จะเรียนหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรม.ปลาย หรือ GPAX และผลการเรียนวิชาเอกไม่ต่ำกว่า 3.00 มีความสามารถภาษาอังกฤษดี มีคะแนนสอบภาษาอังกฤษที่เทียบกับ TOEFL ไม่น้อยกว่า 500 คะแนน จำนวนหน่วยกิตรวม 36 หน่วยกิต ทำวิทยานิพนธ์ 12 หน่วยกิต โดยในช่วง 1 ปีแรกต้องเรียนรายวิชาชีพครูควบคู่กับการวิจัยพื้นฐานและการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน รายวิชาชีพครู ควรศึกษาภาคทฤษฎีควบคู่กับภาคปฏิบัติในโรงเรียนในระหว่างเรียนด้วย และฝึกประสบการณ์สอนในสาขาเอกในปีที่ 2 พร้อมทำวิจัยควบคู่ไปด้วย

นายไชยยศ กล่าวต่อไปว่า ส่วนหลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี มีปรัชญาของหลักสูตร คือ การสร้างครูประจำชั้น เพื่อสอนได้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยขึ้นไป โดยผู้เรียนจะได้รับการบ่มเพาะความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งศาสตร์ด้านการศึกษาและศาสตร์วิชาเฉพาะตลอดหลักสูตร สำหรับผู้ที่จะเรียนหลักสูตรนี้ต้องสำเร็จการศึกษาระดับ ม.ปลายหรือเทียบเท่า มี GPAX และผลการเรียนในวิชาเอกที่เลือกเรียนไม่ต่ำกว่า 3.00 ผลสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และ ผลสอบความถนัดทางวิชาชีพหรือวิชาการ ( PAT) วิชาวัดแววความเป็นครู PAT ภาษาอังกฤษ และคะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี จำนวนหน่วยกิตที่ต้องเรียนคือ 156 หน่วยกิต นอกจากนี้ในช่วง 4 ปีแรกต้องเรียนวิชาวิจัยขั้นพื้นฐานและวิจัยเพื่อพัฒนา การเรียนการสอน ขณะที่รายวิชาชีพครู ควรศึกษาภาคทฤษฎีควบคู่กับภาคปฏิบัติในโรงเรียนในระหว่างเรียนด้วย และฝึกประสบการณ์สอนในสาขาวิชาเอกในปีที่ 5 พร้อมทำวิจัยควบคู่ไปด้วย สำหรับอาจารย์ประจำหลักสูตรต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญคุณวุฒิปริญญาเอกหรือเทียบเท่า หรือดำรงตำแหน่งทางวิชาการไม่ต่ำกว่ารองศาสตราจารย์ในสาขาวิชานั้นหรือสาขาที่สัมพันธ์กัน และต้องมีประสบการณ์การสอนไม่น้อยกว่า 5 ปี

“การออกแบบมาตรฐานหลักสูตรครูยุคใหม่ดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงและสามารถตอบสนองทั้งความต้องการของครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษา ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตนักเรียนให้มีคุณภาพต่อไปในอนาคต”รมช.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้มอบให้คณะกรรมการโครงการฯไปสำรวจความพร้อมของสถาบันที่เสนอรายชื่อว่ามีความพร้อมในการผลิตครูในหลักสูตรทั้ง 2 หลักสูตรดังกล่าว ว่ามีมากน้อยเพียงใด รวมถึงสำรวจความพร้อมของบุคลากรเพื่อจะได้เตรียมการว่าจะต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาบุคลากรที่จะเป็นครูของครูได้อย่างเหมาะสมต่อไป

 

ที่มา เดลินิวส์ วันที่ 21 มกราคม 2554

guest profile guest

หนุน-ค้านคืน "ไม้เรียว" ให้ครู
รศ.ดร.บุญสม ศิริบำรุง อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 มกราคม กรณีมีการเรียกร้องให้ออกมาตรการใช้ไม้เรียวกับนักเรียนว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะจะกลายเป็นการทำร้ายร่างกายและจิตใจเด็ก เด็กจะรับไม่ได้ ยิ่งตียิ่งทำให้เด็กยิ่งกระเจิง เด็กจะไม่ยอมรับในตัวครูมากขึ้น เท่ากับทำลายอนาคตเด็กในที่สุด คนเป็นครูต้องใช้เหตุผลและต้องอดทนให้มากกว่าคนปกติ

นางบุปผา มณีพรหม ผู้อำนวยการโรงเรียนวรนารีเฉลิม จ.สงขลา กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่จะนำไม้เรียวกลับมาใช้กับเด็กนักเรียนอีกครั้งหนึ่งเพราะหากเกิดการเฆี่ยนตีขึ้น จะมีการฟ้องร้องต่อศาลตามมา ต้องเสียเวลาหลายเดือนกว่าศาลตัดสิน เสียความรู้สึกและเสียเวลา และที่ร้ายไปกว่านั้นผู้ปกครองที่กอดรัดลูกไว้แน่น เมื่อลูกถูกลงโทษจะโยนความผิดมาให้ครูทั้งหมด เกิดการข่มขู่คุกคามครู ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

ด้านนายวินิจ ซุ้นสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนสทิงพระวิทยา จ.สงขลา กล่าวว่า เห็นด้วยและขอสนับสนุนแนวคิดคืนไม้เรียวให้กับครูยึดสุภาษิตไทยรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เพราะเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งในโรงเรียนในชนบทไม่กลัวการใช้มาตรการเบาๆ ลงโทษ ที่เกรงกลัวอย่างเดียวคือไม้เรียว ให้ครูตีนักเรียนเช่นเดียวกับการตีลูกจึงต้องมีระเบียบออกมาชัดเจนว่าความผิดเรื่องใดให้เฆี่ยนกี่ครั้ง และไม้เรียวที่ใช้ตีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใด

guest profile guest

***จงแสวงหาความเป็นเลิศจากงานที่ทำ***
***อย่าแสวงหาการยอมรับจากบางคน***
***เพราะปากคนไม่มีบรรทัดฐานอะไร***
***ปากเดียวกันด่าก็ได้.......ชมก็ได้***
***แต่ความเป็นเลิศจากผลงานที่รังสรรค์ไว้ให้แก่โลก***
***ไม่มีใครสามารถหักล้างได้****

มนุษย์ส่วนใหญ่ จะมองเห็นความผิดของคนอื่นก่อนเสมอ  ...ความรู้สึก และคำพูดจึงทำให้เกิดทุกข์กับคนรับฟัง  หากเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา จะทำให้สังคมเล็กๆ เป็นสุขได้

guest profile guest
3416   สองวันมานี้ เจ้ากรรมนายเวร ได้มาจองล้างจองผลาญเราแล้ว  เราจะตั้งหน้าตั้งตารับมือกับมัน  ทั้งเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นเด็กเล็ก เด็กโต และพวกผู้ใหญ่ชนชั้นกรรมาชีพทั้งหลาย ทั้งในและนอกโรงเรียน มันมาเป็นระลอกระลอก.......ฉันจะอยู่ให้รู้กันไปเลยว่า  ....ฉันจะถูกกระทำอย่างไรบ้าง  จะอยู่ชดใช้กรรมให้มันหมดหมดไปในชาติหนี้ 
     เข้ามาเลยพวกมนุษย์ที่เป็นนายเวรข้าพเจ้า  ทั้งมนุษย์ฉลาดและมนุษย์หน้าโง่ทุกคู่ทุกคน  ข้าพเจ้ายินดี ยอมรับเวรกรรม ชะตากรรมที่ข้าพเจ้าได้ก่อไว้กับพวกท่าน ไม่ว่าในอดีตชาติหรือในชาติปัจจุบัน
     ข้าพเจ้าจะรับใช้เวรใช้กรรมให้มันหมดหมด
   เบื่อเต็มทีแล้วมนุษย์โลก ข้าพเจ้าต้องการความสงบสุข

    จะอะไรกันนักกันหนา.....มนุษย์พวกนี้
 
         ข้าพเจ้าจะอดทนอย่างยิ่งยวด และไม่หวั่นไหวในโลกธรรม   โดยเฉพาะคำนินทา   ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมด้วยนะ ขอให้พวกที่นินทาข้าพเจ้าจงมีความสุขเมื่อได้รับผลบุญที่ข้าพเจ้าแผ่ให้แล้วจงอภัยให้ข้าพเจ้า และรักษาชื่อเสียงของโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม ให้คงอยู่ต่อไปชั่วฟ้าดิน 

          ศาลพระภูมิ  ศาลเจ้าที่ หลวงพ่อรัตนสิทธิชัยแห่งโรงเรียนบางบ่อวิทยาคม   พระอินทร์แห่งเทวโลก  ท่านทูตแห่งยมโลก  พระแม่ธรณี เทวารักษ์   ผีสางนางไม้ แห่งมนุษย์โลก  ได้โปรดเป็นพยานในการกระทำความดีของข้าพเจ้าด้วยเถิด  ตลอดจนรับรู้ความรู้สึก ความนึกคิด ความตั้งใจดีของข้าพเจ้าในการบำเพ็ญบารมีในชาติภพนี้ด้วย  หากข้าพเจ้าสิ้นลมร่างกายแตกดับในวันใด ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้พบกับความเสื่อมอีกเลยทั้งในภพหน้าและภพต่อ ๆไป....เวรกรรมชั่วอันใด ขอให้มันมลายหายหมดไปในชาตินี้ ภพนี้ภพสุดท้ายของข้าพเจ้าด้วยเถิด....อย่าให้มันส่งผลไปในชาติหน้าภพหน้าหรือภพภูมิต่อ ๆไป...ขอให้ข้าพเจ้าค้นพบพระนิพพานในอนคตกาลด้วยเทอญ
guest profile guest
3416    ขอให้มนุษย์โลกภพนี้ทุกคนจำนวนสามพันสี่ร้อยสิบหกครั้งของมนุษย์ที่เข้ามารับทราบ รับรู้ความคิด ความรู้สึก ในบันทึกของข้าพเจ้าครั้งนี้ จงเป็นพยานและอนุโมทนาในการบำเพ็ญบารมีของข้าพเจ้าด้วยเถิด
      1 วัน ของโลกสวรรค์ เท่ากับ 100 ปีของโลกมนุษย์
อายุขัยสวรรค์เท่ากับ 1 พันปีทิพย์ส่วนอายุขัยมนุษย์แค่ร้อยปีมันช่างสั้นนัก พวกท่านอย่าได้หลงระเริงไปอีกเลย จงรีบบำเพ็ญบุญบารมีให้ได้มากที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้ตามอัตภาพสังขาร.... เมื่อทำความดีแล้วไม่ต้องไปเสียเวลาพูดให้ใครฟัง ...จงปิดทองหลังพระต่อไป ก้มหน้าตั้งตาทำความดีไม่ต้องสนใจคนพาล ใครทำชั่วก็ช่างมันไป...ความดีทั้งหมดสวรรค์ได้รับรู้แล้ว  นรกได้รับรู้แล้ว   แม้จะไม่มีมนุษย์คนใดในโลกรับรู้เลยสักคนเดียวก็ตาม  หิริ และโอตตับปะ ความละอายชั่วและ ความเกรงกลัวต่อบาปทั้งปวง   ท่านต้องมีในใจไปชั่วอายุขัยของท่าน  ตัวท่านเองเท่านั้นที่จะรู้ถึงความดีของท่าน  อย่าได้หลอกตัวเอง โกหกตัวเอง จงซื่อสัตย์ต่อจิตใจของท่าน  ท่านอย่าได้กังวลไปเลย  ความดีที่ท่านทำมาทั้งชีวิตไม่สูญเปล่าแน่.....
guest profile guest
ความสุขของเรา ไม่ได้อยู่ที่ว่า  มีเงินเดือนเยอะ  มีรถขับ มีบ้านเป็นของตัวเอง หรือมีเพื่อนเยอะ   แต่ความสุขของเรา คือ การได้ชี้ทางสว่างให้กับคน  การทำให้คนหลุดพ้นจากอบายภูมิ
guest profile guest
3427  วันนี้ม. 4 -5 -6 ไปทัศนศึกษาสมุทรสงคราม ฯลฯ
บางวิชาไม่มีครูสอน  นักเรียนเล่นวอลเลย์บอล   นักเรียนเสียงดังในห้อง   ไม่ค่อยเห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาลเลยที่ให้นักเรียนต้องไปทัศนศึกษาหาความรู้ใส่ตัว นอกโรงเรียน   มันวุ่นวาย  กังวลความปลอดภัย  มันสนุกตรงไหน....มีแต่เรื่องเสี่ยงตาย....ทำไมเราต้องเชื่อรัฐบาลด้วย...และเราต้องทำตามนโยบายของเขาด้วย  ความสงบอยู่ที่ใจ....เราควรสอนให้เยาวชนพอเพียงเพียงพอไม่ใช่เหรอ...ไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่อยู่ไกลตัว  มันจำเป็นด้วยเหรอที่เราต้องไปรู้เรื่องของคนอื่น   มันทุกข์นะ ....แต่นักการศึกษา นักจิตวิทยาบางคนก็คิดเอาเองว่า  มันเป็นการศึกษาที่ดี......
.....น่าเบื่อจังกับความคิดของมนุษย์ที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย....มีแต่เรื่องเสียเงิน....และเสี่ยงตาย.....แล้วจะศึกษาไปเพื่ออะไรอีก....บำรุงกิเลสอย่างนั้นเหรอ.....ข้าพเจ้าผิดหวังที่ครูบางคนไม่ได้อยู่สอนเด็ก ๆในโรงเรียน ต้องควบคุมนักเรียนไปทัศนศึกษาในครั้งนี้...ไม่คุ้มค่าเลย  ....
guest profile guest
3467  เสาร์วันนี้พาม.6  56 คนไปติว O-net คณิต ที่ม.เทคโนโลยีราชมงคล 8.00-16.00 น. ครูพี่แนนและครูวิดควบคุมดูแลนักเรียน
guest profile guest
3527  วันนี้ทอดผ้าป่าสามัคคีสมทบทุนสร้างอาคารกิจการนักเรียนเฉลิมพระเกียรติ   ยอด 3 ล้าน หกหมื่นกว่า ๆ
วันนี้เหนื่อยแต่มีความสุขมากมาก
guest profile guest
3564  ข้าพเจ้า ไอและไข้ขึ้น มีสาเหตุมาจาก อากาศที่สกปรกและความเครียดจากความไม่มีวินัยของนักเรียนบางกลุ่มบางคนที่มีนิสัยเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัว.......บัวเหล่าที่ 4  อยู่โคลนตม  เราเหนื่อยที่พยายามขุดมาจากตม.....แต่ก็จะขอสู้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าสู้ไม่ได้ไม่ไหว.....ก็ไม่ต้องเป็นครู....ลาออกซะเลย  ให้คนที่ดีกว่าเรามาเป็นครูแทนเราจะดีกว่า
guest profile guest

ชินวรณ์ ตอบกระทู้สดในสภาเรื่อง "เงินวิทยฐานะ"

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตอบกระทู้ถามสดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๓ เรื่อง "เงินวิทยฐานะ และการรับนักเรียน" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

  • ตอบกระทู้ถามสดเรื่องเงินวิทยฐานะ

รมว.ศธ. กล่าวว่า จากผลการวิจัยขององค์การยูเนสโก ได้กล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษาให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องปฏิรูปครูให้มีขวัญและกำลังใจที่สูงขึ้น ซึ่ง ศธ.และรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยในปี ๒๕๕๔ นี้ นายกรัฐมนตรีให้เกียรติเป็นประธานการประกาศให้เป็นปีคุณภาพครู

เพราะฉะนั้นในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา ศธ.พยายามขับเคลื่อนการพัฒนาครูให้มีขวัญและกำลังใจทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิตครู การใช้ครู การคืนครูกลับสู่ห้องเรียน การให้ขวัญและกำลังใจครู การเข้าไปช่วยเหลือดูแลสวัสดิการ การแก้ไขปัญหาหนี้สินครู รวมถึงการเลื่อนวิทยฐานะครู จำนวนครูเกือบ ๕๐๐,๐๐๐ คน ในจำนวนนี้ไม่ต่ำกว่า ๒๔๐,๐๐๐ คน เป็นครูที่มีวิทยฐานะในชั้นที่เรียกว่า ชำนาญการ ซึ่งต้องจัดทำผลงานทางวิชาการเพื่อเลื่อนวิทยฐานะให้เป็นชำนาญการพิเศษ ครูกลุ่มนี้อยู่ในวัยทำงานและเป็นกำลังสำคัญในการจัดการเรียนการสอนทั่วประเทศ

ข้าราชการครูมีโอกาสเจริญเติบโตในหน้าที่ราชการหรือในวิชาชีพ ๒ ด้าน ดังนี้

๑) ดำเนินการดูแลตามโครงสร้างเงินเดือนเหมือนข้าราชการทั่วไป  ซึ่งตนเห็นใจในโครงสร้างเงินเดือนของครู เพราะยังไม่ได้ปรับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๗ เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๓ จึงได้ดำเนินการเสนอกฎหมายฉบับนี้เข้ามา และหลังจากตอบกระทู้ถามสดเสร็จแล้วที่ประชุมในสภาแห่งนี้จะได้ร่วมกันพิจารณาพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินวิทยฐานะ เพื่อให้ครูได้เพิ่มเงินเดือน ๘% ปรับขั้นเพดานเงินเดือนให้เท่ากับข้าราชการอื่น ซึ่งตั้งใจว่าจะเสนอเข้าสู่วุฒิสภาให้ทันภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ นี้ เพื่อให้ข้าราชการครูได้ปรับเงินเดือนตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ข้าราชการทุกประเภทได้ปรับเงินเดือนตามค่าครองชีพที่สูงขึ้นอีกร้อยละ ๕

๒) ได้รับเงินค่าตอบแทนเป็นเงินจากผลงานวิชาการที่เรียกว่าเงินวิทยฐานะ  กรณีการเลื่อนวิทยฐานะของครูนั้น ในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา ได้พยายามขับเคลื่อนวิทยฐานะของครูให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดกับข้าราชการครู นอกจากการเลื่อนตามโครงสร้างเงินเดือนแล้วครูสามารถได้รับเงินค่าตอบแทนเป็นเงิน ทางผลงานวิชาการที่เรียกว่า เงินวิทยฐานะ ซึ่งมีระดับต่างกันคือ ครูชำนาญการ ๓,๕๐๐ บาท ครูชำนาญการพิเศษ ๕,๖๐๐ บาท ครูเชี่ยวชาญ ๙,๐๐๐ บาท ครูเชี่ยวชาญพิเศษ ๑๓,๐๐๐ บาท เป็นรายได้ของครูในสังกัด ศธ. ได้รับผลประโยชน์นี้เท่ากัน หากในระดับมหาวิทยาลัยจะได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ เพราะฉะนั้นการทำผลงานวิชาการในช่วงที่ผ่านมาเป็นความพยายามของเพื่อนครู เป็นแรงจูงใจให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะอาชีพครูต้องเสียสละ ทุ่มเทกำลังการ กำลังทรัพย์ และกำลังปัญญา มีช่องทางเดียวคือการทำผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะให้สูงขึ้น

หลักเกณฑ์ในการเลื่อนวิทยฐานะโดยใช้หลัก Academic Rank Classification : ARC คือ ระบบผลงานทางวิชาการ จำต้องมีการดำเนินการประเมินทั้งในส่วนของคุณลักษณะส่วนตัว ด้านคุณธรรม จริยธรรม รวมถึงผลงานที่ปฏิบัติอยู่จริง และผลงานวิชาการที่ต้องเขียนเป็นเอกสาร เพื่อให้คณะกรรมการการอ่านได้ประเมินว่าบุคคลนั้นสมควรที่จะได้รับวิทยฐานะใด บุคคลที่ได้รับการประเมินการอ่านนั้นต้องมีคุณลักษณะอย่างน้อยมีผลงานทางวิชาการที่ได้รับวิทยฐานะสูงกว่าผู้ประเมิน ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ผู้ที่สำเร็จปริญญาโท หรือผู้ที่ได้รับวิทยฐานะที่สูงกว่า การประเมินผลงานจึงเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลในการทำผลงานทางวิชาการ

ศธ.ได้ดำเนินการแต่งตั้งให้มีคณะกรรมการการอ่านเพิ่มขึ้นเพื่อให้ดูแลครูกลุ่มเหล่านี้มากยิ่งขึ้น จัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการให้คณะกรรมการอ่านมีมากขึ้น นอกจากนี้ยังให้มีการประเมินวิทยฐานะครูทุกระดับ ในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา น่าภูมิใจที่สามารถเลื่อนวิทยฐานะของครู บรรจุ ปรับปรุงและอนุมัติตำแหน่งมากเป็นพิเศษในรอบ ๑๐ ปี ได้แก่ การบรรจุครูผู้ช่วย ๑๒,๐๖๓ ราย ปรับครูผู้ช่วยเป็นครูรับเงินเดือน (ค.ศ.๑) ๒,๑๐๔ ราย เลื่อนครูเป็นวิทยฐานะชำนาญการ (ค.ศ.๒) ๑๒,๕๖๒ ราย เลื่อนครูเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ (ค.ศ.๓) ๒,๐๒๕ ราย เลื่อนครูเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ (ค.ศ.๔) ๑๔๘ ราย เลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ (ค.ศ.๕) ๒ ราย และยังได้มีการปรับอัตราสำหรับให้อนุมัติเงินเดือนเต็มขั้นตามกฎ ก.ค.ศ. ใหม่ที่ขออนุมัติ ครม. ให้เลื่อนวิทยฐานะ ค.ศ.๔ เต็มขั้น ๑,๖๘๓ ราย และเลื่อน ค.ศ.๔ เป็น ค.ศ.๕ เต็มขั้น ๒๕๒ ราย รวมทั้งหมดครูที่ได้รับเลื่อนวิทยฐานะเพิ่มขึ้น ๑๖,๖๗๒ ราย

กรณีครู ค.ศ.๒ ทำวิทยฐานะเป็น ค.ศ.๓ ประมาณกว่า ๑๐,๐๐๐ ราย ที่ทำผลงานและช่วงที่ผ่านมามีการจัดอบรม e-Training เพื่อให้ครูมีโอกาสปรับปรุงผลงาน ขณะนี้ ศธ.ได้เร่งรัดการดูผลงานแต่ละราย ถ้าผลงานที่เข้าหลักเกณฑ์ก็จะดูแลเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้เพื่อนครู ได้ดำเนินการแล้วในปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ทราบว่าการทำผลงานวิชาการสำหรับครูที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ครูในโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำผลงานด้วยความยากลำบาก เพราะครูไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำงานวิจัย การวัดที่ผลงานวิชาการบางครั้งอาจไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในบางครั้งการเลื่อนวิทยฐานะ ค.ศ.๓ เทียบเท่ากับผู้ช่วยศาสตราจารย์จำเป็นที่จะต้องกำหนดระบบขึ้นมา

จึงมอบหมายให้ ก.ค.ศ. ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ เลื่อนวิทยฐานะเป็นครูชำนาญการพิเศษและครูเชี่ยวชาญ ศึกษามาโดยละเอียดเพราะ ก.ค.ศ. มีทั้งฝ่าย ก.พ., ก.พ.ร. และผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยมาร่วมด้วย โดยได้ผลักดันให้หลักเกณฑ์นี้ผ่าน ก.ค.ศ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สัปดาห์หน้าคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ก.ค.ศ. และประกาศคู่มือในการดำเนินการใช้ เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้ครูสามารถเลื่อนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษและครูเชี่ยวชาญเพิ่มมากขึ้น โดยอาศัยหลักเกณฑ์ คือ ผลงานที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องดูผลงานทางวิชาการ หากมีผลงานที่ชัดเจน ได้รับรางวัล ผลงานการสอนของนักเรียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่สูง มีผลงานดีเด่นที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ หมายถึง ผลงานที่แสดงถึงความสามารถของครู ได้รับผลงานระดับชาติขึ้นไป มีผลงานดีเด่นที่ต้นสังกัดพิจารณาแล้วว่าเป็นผลงานที่เทียบเคียงกับรางวัลในระดับสูงจะได้รับการดูแล วิธีการคือให้ราชการต้นสังกัดเป็นผู้เสนอรายชื่อเข้ามา หลังจากนั้นให้ต้นสังกัดประเมินด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม ผลการปฏิบัติงาน จากนั้นจะมีการตั้งคณะกรรมการประเมิน หากเข้าหลักเกณฑ์ไม่ต้องเขียนผลงาน เพียงเขียนอธิบายสั้นๆ ว่า ทำงานอะไร ทำอย่างไร มีผลสัมฤทธิ์ต่อนักเรียนอย่างไร

จึงได้ตั้งคณะกรรมการการอ่านและให้ ก.ค.ศ. เข้าไปดูแล สำหรับผลงานที่ส่งมารอการตรวจสอบ แต่ก็ให้โอกาสสำหรับครูที่ทำผลงานทางวิชาการเหล่านี้มีโอกาสเลือกลู่ที่จะเข้าสู่การเลื่อนวิทยฐานะเพิ่มมากขึ้น เพื่อนครูที่ผ่านการอบรมและทำผลงานมาแล้ว มีความเชื่อมั่นว่าผลงานที่ทำเข้าเกณฑ์ที่จะเลื่อนเข้าสู่ชำนาญการพิเศษได้ สามารถทำผลงานทางวิชาการต่อเนื่อง การจัดทำผลงานทางวิชาการนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องของโครงสร้าง ซึ่งคณะกรรมการต้องไปดำเนินการอย่างอิสระ ศธ. จะดูแลกลุ่มเพื่อนครูเหล่านี้ต่อไป

รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ในปีนี้ได้ประกาศเป็นปีคุณภาพครู นายกรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นนโยบายปฏิรูปประเทศไทย  โดยให้สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน (สสค.) ประเมินครูร่วมกันประชาคมท้องถิ่น ผู้ปกครอง ในการคัดเลือกครูสอนดี ๗,๐๐๐ คน ให้รางวัลเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ศธ. จะเร่งขับเคลื่อนพระราชบัญญัติเงินเดือน ท่านประธานสภาได้บรรจุในวาระและส่งมอบต่อวุฒิสภา คาดว่าถ้าเสร็จทันในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ จะดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ต่อเนื่องในเดือนเมษายน ๒๕๕๔

ในปีที่ผ่านมา รมว.ศธ. ดำเนินการแก้กฎ ก.ค.ศ. เพื่อให้ครูได้รับเงินเดือนขั้นสูงและอัตราเงินเดือนขั้นต่ำสูงกว่าขั้นต่ำ ต่อจากนี้ครูจะมีวิชาชีพที่เทียบเท่าวิชาชีพแพทย์และวิชาชีพตุลาการเป็นครั้งแรก และได้ร่วมใจเพื่อนครูเป็นครั้งแรกในรอบ ๕๔ ปี น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญา พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน และในโอกาสมหามงคลได้ขอความเห็นชอบจาก ครม. จัดตั้งกองทุนครูของแผ่นดิน เดิมตั้งเป้าไว้ ๘๔ ล้านบาท ขณะนี้เพื่อนครูได้ร่วมใจกับประชาชนบริจาคเงินจัดตั้ง กองทุนครูของแผ่นดิน ๑๒๐ ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑) เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒) เพื่อยกย่องวิชาชีพครูให้เป็นที่ปรากฏ ครูจะได้รับรางวัลครูของแผ่นดิน ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศจูงใจในวิชาชีพครู ๓) ส่งเสริมให้ครูได้วิจัย อบรม และศึกษาต่อเพื่อความเป็นเลิศ ๔) ดูแลครูในพื้นที่ทุรกันดาร ครูชายแดน และครูในพื้นที่เสี่ยงภัย ต่อจากนี้ครูจะได้รับการพัฒนาทั้งระบบมีโครงการสนับสนุนครูให้มีโอกาสสอนดี สอนเต็มศักยภาพเพิ่มมากขึ้นอย่างเต็มที่

โดยเฉพาะในขณะนี้ ศธ.สนใจที่จะให้ขวัญและกำลังใจเพื่อนครู ทั้งการมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง การโยกย้ายอย่างเป็นธรรม การสอนโดยมีเครื่องมือช่วยสอน มีสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือเพื่อนครูอย่างเต็มที่ต่อไป นอกจากนี้ยังจัดระบบโรงเรียน คือ โรงเรียนดีประจำตำบล โรงเรียนดีประจำอำเภอ โรงเรียนไปสู่มาตรฐานสากล และโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค เพื่อรองรับความเป็นเลิศของนักเรียนและรองรับการพัฒนานำไปสู่การสร้างพลเมืองยุคใหม่ต่อไป อาชีพครู เป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการสร้างคน ถือว่าเป็นการทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุด  นอกจากจะส่งเสริมให้เกิดองค์ความรู้แล้ว ต้องให้คนมีคุณธรรม และจริยธรรม มีความเป็นพลเมืองดี เพราะฉะนั้นเรื่องขวัญและกำลังใจครูจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง

สำหรับคำถามในมาตรา ๖ นั้น พิจารณา ๒ กรณี ดังนี้

๑) กรณีที่กำหนดในวรรค ๒ การปรับเงินเดือนและเงินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เข้าตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. ตามพระราชบัญญัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มาตรา ๔๗ การไปกำหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในตำแหน่งใดได้รับเงินเดือนขั้นใด เท่าไร ต้องออกเป็นกฎ ก.ค.ศ. ซึ่งเป็นกระบวนการยาว ขณะนี้ได้ร่างกฎหมายฉบับนี้เรื่องการปรับโครงสร้างเงินเดือนให้เป็นไปตามอัตราเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูง จึงให้ ก.ค.ศ. สามารถกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้เลย ขณะนี้ได้จัดเตรียมคู่มือหลักเกณฑ์และวิธีการ เมื่อกฎหมายฉบับนี้ผ่านแล้วจะสามารถประกาศใช้ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ทราบทันที

๒) กรณีวรรค ๓ มีอัตราตำแหน่งชั่วคราวตามบัญชีแนบท้ายอยู่หรือไม่ ในช่วงที่ผ่านมาเมื่อร่างพระราชบัญญัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ มีบัญชีเงินเดือนแนบท้าย การปรับโครงสร้างเงินเดือนขึ้นมาจะต้องทำร่างเป็นพระราชบัญญัติอย่างฉบับนี้ ประเด็นคือข้าราชการอื่นได้ปรับเงินเดือนไปแล้ว ๒ ครั้ง แต่โครงสร้างเงินเดือนของครูยังคงเท่าเดิม ทำให้ครูผู้ช่วยหรือครูที่บรรจุในโครงสร้างเรียน ๔ ปี จำนวน ๑๒,๙๓๐ คน ที่มีอัตราเงินเดือนขั้นต่ำ ซึ่งต่ำกว่าขั้นต่ำ จึงจำเป็นต้องกำหนดอัตราเงินเดือนขั้นต่ำชั่วคราว เพื่อรองรับการจัดทำคู่มือให้ครูแต่ละแท่งไม่เสียผลประโยชน์ในการได้รับเงินเดือน ส่วนแท่งใดจะได้รับเงินเดือนอย่างไรก็ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตาม ก.ค.ศ กำหนด เรื่องนี้ในชั้นกรรมาธิการได้พิจารณาเป็นที่เรียบร้อยและเข้าใจตรงกัน การแก้ไขในมาตรา ๕ เพื่อรองรับถ้ามีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการไม่เกินร้อยละ ๑๐ ตามพระราชบัญญัติเงินเดือนแห่งชาติที่กำหนดให้ขึ้นเงินเดือนของข้าราชการอื่นไม่เกินร้อยละ ๑๐ นั้น ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จะได้ปรับขึ้นเงินเดือนด้วย ไม่ต้องแก้ไขกฎหมายอีกครั้ง เพื่อสอดรับการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการทั้งระบบต่อไป

รมว.ศธ. กล่าวด้วยว่า ผู้ที่ประกอบอาชีพสายผู้สอนหรืออาชีพครู ควรมีอัตราเงินเดือนที่สูงกว่าวิชาชีพอื่น ทั้งนี้เพื่อจูงใจให้คนเก่งคนดีมาเป็นครู โดยทั่วไปเป็นที่ยอมรับว่าคนที่เป็นครูด้วยจิตวิญญาณนั้นจะไม่มีช่องทางที่ไปหารายได้พิเศษอื่นๆ ขณะนี้ ศธ.ได้แก้ไขกฎ ก.ค.ศ. เพื่อให้ครูมีโครงสร้างเงินเดือนสูงเท่ากับวิชาชีพแพทย์และตุลาการเป็นครั้งแรก และในบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้ก็ได้กำหนดอยู่ในบัญชีแนบท้ายแล้ว ส่วนบัญชีขั้นสูงข้าราชการครูจะได้รับเงินเดือนขั้นสูงถึง ๖๖,๔๘๐ บาท

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกในสภาจะได้ช่วยกันสนับสนุนให้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ผ่าน จะได้ดำเนินการไปตามที่เพื่อนสมาชิกในสภาได้อภิปรายว่า มีผลบังคับใช้ก่อนเดือนเมษายน ๒๕๕๔ ในการปรับขึ้นเงินเดือน หลังจากนี้รัฐบาลได้นโยบายที่ชัดเจนและออกพระราชกฤษฎีการองรับไว้แล้วที่จะปรับเงินเดือนตามดัชนีค่าครองชีพอีกร้อยละ ๕ ให้ข้าราชการทุกประเภทอีกครั้ง

ที่มา http://www.moe.go.th/websm/2011/feb/073.html

 

guest profile guest

เมื่อครูขาดแคลน ..ครูขาดคุณภาพ.. คุณภาพเด็กจะเป็นอย่างไร?
ความสำคัญของครูกับการพัฒนาบุคลากรของชาตินั้น นับว่ามีความสำคัญยิ่ง ด้วยคุณภาพชีวิตเด็กคงไม่ใช่อยู่แค่ความรู้เท่าทันวิทยาการอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึงการพัฒนาการทั้งด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม เป็น “คนดี คนเก่ง มีความสุข” เมื่อดูจากภารกิจของการศึกษาที่เป็นเครื่องมือพัฒนามนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ มีศักยภาพความพร้อมแตกต่างกันทั้งบริบทส่วนตัวและปัจจัยรอบข้างแล้ว การจะพัฒนาไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้อย่างเต็มตามศักยภาพที่แต่ละคนมีอยู่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงคิดว่าไม่น่าจะมีเครื่องมือ สื่อ หรืออุปกรณ์ใดที่จะมีประสิทธิภาพเกินครูไปได้

แม้ทุกฝ่ายจะเข้าใจหรือรับรู้ถึงความสำคัญของครูกับการพัฒนาเด็กอย่างดียิ่งแล้วก็ตาม แต่ปัญหาการจัดการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับครูก็ยังมีให้เห็นอยู่มากมาย ซึ่งปัญหาหลัก ๆ ที่เห็นอยู่ก็คงหนีไม่พ้น ปัญหาครูขาดแคลน และ ปัญหาครูขาดคุณภาพ นั่นเอง

สำหรับปัญหาครูขาดแคลนนั้น พูดกันเมื่อไรก็จะเจอปัญหาทุกครั้ง เพราะเป็นปัญหาที่สะสมกันมานาน แต่ไร้การแก้ไขอย่างจริงจัง จนกลายเป็นดินพอกหางหมูใหญ่ขึ้นทุกขณะ แม้ขณะนี้โลกจะพัฒนาเข้าสู่ทศวรรษที่ 21 เป็นโลกยุคไร้พรมแดน เกิดความก้าวหน้าสารพัดด้าน แต่คุณภาพชีวิตเด็กไทยส่วนใหญ่ก็ยังต้วมเตี้ยมไปได้ไม่ถึงไหน ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานยังขาดความพร้อมอยู่โดยเฉพาะความพร้อมของจำนวนครูที่จะมาสอนเด็กนั่นเอง ดังจะเห็นได้จากข่าวที่ เลขาธิการ กพฐ. ได้ออกมาบอกว่า ปัจจุบันโรงเรียนในสังกัด สพฐ. ยังขาดแคลนครูสาขาต่าง ๆ กว่า 60,000 อัตรา ฟังแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายว่าจะพัฒนาบุคลากรของชาติให้เข้าสู่พลเมืองโลก แต่ยังขาดแคลนครูที่จะดำเนินงานอยู่มากมายขนาดนั้น

เมื่อโรงเรียนขาดครูผู้สอน ย่อมส่งผล กระทบต่อคุณภาพเด็กและการดำเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 13,000 แห่ง ที่ยังขาดแคลนครูอย่างหนักซึ่งความขาดแคลนที่ว่านี้คงไม่ใช่แค่ไม่มีครูพอสอนตามครบทุกสาขาวิชาเอก เท่านั้น แค่ขอให้มีครูสอนครบทุกชั้นก็ถือว่าเป็นบุญโขแล้ว ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา ด้วยจำนวนนักเรียนมีแต่จะเพิ่มขึ้นขณะที่จำนวนครูมีแต่จะลดลง ทำให้ครูมีไม่เพียงพอกับการสอนทุกวิชาเอก ซึ่งหากรวมปัญหาขาดแคลนครูในหลายลักษณะที่ว่านี้แล้ว เมื่อสำรวจเป็นรายโรงเรียน น่าจะขาดครูเป็นหลักแสนราย ด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าตอนนี้โรงเรียนขนาดใหญ่ที่พอมีกำลังด้านงบประมาณก็จะจัดหาครูอัตราจ้างเข้ามาแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว คงไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะแก้ไขด้วยวิธีดังกล่าวได้ นอกจากจะรอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือได้สถานเดียว

จริงแล้วที่มาของปัญหาครูขาดแคลนก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากนัก ส่วนใหญ่ก็มาจากครูโรงเรียนขนาดเล็กขอย้ายออกจากพื้นที่ ซึ่งการย้ายที่ว่านี้ก็มีทั้ง การขอไปช่วยราชการก่อน และการโยกย้ายปกติประจำปี ที่ในอดีตการขอย้ายจะไม่ยุ่งยากเช่นปัจจุบัน แค่มีเวลาปฏิบัติงานในพื้นที่ตามหลักเกณฑ์ คือ ย้ายภายในอำเภอเดียวกันใช้เวลาแค่ปีเดียว ระหว่างจังหวัดใช้เวลาแค่ 2 ปี ก็มีสิทธิยื่นเรื่องขอย้ายได้ และที่สำคัญหากมีเส้นสายด้วยแล้ว แค่พ้นทดลองราชการ 6 เดือน ก็สามารถขอไปช่วยราชการต่างโรงเรียนได้ จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมครูจึงไปกองรวมกันที่โรงเรียนในเมือง และโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่กันดารห่างไกลขาดแคลนครู พอมาถึงปัจจุบัน การขอไปช่วยราชการหรือการโยกย้ายอาจจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ต้องมาเจอกับโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดเข้าให้อีก ทำให้แค่ช่วง 3-4 ปี ของการดำเนินการ มีครูหายออกจากระบบเกือบแสนราย ยิ่งการดำเนินการช่วงแรกไม่มีการคืนอัตราให้ ก็เหมือนไปซ้ำเติมความขาดแคลนครูของโรงเรียนขนาดเล็กเข้าไปอีก หรือแม้แต่โรงเรียนขนาดใหญ่ในเมืองก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน

เมื่อโรงเรียนมีครูไม่พอสอน และโรงเรียนต้องมาเจอสารพัดงาน ที่ต้นสังกัดหรือหน่วยงานนอกสังกัดส่งมาให้ดำเนินการ แถมมีกิจกรรม โครงการ ที่ดึงครูออกจากโรงเรียน เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแล้ว การพัฒนาเด็กก็เป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น ครูที่พอมีอยู่หรือเหลืออยู่ ก็จะแก้ปัญหาโดยจัดสอนเฉพาะกลุ่มวิชาหลัก ๆ เพื่อให้เด็กอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น หรือไม่ก็แก้ปัญหาด้วยการรวมชั้นเรียนสำหรับนักเรียนระดับใกล้เคียง อะไรทำนองนั้น เมื่อสภาพการณ์เป็นไปเช่นนี้ความหวังที่จะเห็นเด็กได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพทุกด้านนั้นจึงเป็นไปได้แค่นโยบายที่อยู่ในตัวหนังสือเท่านั้น

ส่วนการแก้ปัญหาครูขาดแคลนที่ดำเนินกันอยู่ในปัจจุบัน ด้วยวิธีการจัดหาครูอัตราจ้างรายเดือนเข้าไปทดแทนบางส่วนนั้น ก็คงเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริง ๆ เพราะเป็นการไปช่วยสอนแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งตามงบประมาณที่ได้รับมา ส่วนนี้หากมองถึงความต่อเนื่องในการพัฒนาเด็ก อาจเกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ครูอัตราจ้างที่ต้องไปสอนเด็กชาวไทยภูเขา ซึ่งส่วนใหญ่ยังใช้ภาษาตามบรรพบุรุษ พูดภาษาไทยไม่ได้ ครูอัตราจ้างเข้าไปในพื้นที่ใหม่ในเวลา 3-4 เดือน เชื่อได้เลยว่าจะไม่สามารถพูดภาษาท้องถิ่นของชาวไทยภูเขาได้เช่นกัน ทำให้การสื่อสารกับการสอนเด็กเป็นไปด้วยความยากลำบากเป็นแน่ แต่พอครูเริ่มรู้และพูดภาษาท้องถิ่นสื่อสารกับเด็กได้บ้าง ก็หมดงบประมาณการจ้าง ต้องรองบประมาณใหม่และจ้างครูอัตราจ้างคนใหม่ไปแทน ปัญหาเดิมก็จะวนกลับมาให้เห็นเช่นนี้อีก จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเด็กที่เรียนอยู่ชั้น ป.3 เป็นต้นไปจำนวนไม่น้อยที่ยังอ่านไม่ได้ หรือไม่คล่องอยู่ สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากปัจจัยที่ว่ามาแล้วนั่นเอง

ส่วนปัญหาคุณภาพครู ในยุคปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นปัญหาแทรกซ้อนเข้ามาส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กได้ไม่น้อยเช่นกัน ด้วยครูเก่าที่ว่ามาจากผู้เรียนเก่ง มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นครูตั้งแต่แรกเริ่มและมีประสบการณ์จัดการเรียนรู้ เริ่มหมดวาระการดำรงอยู่ในอาชีพราชการด้วยการเกษียณอายุราชการทั้งภาคปกติและเออร์ลี่รีไทร์ ปีละเป็นหมื่นคน ส่วนที่เหลือก็มีจำนวนไม่น้อยที่เริ่มอ่อนล้ากับจำนวนงานที่มีเพิ่มมาให้ทำมากกว่างานสอน หรือครูบางคนก็ก้าวได้ไม่ทันกับวิทยาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงยังคงใช้ประสบการณ์สอนแบบเดิม ๆ อยู่ ส่วนครูที่บรรจุใหม่ จำนวนไม่น้อยมาจากกลุ่มที่ไม่ได้สนใจวิชาชีพครูมาแต่แรก แต่ด้วยไม่สามารถหาที่เรียนตามความสนใจได้ที่สุดก็มาลงที่ครู จึงขาดอุดมการณ์และมีเจตคติเกี่ยวกับวิชาชีพครูในทางบวกไม่มากนัก ยิ่งหากไม่สนใจกับการพัฒนาตนเองในสาขาวิชาชีพนี้ด้วยแล้ว การจัดการเรียนรู้ก็จะกลายเป็นการสอนตามตำรา หรือสอนเนื้อหาในหนังสือไปในที่สุด

เมื่อการจัดการศึกษาของชาติ แค่จะหาผู้ที่จะเป็นผู้นำพาพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ก็ยังมีปัญหาอยู่มากมายตั้งแต่แรกเริ่มเสียแล้ว ซึ่งปัญหาที่ว่านี้ สำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่ ในเมืองก็คงพอทำเนา เพราะแม้จะขาดแคลนครูอยู่บ้างก็คงพอมีรายได้ของโรงเรียนมาจัดจ้างครูได้เอง หรือปัญหาคุณภาพครูก็ยังพอหาทางพัฒนาเพิ่มเติมกันได้ แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งเป็นสถานที่เรียนรู้ของลูกหลานผู้คนระดับรากหญ้าแล้วคงยากแก่การแก้ไขด้วยตนเอง ทั้งปัญหาขาดแคลนครูและครูขาดคุณภาพ ด้วยไม่มีปัจจัยเพียงพอนั่นเอง ทำให้ปัญหาจึงยังคงอยู่กับโรงเรียน โดยเฉพาะปัญหาขาดแคลนครู ที่บางโรงเรียนมีครูคนเดียวต้องสอนครบทุกชั้นทุกวิชา หรือครู 1 คน ต้องสอนหลายชั้น หรือหลายกลุ่มสาระการเรียนรู้ ทำให้โอกาสที่เด็กจะได้เรียนรู้หรือได้รับการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างเต็มศักยภาพเป็นไปได้น้อย จึงไม่ไปต้องสงสัยเลยว่าทำไม ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาโดย สมศ.ในรอบแรกจึงออกมาว่ามีโรงเรียนที่ยังอยู่ในอาการโคม่ามีมากกว่า 15,000 แห่ง ถึงแม้ว่าช่วงหลังจะสามารถพัฒนาจนผ่านการประเมินได้บ้างแต่ก็คงไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนเหล่านั้นสามารถพัฒนาเด็กจนเกิดคุณภาพตามมาตรฐานกลาง ที่กำหนดไว้ แต่น่าจะเป็นการผ่านตามบริบทกับปัญหาที่ประสบอยู่มากกว่า

ส่วนนี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หน่วยงานรวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะต้องหันกลับมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ไม่ใช่คิดแต่จะเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว ด้วยเด็กส่วนใหญ่ของประเทศยังต้องอาศัยเรียนอยู่ในโรงเรียนขนาดเล็ก หากโรงเรียนขาดแคลนครูผู้สอนเด็กเหล่านั้นจะเดินตามทันได้อย่างไร ยิ่งเป้าหมายการเดินแบบก้าวกระโดด มุ่งสู่สากล แต่เด็กส่วนใหญ่ขาดพื้นฐานแม้แต่การเดินแล้วจะก้าวกระโดดทันเด็กในเมืองได้อย่างไร หากคิดพัฒนาไปข้างหน้าจนลืมมองข้างหลังการเกิดช่องว่างในคุณภาพชีวิตเด็กในเมืองกับเด็กชนบทก็ยิ่งจะกลายไปเป็นปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนให้ห่างกันมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เข้าไปอีก ซึ่งการที่จะแก้ปัญหาครูขาดแคลนที่ว่านี้ ทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า “ครูยังเป็นปัจจัยหลักและมีความสำคัญยิ่งกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กอยู่” และที่สำคัญต้องเข้าใจถึงบริบทการปฏิบัติงานในแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน ไม่ใช่มองไปคนละทิศละทางอย่างที่เป็นมา ตัวอย่างเช่น เรื่องของจำนวนครู ซึ่งทาง กพร. ก็ยังมองแต่ในภาพรวม จึงเห็นว่าครูในปัจจุบันมีจำนวนเพียงพอ ทั้งนี้ก็ด้วยไปยึดอยู่กับเกณฑ์ เอ ดี บี ที่ใช้อัตราส่วนครูต่อเด็ก 1 : 25 คน ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้จะไม่สามารถใช้ได้กับโรงเรียนในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็ก เพราะหากคิดตามสูตรดังกล่าวนี้แล้ว เกิดโรงเรียนนั้นมีเด็กแค่ 50 คน มีครู 2 คน จะถือว่าครูพอดีเกณฑ์ แต่ในทางปฏิบัติจริงโรงเรียนนั้นต้องเปิดสอน 6 ชั้นและทุกชั้นจะต้องสอนครบทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ กับอีก 1 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นี่ขนาดยังไม่รวมถึงงานอื่น ๆ ที่ส่งมาให้ทำ หรือ ถูกสั่งให้ออกไปอบรม สัมมนา ร่วมกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วครู 2 คนจะปฏิบัติงานอย่างไร เพราะบางโรงเรียนทุกวันนี้จะหาครูเหลือเฝ้าเด็กก็แทบจะไม่มี หรือกรณีที่ว่าครูส่วนใหญ่ไปกองรวมกันอยู่ในเมืองจนเกินเกณฑ์ก็จริง แต่การที่จะเกลี่ยครูที่ตำแหน่งและอัตราเงินเดือนอยู่โรงเรียนในเมืองไปแล้วให้ไปอยู่โรงเรียนกันดารห่างไกล ถามว่าจะทำได้อย่างไร หรือใครจะกล้าทำ เพราะครูไม่ใช่เม็ดดิน เม็ดทราย ที่อยากจะกวาดไปอยู่ตรงไหนก็ได้เสียเมื่อไร หรือหากกล้าทำก็คงถูกฟ้องร้องกันไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่

เมื่อเป็นเช่นนี้การที่จะมัวให้โรงเรียนขาดแคลนครูต้องรอให้ครูจากโรงเรียนที่มีครูเกินเกณฑ์เกษียณอายุราชการแล้วค่อยตัดตำแหน่งไปให้นั้นคงไม่ทันเวลา เพราะเด็กที่ต้องผ่านระบบการศึกษาไปเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นแต่ละปีมีอยู่หลายล้านคน การที่ปล่อยให้พื้นฐานการเรียนรู้หรือพื้นฐานคุณภาพชีวิตถูกพัฒนาเป็นไปตามยถากรรมเช่นนี้ อนาคตของบุคลากรของชาติและประเทศชาติ จะเป็นเช่นไร

ดังนั้นการแก้ปัญหาครูขาดแคลนจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ภาครัฐจะต้องถือว่าเป็นปัญหาสำคัญอันดับต้น ๆ ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อย่ามัววิตกเกินเหตุว่าหากเพิ่มจำนวนครูแล้ว งบประมาณที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับมาจะหมดไปกับเงินเดือนของครูจนไม่เหลืองบลงทุน เพราะงานจัดการศึกษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กนั้นครูคือผู้ดำเนินการทุกส่วนถึงตัวเด็กโดยตรง ไม่เหมือนกับข้าราชการประเภทอื่น ๆ ที่ภารกิจอาจแตกต่างไป ดังนั้นงบประมาณที่นำมาจัดหาครูและพัฒนาครูนั่นแหละคือ การลงทุนเพื่อการศึกษาที่ตรงจุดที่สุดแล้ว จะบอกให้.

บทความโดย กลิ่น สระทองเนียม
ที่มา เดลินิวส์ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2554
guest profile guest
เกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่เริ่มใช้ 1 ต.ค. 52  

ที่มา - มติชนรายวัน หน้า 22 ฉบับที่ 11435
 


    เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน นายประเสริฐ งามพันธุ์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยผลการประชุม ก.ค.ศ.ซึ่งมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุม ก.ค.ศ.พิจารณาร่างหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษามีและเลื่อนวิทยฐานะใหม่ ซึ่งปรับมาจาก ว 25/2548 และ ว 2/2551 และได้นำไปประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว โดยที่ประชุม ก.ค.ศ.มีมติเห็นชอบกรอบการประเมินวิทยฐานะตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ.เสนอทุกอย่าง และให้สำนักงาน ก.ค.ศ.ไปจัดทำคู่มือผู้ขอรับการประเมิน คู่มือกรรมการประเมินตลอดจนเครื่องมือในการประเมินวิทยฐานะ เช่น แบบฟอร์มการประเมินต่างๆ เป็นต้น ให้เสร็จก่อนที่นำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาประกาศใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 หรือปีงบประมาณ 2553 ระหว่างนี้ให้สำนักงาน ก.ค.ศ.รายงานความก้าวหน้าต่อคณะกรรมการ ก.ค.ศ.ทุกเดือน ส่วนผู้ที่กำลังอยู่ในกระบวนการประเมินวิทยฐานะ รวมถึงที่ยื่นความจำนงขอรับการประเมินวิทยฐานะใหม่เข้ามาแล้ว 2 รุ่น ตามหลักเกณฑ์ ว 25/2548 ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 40,000 คนนั้น สำนักงาน ก.ค.ศ.จะประเมินตามเกณฑ์เดิมต่อไป
    นายประเสริฐกล่าวว่า กรอบประเมินวิทยฐานะมีดังนี้
คุณสมบัติ ของผู้ขอรับการประเมิน กำหนดให้ต้องมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งวิทยฐานะตามมาตรฐานวิทยฐานะ และต้องมีภาระงานขั้นต่ำไม่ต่ำกว่าภาระงานตามที่ส่วนราชการต้นสังกัดกำหนด
ส่วนองค์ประกอบในการประเมินมี 3 ด้าน ได้แก่
    ด้านที่ 1 ด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ ซึ่งจะพิจารณาจากประวัติการรับราชการ (ก.พ.7) คำรับรองจากผู้บังคับบัญชา และกรรมการสถานศึกษา และเอกสารการมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างวินัย คุณธรรม จริยธรรม
    ด้านที่ 2 ด้านความรู้ ความสามารถ พิจารณาจากเอกสารที่แสดงถึงการพัฒนาตนเอง หลักฐานที่แสดงถึงการเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ในการจัดการเรียนการสอน เช่น สื่อการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ แฟ้มสะสมงาน เป็นต้น
    ด้านที่ 3 ด้านผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และผลงานทางวิชาการ โดยผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน พิจารณาจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หรือผลการทดสอบของหน่วยงานที่แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนมีการพัฒนาด้านการเรียน รู้ และพัฒนาการด้านอื่นๆ โดยคำนึงถึงปริมาณ คุณภาพ และสภาพของงาน
    สำหรับ ผลงานทางวิชาการ จะเป็นลักษณะของรายงานการศึกษาค้นคว้า หรือการวิจัยในชั้นเรียน ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาด้านการเรียนของผู้เรียน มีการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหา และนำไปสู่การสรุปองค์ความรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนต่อไป

นายประเสริฐกล่าวอีกว่า สำหรับเกณฑ์การตัดสินสำหรับ วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ
    ด้านที่ 1 ด้านคุณธรรมฯ ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
    ด้านที่ 2 ด้านความรู้ฯ ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
    ด้านที่ 3 ด้านผลการปฏิบัติงานฯ ต้องได้คะแนนผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ผลงานทางวิชาการ ต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 รวมเฉลี่ยสองส่วนต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70

การตั้งคณะกรรมการประเมิน
    วิทยฐานะชำนาญการ ให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา ตั้งกรรมการประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษาของผู้ขอรับการประเมิน ผู้ทรงคุณวุฒินอกสถานศึกษา และข้าราชการครูฯ ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าวิทยฐานะชำนาญการ
    ส่วนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ตั้งกรรมการจากบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.เห็นชอบ
ส่วน วิทยฐานะเชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ให้สำนักงาน ก.ค.ศ.ตั้งคณะกรรมการจากบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.เห็นชอบ โดยกำหนดให้มีกรรมการ 3 คน ต่อผู้ขอรับการประเมิน 1 คน ประเมินทั้ง 3 ด้าน
    ยื่นคำขอได้ปีละ 1 ครั้ง ถ้ายื่นคำขอแล้วภายใน 1 ปี ยังไม่ทราบผล สามารถยื่นขอใหม่ได้ ขอข้ามวิทยฐานะได้ (จากวิทยฐานะชำนาญการไปเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญได้) ถ้าผลงานอยู่ในเกณฑ์ที่ปรับปรุงได้ ให้ปรับปรุงได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ไม่เกิน 6 เดือน ครั้งที่ 2 ไม่เกิน 3 เดือน ส่งให้กรรมการชุดเดิมพิจารณา" นายประเสริฐกล่าว
    นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า กรณีที่ประชุม ก.ค.ศ.มีมติเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่ และมอบให้นายชินภัทร ภูมิรัตน ปลัด ศธ.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการวิสามัญเฉพาะกิจฯ ไปจัดทำรายละเอียด เพื่อ ประกาศในวันที่ 1 ตุลาคม นั้น สำหรับเกณฑ์การตัดสินมีดังนี้

วิทยฐานะ ชำนาญการ จะประเมินทั้ง 3 ด้าน
    โดยแต่ละด้านต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 โดยในด้านที่ 3 คือการประเมินผลการปฏิบัติงาน จะประเมินเฉพาะผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเท่านั้น ไม่ต้องประเมินผลงานทางวิชาการ,วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ ด้านที่ 1 และ 2 ต้องได้คะแนนแต่ละด้านไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ส่วนด้านที่ 3 ต้องได้คะแนนในส่วนผลการพัฒนาผู้เรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 คะแนนผลงานทางวิชาการไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 โดยเมื่อรวมคะแนน 2 ส่วนนี้ ต้องเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70,
    วิทยฐานะเชี่ยวชาญ ด้านที่ 1 และ 2 ต้องได้คะแนนแต่ละด้านไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 ส่วนด้านที่ 3 ต้องได้คะแนนในส่วนผลการพัฒนาผู้เรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 และคะแนนผลงานทางวิชาการไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยคะแนนสองส่วนนี้จะต้องรวมกันเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ 75,
    วิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ด้านที่ 1 และ 2 ต้องได้คะแนนแต่ละด้านไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 โดยในด้านที่ 3 ต้องได้คะแนนในส่วนผลการพัฒนาผู้เรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 และคะแนนผลงานทางวิชาการไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 และต้องได้คะแนนสองส่วนนี้เฉลี่ยรวมกันไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ร่าง หลักเกณฑ์ดังกล่าวต่างจากเกณฑ์เดิม โดยให้ค่าน้ำหนักผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนถึงร้อยละ 60 ส่วนผลงานทางวิชาการจะให้ค่าน้ำหนักเพียงร้อยละ 40 และต้องเป็นผลงานทางวิชาการที่เน้นทำวิจัยในห้องเรียนเป็นหลัก

ส่วนเงินวิทยฐานะนั้น ชำนาญการได้รับเดือนละ 3,500 บาท
    ส่วนวิทยฐานะตั้งแต่ ชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษ ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเป็น 2 เท่า จากอัตราเดิม ตาม มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยชำนาญการพิเศษจะได้รับเดือนละ 12,000 บาท เชี่ยวชาญได้รับเดือนละ 19,800 บาท และเชี่ยวชาญพิเศษได้รับเดือนละ 26,000 บาท และหากร่าง พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษามีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้เงินวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 31,000 บาท" นายจุรินทร์กล่าว

guest profile guest

ครูยุคใหม่ กำลังเป็นกระแสในสังคมที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์และคำถาม เช่น ครูยุคใหม่ คือครูแบบไหน? ทำไมต้องมีครูยุคใหม่? ครูยุคใหม่สร้างได้อย่างไร? ครูยุคใหม่พัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ?  คำตอบจากคำถามข้างต้น น่าจะเป็นดังนี้

 

          ครูยุคใหม่ คือครูแบบไหน?

          - ครูยุคใหม่ มีความรู้และความเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านการศึกษา
          - ครูยุคใหม่ เป็นนักวิเคราะห์ นักสังเคราะห์ และนักวิจัย เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
          - ครูยุคใหม่ เป็นครูโดยจิตวิญญาณ มีจิตวิทยาและศิลปะในการสอนและการถ่ายทอดความรู้
          - ครูยุคใหม่ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ยุคใหม่
          - ครูยุคใหม่ มีความสามารถในการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการเรียนการสอน
          - ครูยุคใหม่ มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์และสังคม
          ครูยุคใหม่ที่มีคุณสมบัติข้างต้น จึงไม่ใช่เฉพาะครูใหม่ ครูพันธุ์ใหม่ เท่านั้น แต่หมายรวมถึงครูทุกคนของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นครูเก่าหรือครูใหม่ คือครูยุคใหม่


          ทำไมต้องมีครูยุคใหม่?

          คงต้องยอมรับเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยในทั้งระดับโลก และระดับประเทศ ดังข้อมูลต่อไปนี้
          ผลการประเมินของโครงการ Program for International Student Assessment (PISA) ที่ดำเนินการโดย Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) ที่ทำการประเมินนักเรียนอายุ 15 ปี จากประเทศสมาชิกและประเทศที่เข้าร่วมโครงการทุก 3 ปี มีผลการประเมินการรู้เรื่อง(Literacy) ใน 3 ด้าน ในปี 2549 ดังนี้
          - ด้านการรู้เรื่องการอ่าน (Reading Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศเกาหลีได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 556 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ 500
          - ด้านการรู้เรื่องคณิตศาสตร์ (Mathematic Literacy) ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 417 ประเทศจีน-ไทเป ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 549 คะแนนเฉลี่ยOECD คือ 500
          - ด้านการรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ (Science Literacy)ประเทศไทยได้คะแนนเฉลี่ย 421 ประเทศฟินแลนด์ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด 563 คะแนนเฉลี่ย OECD คือ500 (แหล่งที่มา : โครงการ PISA ของ OECD)
         ผลสัมฤทธิ์การทดสอบระดับชาติ O-NET ปี2552 มีผลการสอบเฉลี่ยร้อยละ ดังนี้
          - ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 38.58 ภาษาอังกฤษ 31.75 คณิตศาสตร์ 35.88 วิทยาศาสตร์ 38.67 สังคมศึกษา 33.91
          - ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาษาไทย 35.35 ภาษาอังกฤษ 22.54 คณิตศาสตร์ 26.04 วิทยาศาสตร์ 29.16 สังคมศึกษา 39.70
          - ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาษาไทย 46.47 ภาษาอังกฤษ 23.98 คณิตศาสตร์ 28.55 วิทยาศาสตร์ 31.03 สังคมศึกษา 36.01
          (แหล่งที่มา : สถาบันทดสอบทางการศึกษา(องค์การมหาชน)
          จากข้อมูลข้างต้น สะท้อนว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยอยู่ในสภาวะที่ไม่น่าพอใจ และ "การประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนเกือบทุกครั้งยังน่าผิดหวัง"(อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, 14 พ.ค.2552)
          ส่วนผลการวิจัยของ sir michael barber โดยMckinsey & Company พบว่า ประสบการณ์ของประเทศที่มีผลการประเมินสูงอยู่ในสิบอันดับแรกสรุปได้ถึงปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของระบบโรงเรียน 3 ประการ ดังนี้
          1. การคัดคนที่เหมาะสมเพื่อเป็นครู (Getting the right people to become teachers)
          2. การพัฒนาให้เป็นผู้สอนที่มีประสิทธิภาพ(Developing them into effective instructors)
          3. การประกันระบบการจัดการเรียนการสอนที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียนทุกคน (Ensuring that the system is able to deliver the best possible instruction for every chilld)
          การผลิตครูและพัฒนาครูยุคใหม่ตามนิยามข้างต้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
          ครูยุคใหม่สร้างได้อย่างไร?

         - สิ่งที่ต้องคำนึงถึงที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาครูในระบบ ซึ่งเป็นครูประจำการที่มีจำนวนมากประมาณ 700,000 คน อาทิ ครู สพฐ. ประมาณ500,000 คน ครู สอศ. ประมาณ 50,000 คน ครูสช. ประมาณ 100,000 คน ครู อปท. ประมาณ50,000 คน เป็นต้น

            การจะพัฒนาครูในระบบสู่ความเป็นครูยุคใหม่ได้อย่างไร?

           คงเป็นเรื่องที่รัฐบาลและผู้บริหารการศึกษาที่รับผิดชอบต้องดำเนินการ ทราบว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ โดยมองการพัฒนาการศึกษาทั้งระบบเป็นองค์รวม โดยมีคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นผู้รับผิดชอบ
          - การผลิตครูยุคใหม่เป็นสิ่งที่ต้องปฏิรูปโดยการสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพและมีสิ่งจูงใจที่เหมาะสมโครงการครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นการผลิตครูเพื่อทดแทนครูที่จะเกษียณอายุราชการของกระทรวงศึกษาธิการประมาณ 200,000 คน ตามมติ ครม. วันที่ 8 ธันวาคม 2552 ครูพันธุ์ใหม่จึงเป็นผลผลิตที่จะสนองตอบความเป็นครูยุคใหม่ในระบบการผลิตครูคุณภาพ
          - ในโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ทดแทนครูเกษียณอายุราชการ รัฐบาลได้เริ่มโครงการทุนครูยุคใหม่ระหว่างปี 2552-2561 โดยมีทุน 2 ประเภท ได้แก่ประเภทที่ 1 มีทุนการศึกษาและมีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) กับประเภทที่ 2 มีอัตราบรรจุ (ประกันงาน) รวมทั้ง 2 ประเภท จำนวน 33,600 ทุน และอาจจะขยายจำนวนทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยการรับทุนเต็มรูปแบบจะเริ่มในปีการศึกษา 2554 โดยมีหลักการดังนี้
          คุณสมบัติผู้เข้าศึกษา

         1.1 หลักสูตรปริญญาตรีควบโท 6 ปี ผู้สมัครรับทุนต้อง
          - มีคะแนนผลการเรียน ม.ปลาย เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า3.00 และผลการเรียนในวิชาเอก (ถ้ามี) เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00
          - มีคะแนนผลการสอบ O-NET, GAT, PAT อยู่ในกลุ่มสูงร้อยละสามสิบ (Top Thirty) ของกลุ่มผู้สอบในแต่ละปี
          - มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 400, computer based ไม่น้อยกว่า 97, internet based ไม่น้อยกว่า 32) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 3.5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
          1.2 หลักสูตรปริญญาโท 2 ปี (รับผู้สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี) ผู้สมัครรับทุนต้อง
          - มีคะแนนผลการเรียนเฉลี่ย และผลการเรียนวิชาเอกเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00
          - มีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 450, computer based ไม่น้อยกว่า 133, internet based ไม่น้อยกว่า 45) หรือIELTS ไม่น้อยกว่า 4 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ.รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์ TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
          1.3 หลักสูตรปริญญาตรี 5 ปีจะมีนิสิต/นักศึกษารับทุนเป็นปีสุดท้าย กรณีที่มีทุนเหลือจากหลักสูตรปริญญาตรี ควบโท 6 ปี และหลักสูตรปริญญาโท 2 ปี
          เงื่อนไขระหว่างการศึกษา ต้องได้คะแนนรวมเฉลี่ยคะแนนวิชาเอกเฉลี่ย และคะแนนวิชาชีพครูเฉลี่ย ไม่น้อยกว่า 3.00 ทุกกลุ่ม
          เมื่อมีการกำหนดคุณสมบัติทั้งก่อนเข้าศึกษา และระหว่างศึกษาอย่างเข้มข้น รวมทั้งมีเงื่อนไขคุณภาพที่มีลักษณะพิเศษสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาเช่นมีคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษ TOEFL (paper based ไม่น้อยกว่า 500, computer based ไม่น้อยกว่า173, internet based ไม่น้อยกว่า 61) หรือ IELTS ไม่น้อยกว่า 5 หรือคะแนนผลการสอบภาษาอังกฤษจากหน่วยงานที่สำนักงาน ก.พ. รับรองการเทียบเท่าเกณฑ์TOEFL และ IELTS เช่น CU-TEP ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษ(ภาษาต่างประเทศ) จึงอาจเป็นเงื่อนไขในการกำหนดอัตราเงินเดือนสูงกว่าระดับปริญญาโทปกติได้


          ครูยุคใหม่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ?

          ครูยุคใหม่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเท่านั้น ดังนั้น นอกจากครูยุคใหม่แล้ว นโยบายการปฏิรูปการศึกษาของรัฐบาลยังได้กำหนดการพัฒนาคุณภาพทั้งสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และการบริหารจัดการใหม่ด้วย ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ตามปฏิญญาการปฏิรูปการศึกษา ในทศวรรษที่สอง (2552-2561) ที่มีเป้าหมาย คือ คนไทยยุคใหม่ มีสมรรถนะการศึกษามีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล (IMD), คนไทยใฝ่รู้ :สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต, คนไทยใฝ่ดี : มีจิตสาธารณะ มีระเบียบวินัย คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม มีศีลธรรมคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมและคนไทยคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น : มีความสามารถในการสื่อสารสามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา ริเริ่มสร้างสรรค์
          อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจจะต้องตระหนักถึงปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยอาทิ การพัฒนาคุณภาพหลักสูตร ทั้งหลักสูตรการผลิตครู หลักสูตรอาชีวศึกษา และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การพัฒนาคุณภาพครูของครู ในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ และคณะอื่นที่ร่วมการผลิตครูยุคใหม่
          ผู้สนใจรับทุนครูพันธ์ใหม่ โปรดติดตามความคืบหน้าได้จาก สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) โดยคาดว่าน่าจะมีการประกาศรับสมัครผู้รับทุนครูพันธุ์ใหม่ ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2554 “ ครูยุคใหม่ จึงอาจเป็นคำตอบสุดท้ายของการปฏิรูปการศึกษารอบสอง”

 

อ้างอิง : บทความครูยุคใหม่ เขียนโดย รศ.ดร.สมบัติ นพรัก ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย มติชน ฉบับวันที่ 28 ธ.ค. 2553

 
guest profile guest

ประโยชน์ของกล้วย

กล้วยอุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และ กลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที


    ประโยชน์ของกล้วยไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรคเลยค่ะ ส่วนจะช่วยป้องกันโรคใดได้บ้างนั้นราไปหาข้อมูลมาให้แล้ว ดังนี้


1. โรคโลหิตจาง ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง




2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถ โฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก




3. กำลังสมอง มีงานวิจัยในกลุ่มนักเรียน 200 คน โรงเรียน Twickenham พบว่ากินกล้วยมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปี ด้วยการจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วยสามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น




4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย




5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคนจะมี ความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า Try Potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะ ถูกเปลี่ยนเป็น Rerotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง




6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้ กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไปในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา




7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียด ท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้




8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า




9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้




10. ระบบประสาท วิธีควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงอย่างทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้




11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย




12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้ อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทารกที่เกิดมา จะมีอุณหภูมิเย็น




13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ Try Potophan ทำให้อารมณ์ดี




14. การสูบบุหรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็วอันเป็นผล จากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง




15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิด ความสมดุล




16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%




17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้
 

guest profile guest
สอบเข้าม.1 ปีการศึกษา2554 วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม2554
สอบเข้าม.4ปีการศึกษา 2554 วันอาทิตย์ 20 มีนาคม 2554
ม. 1 432  ม.4 184 คน
guest profile guest
4094      เสาร์ 16 เมษายน 2554   
             วันนี้อยู่บ้านพักข้าราชการครู    หยุดอยู่บ้านพักตั้งแต่ 9 -15 เม.ย. 2554    ชอบมากได้อยู่อย่างสงบ ๆ มีเพื่อนมาติวหนังสือสอบบรรจุด้วย  สอบบรรจุ 25-26-27-28  เม.ย. รวม 4 วัน  ปรกาศผลภายใน 6 พ.ค.   และบรรจุก่อนเปิดเทอม 16พฤษภาคม 2554

              ปีการศึกษาหน้า คือปีการศึกษา 2554  จะเป็นปีการศึกษาที่ 10 ของการประกอบอาชีพครูของข้าพเจ้า.....
                    ข้าพเจ้าเป็นครู มา 9 ปีแล้ว....นานเหมือนกันนะเนี่ยะ
เป็นครูย่างปีที่ 10    .....เลข สวยจัง

guest profile guest

"ยุบ สทศ. สมศ..." สมพงษ์ จิตระดับ ชำแหละนักเรียนสอบตกโอเน็ต "ยกสยาม"

เกินกว่าคำว่า “น่าตกใจ” ภายหลังการประกาศผลโอเน็ต หรือวิชาพื้นฐาน เอเน็ต ว่าเด็กไทยสอบตกทั้งประเทศ อีกทั้งวิชาที่สำคัญเป็นพื้นฐานคะแนนยังต้อยต่ำสุดๆ ไทยรัฐออนไลน์ หอบเอาความหวังไปถาม รศ.ดรสมพงษ์ จิตระดับ ถึงวิกฤติการศึกษาไทยทุกวันนี้ว่าใคร สิ่งไหน คือจุดอ่อนการศึกษาของประเทศไทย...

เกินกว่าคำว่า “น่าตกใจ” ภายหลังการประกาศผล โอเน็ต หรือวิชาพื้นฐาน เอเน็ต ว่าเด็กไทยสอบตกทั้งประเทศ อีกทั้งวิชาที่สำคัญเป็นพื้นฐานคะแนนยังต้อยต่ำสุดๆ 

การออกข้อสอบยากมากเหมือนกับข้อสอบแข่งขันโอลิมปิก บางคำถามต้องตอบตัวเลือกให้ถูกถึง 2 ข้อถึงจะได้ 1 คะแนน ข้อสอบจากที่เคยเป็นปรนัยปีนี้กลายเป็นปรนัย-อัตนัยอย่างละครึ่งๆ แถมยังให้เวลาน้อยนิด 

เด็กหลายคนเลือกทำอัตนัยแล้วทิ้งปรนัยคะแนนจึงลดลงเลย ประเด็นสำคัญที่โดนพูดถึงคือ การออกข้อสอบโดยอาจารย์สาธิต ซึ่งเป็นแนววิเคราะห์มาก ดังนั้นเด็กที่ไม่ได้เรียนสาธิตก็สอบตกหมด อาจารย์ไม่สนใจในการสอนเพราะมัวแต่เอาเวลาไปทำภารกิจส่วนตัวเรื่องเลื่อนวิทยฐานะครู ทำให้คุณภาพการสอนในห้องเรียนไม่มี เด็กส่วนใหญ่ก็หันไปทุ่มเงินเรียนพิเศษ แต่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะมีเงิน 

“ถ้าให้พูดตรงๆ ถ้าไม่เรียนพิเศษหนูและเพื่อนๆ ก็ไม่ติดหมอหรอก แต่ถามจริงๆ มันไม่มีเด็กคนไหนอยากเรียนพิเศษถ้าครูในห้องตั้งใจสอนไม่ได้กั๊กเอาไว้และแนะนำให้เราไปเรียนพิเศษปกติเรียนวันละ 8 ช.ม.ไปเรียนพิเศษถึง 2 ทุ่มกว่าจะกลับบ้าน กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้านเสร็จ ตี 1 อึดๆ ทึกๆ เพื่อรับมือกับข้อสอบที่ออกมายากๆ โรงเรียนก็มีมาตรฐานไม่เท่ากัน เด็กก็รวยจนไม่เท่ากันเงินเรียนพิเศษก็ไม่มีแล้วกระทรวงศึกษา สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) สมศ. (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา) ทำอะไรบ้างไหม ก็เปล่า...?” 

เป็นคำพูดที่สะท้อนปัญหาของเหล่านักเรียนได้อย่างดี

ไทยรัฐออนไลน์ หอบเอาความหวังไปถาม รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงวิกฤติการศึกษาไทยทุกวันนี้ว่าใคร สิ่งไหน คือจุดอ่อนการศึกษาของประเทศไทย

Q : ในฐานะคนที่คลุกคลีด้านการศึกษามา ดูผลประกาศว่าเด็กสอบโอเน็ตตกทั้งประเทศแล้วรู้สึกอย่างไร

A : จริงๆ มันตกร่วงมา 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อระหว่างการปฏิรูปรอบแรกกับปฏิรูปรอบนี้ แล้วผลที่ออกมาถามว่าสะท้อนอะไรผมมองว่ามันคือการวัดผลประเทศเรานี้ คือการสอบเป็นกระบวนการที่สอบแล้วไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์อะไรประการแรกเลยเด็กจึงไม่ตั้งใจสอบ เพราะคิดว่าสอบไปทำอะไร ถึงสอบตกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญ สอบตกก็ไม่เลื่อนชั้น 

อีกอย่างบ้านเรามันใช้วิธีการจับฉลากเข้าเรียนแล้ว การสอบมันเยอะเกินไป คืออย่างปีนี้ ตารางสอบโอเน็ตกับแกทแพทห่างกันไม่มาก คนจึงหันไปทุ่มกับแกทแพท เพราะเวลาเข้ามหาวิทยาลัยต้องใช้คะแนนนี้ถึง 50% ขณะที่โอเน็ตใช้เพียง 30% และเป็นข้อสอบที่มีเนื้อหาอยู่ในหลักสูตร ไม่จำเป็นต้องไปเรียนกวดวิชาเพิ่ม เฉพาะที่เรียนในห้องเรียนก็น่าจะทำได้เลยไม่ค่อยตั้งใจสอบคะแนนโอเน็ตในภาพรวมก็เลยออกมาต่ำ

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองก็คือว่าปีนี้ข้อสอบเปลี่ยนฉะนั้นเราจะเห็นว่าเด็กที่จะสอบภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ 3 ชั่วโมง 3 วิชา มันจะสอบภาษาไทยกับสังคม แล้วภาษาอังกฤษมันจะทิ้ง ทำให้คะแนนภาษาอังกฤษออกมาแบบที่เห็นก็คือตกมากมาย สทศ. เริ่มมีแนวข้อสอบที่หลากหลาย บางคำถามต้องตอบถูกถึง 2 ข้อถึงจะได้ 1 คะแนน ส่วนข้อสอบที่เคยเป็นปรนัยมาปีนี้กับปีที่แล้วกลายเป็นปรนัย-อัตนัยอย่างละครึ่งๆ แล้วก็จำกัดเวลา หลายคนจึงเลือกทำอัตนัยก่อนแล้วทิ้งปรนัยคะแนนจึงห่วยอย่างที่เห็น

Q : อาจารย์กำลังบอกว่าข้อสอบแปลกๆ ของ สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) ก็มีส่วนทำให้ผลลัพธ์ออกมาแบบที่คนช็อก คือสอบโอเน็ตตกทั้งประเทศ...? 

A : ใช่ เรื่องข้อสอบ ประเด็น กระบวนการสอบ เหล่านี้ก็มีผล แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่ามีผลคือกลุ่มคนที่ออกข้อสอบเป็นอาจารย์โรงเรียนสาธิตทั้งหมด อาจารย์จากโรงเรียนอื่นๆ ไม่มีส่วนในการออกข้อสอบนะครับ เพราะฉะนั้นข้อสอบมันจึงยาก (เน้นเสียง) ข้อสอบเป็นลักษณะในเชิงวิเคราะห์มาก ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของโรงเรียนสาธิต เด็กสาธิตจึงทำได้ไม่บ่น แต่เด็กโรงเรียนส่วนใหญ่ทั้งประเทศจะเน้นความรู้ความจำ เน้นเรียนจากหนังสือ ไม่เน้นวิเคราะห์ ข้อสอบที่ออกมาจึงมันขัดแย้งกับตัวเด็ก แล้วตัวผู้ออกข้อสอบนั้นก็ไม่ได้สอนเด็กส่วนใหญ่ของประเทศด้วย อันตรายมากๆ 

Q : แล้วอาจารย์ที่ออกข้อสอบเหล่านี้ใครเป็นคนคัดเลือก

A : สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) กำหนดว่าต้องเป็นอาจารย์โรงเรียนสาธิต ฉะนั้นกลุ่มผู้ออกข้อสอบกับเด็กที่สอบนี้ไม่ใช่ครูและนักเรียนโดยตรง อีกปัญหาหนึ่งที่เห็นจากการลงภาคสนามของผมมาตลอด ผมลงไปทำเรื่องสภาเด็ก ทำเรื่องเยาวชนมากมาย พวกเขาบอกว่าเด็กๆ กังวลมากว่าอนาคตข้างหน้า ครูบาอาจารย์จะทิ้งเด็กไม่สอนหนังสือ ไม่ทุ่มเท จ้ำจี้ จ้ำชัยเหมือนแต่ก่อน มัวแต่ไปทำเรื่องส่วนตัวกันหมด ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นก็คือที่ผ่านมาครูจะเจริญก้าวหน้าเงินเดือนสูงมาก แต่คุณภาพเด็กกลับตกต่ำ 

ฉะนั้นการออกแบบเรื่องทำวิทยฐานะในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ จุลานนท์ เป็นการหลงทางครั้งใหญ่ของประเทศ ทำให้ครูเนี่ยเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทำเรื่องวิทยฐานะกันหมด จึงไม่มีคนใส่ใจคุณภาพเด็ก ผมถามว่าวันนี้เด็กตกกันทั้งประเทศยังไม่มีใครมารับผิดชอบ ไม่มีบทลงโทษ และผลที่เกิดออกมากับ สทศ. (สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ) สมศ. (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา) เวลาที่มันวัดผลเกิดขึ้นมาไม่ได้มีการเอาไปใช้ในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพเด็ก ต่างคนต่างอยู่ต่างยึดกฎหมาย ยึดสถาบัน ยึดองค์กรตัวเอง "กูมีหน้าที่สอบกูก็สอบ กูมีหน้าที่ออกข้อสอบ เด็กมึงตกมันก็ไปรับผิดชอบกันเอง"

Q : ไม่มีเจ้าภาพรับผิดชอบที่ชัดเจน

A : ใช่ มีแต่ครูจะได้ซีเพิ่มขั้น แต่เวลาเด็กตกไม่มีใครมารับผิดชอบอะไรเด็กเลย

Q : หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าการออกข้อสอบแปลกๆ แบบนี้เกินหลักสูตรไปไหม


A : จริงๆ มันก็ไม่เกินหลักสูตรหรอก แต่ว่า มันเป็นข้อสอบที่ยากกว่าเด็กปกติ เป็นข้อสอบในเชิงวิเคราะห์ แต่ถ้ามองข้อสอบดีในเชิงวิเคราะห์ก็แปลว่าคนไทยได้คิดมากขึ้น

Q : แต่ว่าเราไม่ได้สอนเขาแบบนั้น 


A : มันก็ไม่เป็นธรรม อาจารย์ที่ออกเขาเอามาตรฐานเด็กโรงเรียนสาธิต ให้คิดวิเคราะห์ทุกวันวิพากษ์วิจารณ์อะไรๆ มันฝึกตลอด พอคุณเอาวิธีวิธีการสอนเด็กกลุ่มหนึ่งมาวัดเด็กกลุ่มหนึ่งมันจึงไม่ยุติธรรม 

Q : ทางแก้ไขคือ

A : ดีที่สุดก็คือ ยุบ สทศ. ยุบ สมศ. ไปเถอะรำคาญ คือเมื่อคุณวัดขึ้นมาแล้วมันไม่ใช่ประโยชน์ ถ้าวัดออกมาแล้วเครื่องมือไม่สอดคล้องและมันใช้งบประมาณมากก็ยุบไปเถอะเสียเงินเปล่าๆ 

Q : การเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการบ่อยมีผลไหม

A : มีครับ มันทำให้ข้าราชการระดับสูงนี้ใส่ใจเรื่องคุณภาพ มันก็มัวแต่ตามนโยบายลมเพลมพัด นโยบายไฟไหม้ฟาง นโยบายของตัวเอง ฉะนั้นจึงไม่ทุมเท ก็ไปใส่ใจในตัวนโยบายเฉพาะกิจหรือนโยบายส่วนตัวของรัฐมนตรี คุณภาพเด็กที่ลงไปบริหารกับครูในโรงเรียนมันก็ลดน้อยลง

ความเอาจริงเอาจังก็มันหายไปเยอะ การตรวจราชการ การติดตามเอาใจใส่อะไรพวกนี้ ข้าราชการส่วนกลาง ดังนั้นผมเสนอให้มีการคาดโทษอย่างหนักกับคนทำให้ผิดพลาดแต่นี่ไม่มี ทั้งๆ ที่ผลออกมาเด็กสอบโอเน็ตตกทั้งประเทศมันต้องรับผิดชอบกันทั้งกระทรวง แล้วผลออกมาใครรับผิดชอบ ไม่มี จริงๆแล้วผู้ใหญ่ต้องเป็นคนรับผิดชอบผมเสนอว่าทางออกคือต้องเอาผลการประเมินระดับโรงเรียนไม่ว่า สทศ. สมศ. และนำคะแนนเป็นตัวตั้ง มาจัดกลุ่มกัน กลุ่มนี้ต้องแก้ไขปรับปรุงมาก กลุ่มแก้ไข กลุ่มปานกลาง กลุ่มดี พอรู้ปัญหาก็ระดมคน สื่อการเรียนการสอบ อุปกรณ์ต่างๆ ลงไปช่วยเหลือเด็กห้องต่างๆ อย่างทั่วถึงและเป็นระบบ 

2554 คำถามที่ต้องการคำตอบ เมื่อเด็กสอบโอเน็ตตกทั่วประเทศ...?

1.กระทรวงศึกษาธิการและผู้เกี่ยวข้องรู้ไหมว่าสาเหตุหลักที่เด็กสอบโอเน็ต หรือวิชาพื้นฐานตก เพราะวันนี้ในโรงเรียนเน้นทำการบ้านส่ง 70-80 % แต่ว่าการสอบจริงในห้องเรียนมีแค่ 20-30 % เท่านั้น คำถามก็คือวันนี้เด็กได้รับการฝึกฝนในการทำข้อสอบมาเพียงพอหรือเปล่า ถ้าไม่พอแล้วทำไมไม่เพิ่มเติม

2.คำถามก็คือ เมื่ออยากรู้ว่าครูมีคุณภาพไหมทำไมไม่เอาครูมาสอบเอ็นทรานซ์เทียบกับเด็กจะได้รู้ไปเลยว่าครูมีความรู้พอที่จะสอนหรือเปล่า ซึ่งมันจะสะท้อนได้ว่า ถ้าคุณครูคะแนนต่ำกว่าเด็ก 1.สถาบันผู้สอนต้องล้มเหลวแน่ ๆ 2.วิธีการสอนต้องล้มเหลวแน่ๆ 3.ถ้าเอาครูมาสอบเอ็นทรานซ์แล้วครูคะแนนไม่ดีมันก็ยืนยันความล้มเหลวแน่ๆ ดังนั้นจะได้รู้ว่าอะไรคือราก จุดอ่อนของการศึกษาเมืองไทยที่ล้มเหลวเสมอๆ เรื่องง่ายๆ แบบนี้ผู้มีส่วนรับผิดชอบทำอะไรบ้างหรือยัง

3.ทำไมนโยบายการศึกษาเรามักจะสนับสนุนให้คนเก่ง เรียนแพทย์ เรียนวิศวะแต่สนับสนุนให้คนไม่มีทางเลือกไปเรียนครู ซึ่งครูทำหน้าที่ผลิตครูก็คืออาจารย์ในสถาบันราชภัฏต่างๆ แล้วคนผลิตก็ไม่ฉลาด คนถูกผลิตก็ไม่ฉลาด ขบวนการผลิตก็ไม่ฉลาด แล้วกระบวนการจัดการเรียนการสอนก็ไม่ฉลาด ประชากรศึกษาที่มีความรู้ก็รู้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผู้มีส่วนรับผิดชอบทำอะไรบ้างหรือยัง

4.ทำไมไม่กำหนดก่อนว่าข้อสอบจะประเมินอะไรของเด็กที่จะเข้ามาเรียน เหมือนกับที่สถาบันศึกษาจากต่างประเทศที่มีการทดสอบที่มีประสิทธิภาพนักเรียนเพื่อจะได้รู้ทิศทางความถนัดและความชื่นชอบเพื่อพัฒนาศักยภาพของเด็กให้ถูกต้องและตรงทิศทาง 

5..ย้อนหลังกลับไป 15 ปีที่แล้วมีการสอบเอ็นทรานซ์เพียงแค่ครั้งเดียว กล่าวคือสอบได้ก็ได้ สอบไม่ได้ก็ไม่ได้ ก็ตก ไม่เหมือนวันนี้ที่ต้องผูกชะตาชีวิตเด็กขึ้นกับครู และระบบแอดมิดชั่นใช้เกรด+กับการสอบ และคำถามใหญ่สุดท้ายก็คือครูทุ่มเทใช้จิตวิญญาณสอนอย่างเต็มทีได้แค่ไหน…?

นี่คือคำถามเสี้ยวจากที่ไทยรัฐออนไลน์ประมวลมาจากผู้รู้มากมาย นอกจากต้องการคำตอบแล้ว ยังต้องการผู้รับผิดชอบเมื่ออนาคตของชาติสอบวิชาพื้นฐานตกทั้งประเทศด้วย...?

 

 

ที่มา ไทยรัฐ 11 เมษายน 2554

guest profile guest
guest profile guest
guest profile guest


การศึกษาของคนไทยบางคน   เป็นเช่นนี้แล้วหรือ

แฉ!ซื้อ-ขายวุฒิปลอมว่อนเน็ต ลั่นมหาลัยฉาว ผิดจริงเจอเทคโอเว่อร์แน่ 

กรณีการเปิดโปงการซื้อขายใบประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู หรือป.บัณฑิต วิชาชีพครู ของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ที่มีอักษร “อ”นำหน้า ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น 

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 17 เม.ย. นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนได้รับรายงานจากนายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.)ว่ามีการประชุมคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยที่ประชุมเห็นว่าจากการสอบสวนผู้กระทำผิด 4 ราย ทำให้มีหลักฐานการทำผิดเพียงพอ ส่วนใบเสร็จที่คณะกรรมการได้รับก็ได้รับการยืนยันว่าเป็นใบเสร็จจริงของมหาวิทยาลัย โดยค่าเทอมจริงแค่ 36,000 แต่ทางมหาวิทยาลัยรับเงินจากเด็ก 56,000 บาท 

อย่างไรก็ตามจะรอให้ทางมหาวิทยาลัยเข้ามาชี้แจงในเรื่องเอกสารการลงทะเบียนเรียน รายงานผลการเรียนรายเทอม ใบแจ้งผลการเรียนรายเทอม กระดาษข้อสอบและกระดาษคำตอบของเด็ก ในวันที่ 25 เม.ย.นี้ก่อน หากคณะกรรมการสอบข้อเท็จฟันธงว่ามีมูลความผิดจริง เราก็พร้อมจะส่งคณะกรรมการควบคุมการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยเข้าไปบริหารงานแทน 

ขณะนี้ถึงแม้จะกำลังมีข่าวเรื่องวุฒิ ป.บัณฑิตปลอม ตนยังได้รับข้อมูลว่า มีหลายเว็บไซต์ที่ขึ้นโฆษณารับทำวุฒิปลอมทุกระดับชั้น ตั้งราคาตั้งแต่ 8,000 - 200,000 บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก ดังนั้นตนย้ำให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)ตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง และในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)สัปดาห์นี้ ตนจะนำเรื่องนี้เข้าไปพูดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นปัญหาว่า การรับทำวุฒิปลอมที่ระบาดในเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นปัญหาระดับชาติ หากปล่อยไว้จะเกิดความเสียหายต่อระบบการศึกษา การพัฒนาประเทศชาติ และจะเป็นที่ไม่ยอมรับของนานาชาติด้วย พร้อมทั้งจะประสานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ช่วยดำเนินการตรวจสอบอีกทางหนึ่งด้วย 

บางรายมีการโฆษณาว่าใช้ได้จริง สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ เรื่องนี้ผมคิดว่าน่าจะทำกันเป็นขบวนการ ขอเวลาตรวจสอบเรื่องนี้อีกระยะหนึ่ง หากพบว่ามีส่วนใดที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยหากรู้เห็นด้วยก็ต้องดำเนินการให้เด็ดขาด เรื่องนี้จะต้องร่วมกันรณรงค์ให้เป็นวาระสำคัญของชาติ หรืออาจะเป็นวาระแห่งชาติต่อไป 

ด้าน นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการ กกอ.กล่าวถึงกรณีที่นายไชยยศสั่งให้ สกอ.ตั้งคณะกรรมการควบคุมการดำเนินงานมหาวิทยาลัยที่ตกเป็นข่าวขาย ป.บัณฑิตฯ ว่า สกอ.หารือกับฝ่ายกฎหมาย โดยใช้ พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ซึ่งต้องดูว่ามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้ทำผิดพลาดเป็นเหตุให้ สกอ. สามารถเข้าไปควบคุมการดำเนินงานได้หรือไม่ และคณะกรรมการที่จะเข้าไปนั้น กฎหมายกำหนดให้เป็นการแต่งตั้งโดยอำนาจรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องได้รับคำแนะนำจากที่ประชุม กกอ. โดยจะมีการประชุมกกอ.ในวันที่ 4 พ.ค.นี้ คงไม่ล่าช้าจนเกินไป เพราะ สกอ.จะต้องรอหลักฐานเพิ่มเติม จากมหาวิทยาลัยที่จะส่งมาให้ในวันที่ 25 เม.ย.ก่อน 

ทั้งนี้ สกอ.จะประสานกับคุรุสภา ขอสอบปากคำนักศึกษาทั้ง 4 คน ที่ออกมาสารภาพว่าซื้อ ป.บัณฑิตฯโดยไม่ได้เรียน เพื่อนำมาประกอบสำนวนการสอบสวน ส่วนที่หลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงว่า นายกสภามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง รวมทั้งทบวงมหาวิทยาลัยด้วย จะเป็นการกดดัน สกอ. ไม่กล้าดำเนินการนั้น เท่าที่ติดตามข่าวสาร นายกสภามหาวิทยาลัยแห่งนี้ระบุว่าขอให้ สกอ.ทำงานตามเนื้อผ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ สกอ. ทำอยู่แล้ว 

ส่วน นายองค์กร อมรสิรินันท์ เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า สัปดาห์นี้คุรุสภาจะสรุปข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับการแจ้งเบาะแสเข้ามาในช่วง 4-5 วันที่ผ่านมา และจะจัดเจ้าหน้าที่ปูพรมตรวจสอบหาข้อเท็จจริงทันที ทั้งนี้จะรวมไปถึงมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่อยู่ในย่านปริมณฑลที่ได้รับเบาะแสว่ามีการขายใบ ป.บัณฑิตฯด้วย ส่วนกรณีที่ทางคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงชุดที่ สกอ. ตั้งขึ้นต้องการจะสอบปากคำบัณฑิต 4 ราย ที่ให้ข้อมูลกับทางคุรุสภานั้น ขณะนี้คุรุสภากำลังประสานกับบัณฑิตทั้ง 4 รายให้ คาดว่าน่าจะนัดหมายกันได้ในเร็ว ๆ นี้ 

ในส่วนของ ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) กล่าวว่า ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ จะมีการประชุม ทปอ.ที่ ม.เกษตรศาสตร์ ตนจะนำประเด็นปัญหามาตรฐานและคุณภาพอุดมศึกษาเข้าหารืออีกครั้ง เพื่อหาจุดยืนร่วมกันของ ทปอ. เพราะถ้าอุดมศึกษายังมีปัญหาคุณภาพและมาตรฐานอยู่จะเป็นที่พึ่งของสังคมได้อย่างไร โดยประเด็นที่จะหารือเรื่องการซื้อขายปริญญาที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ รวมถึงการซื้อปริญญาในมหาวิทยาลัยของรัฐ และ การซื้อขายปริญญาผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ด้วย 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสืบค้นหาข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ต โดยพิมพ์คำว่า อยากได้วุฒิปลอม ปรากฏว่า มีข้อมูลในหลายเว็บไซต์โฆษณาถึงการซื้อวุฒิเป็นจำนวนมาก ล่าสุดเพิ่งโพสต์ใหม่ในวันที่ 17 เม.ย.54 พร้อมมีการให้ผู้ที่สนใจติดต่อได้ทั้งเบอร์โทรศัพท์มือถือและอีเมล์สอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญบางเว็บไซต์ มีผู้สนใจเข้าชมมากกว่า 3,000 ราย และอยากซื้อวุฒิปลอมมากกว่า 100 ราย โดยมีทุกระดับชั้นตั้งแต่มัธยมศึกษาจนถึงปริญญาตรี นอกจากนี้ยังพบว่า นอกจากจะมีรับทำวุฒิแล้ว บางส่วนยังรับทำใบขับขี่ปลอม และทะเบียนบ้านปลอมด้วย 

สำหรับเนื้อหาการโฆษณาบางรายระบุว่า รับทำวุฒิการศึกษา รับปรึกษาเรื่องวุฒิการศึกษาหากคุณต้องการวุฒิการศึกษาเพื่อนำไปสมัครงาน หรือเรียนต่อ หรือปรับเงินเดือน ฯลฯ โดยจะทำวุฒิการศึกษาของสถานศึกษาเอกชนในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นวุฒิที่ออกให้โดยสถานศึกษาจริง ๆ มีชื่อและข้อมูลของผู้ซื้ออยู่จริง ๆ หากมีการตรวจสอบก็ไม่มีปัญหาตามมาพร้อมระบุค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน โดย ระดับ ม.ต้น - ระดับ ปวส. คิดค่าดำเนินการรายละ 8,000 บาท ระดับปริญญาตรี หลักสูตรต่อเนื่อง 4 ปีภาคปกติ 180,000 บาท หลักสูตรต่อเนื่อง 4 ปี ภาคค่ำ 140,000 บาท หลักสูตรเทียบโอน ปวส. ภาคปกติ 120,000 บาท หลักสูตรเทียบโอน ปวส. ภาคค่ำ 100,000 บาท หลักสูตรนานาชาติ ค่าใช้จ่าย 230,000 บาท 

นอกจากนี้ยังมีสาขาให้เลือก อาทิ หลักสูตรภาษาไทย คณะบริหารธุรกิจ (บริหารทั่วไป,การเงินการธนาคาร,การตลาด,การบัญชี,การโฆษณาและประชาสัมพันธ์,การบริหารทรัพยากรมนุษย์,การประกันภัย,การท่องเที่ยว,ธุรกิจระหว่างประเทศ,การบัญชีและการเงิน,การออกแบบผลิตภัณฑ์,การจัดการทรัพย์สิน,การจัดการโลจิสติกส์ คณะการบัญชี คณะเศรษฐศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ สาขาวิชาการตลาด (ภาษาอังกฤษ) สาขาวิชานิเทศศาสตร์ (ภาษาอังกฤษ) 

โดยขั้นตอนของผู้ที่อยากได้วุฒิจะมีการติดต่อศึกษากับผู้รับทำ เจรจาค่าใช้จ่าย ส่งเอกสารให้กัน อาทิ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาวุฒิการศึกษาที่จบมา รูปถ่าย จากนั้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ผู้ที่จ้างทำจะได้รับใบแสดงผลการเรียน หนังสือรับรองการศึกษา บัตรประจำตัวนักศึกษา ใบปริญญาบัตร (ป.ตรี) ทั้งนี้เมื่อลองโทรฯไปสอบถามตามเบอร์ต่างๆที่ให้ไว้ บางเบอร์ไม่สามารถติดต่อได้ คาดว่ากลุ่มผู้รับทำวุฒิปลอม อาจจะมีการเปลี่ยนเบอร์อยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้ 

 

ที่มา เดลินิวส์ วันจันทร์ ที่ 18 เมษายน

guest profile guest

อันตรายต่อเด็กอย่างมหันต์  ถ้าคนพวกนี้ไปเป็นครู

และคนพวกนี้จะเป็นครูที่ดีได้อย่างไร

แค่ความซื่อสัตย์ก็ยังไม่มี........ซื้อวุฒิปลอม  โกงวุฒิ   เพื่อจะไปทำงานในวงการวิชาชีพครู......

สังคมจะเสื่อมแค่ไหน  ถ้าคนเป็นครูกระำทำการทุจริต คดโกงอย่างนี้   และคนพวกนี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียนได้อย่างไรกัน

แล้วคนพวกนี้เป็นบัณฑิตได้อย่างไรกัน

คุณธรรม จริยธรรม  ไม่มี.....

......น่ากลัวมาก...............

โปรดอ่านข่าวต่อไปนี้

"คุรุสภา" ไม่เชื่อข้อมูล ม.เอกชน ต้องสงสัย สั่งซ้ำแยกจำนวนบัณฑิตจริง-เก๊ มั่นใจตรวจสอบเสร็จทัน เม.ย.นี้ ปัดโยงการเมือง เผยเป็นเรื่องของบัณฑิตอยากเป็นครู 

เมื่อวันที่ 16 เม.ย.54 นายองค์กร อมรสิรินันท์ เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงการซื้อขายใบประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิตวิชาชีพครู) ของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งว่า ขณะนี้คณะกรรมการที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ตั้งขึ้นกำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ ขณะที่ในส่วนของคุรุสภา จะมีหน้าที่รับรองบัณฑิตที่ใช้วุฒิการศึกษาจากสถาบันดังกล่าว ให้มาขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งเป็นการแยกหน้าที่กันชัดเจน โดยขณะนี้คุรุสภา กำลังตรวจสอบว่าบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเอกชน ที่มีพฤติกรรมผิดสังเกตดังกล่าวได้เรียนจริงหรือไม่ จึงให้ทางมหาวิทยาลัยยืนยันกลับมายังคุรุสภาอีกครั้งว่าได้จัดการศึกษาในที่ตั้งหรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้าที่มหาวิทยาลัยได้ตอบมาแล้วว่ามีการจัดการเรียนการสอนในที่ตั้ง แต่คุรุสภาไม่เชื่อ เพราะจับได้ว่าไม่ได้จัดในที่ตั้งทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องให้แยกแยะออกมาให้ได้ว่าในบัณฑิตมีใช้วุฒิ ป.บัณฑิตฯ จากมหาวิทยาลัยดังกล่าว จำนวนกว่า 1 พันคน ที่มายื่นขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพนั้น มีใครที่เรียนในที่ตั้ง หรือนอกที่ตั้งบ้าง ซึ่งกระบวนการตรวจสอบทั้งหมดนี้จะเสร็จได้ภายในเดือน เม.ย.นี้

เมื่อถามว่า มีหลายฝ่ายมองว่ากรณีการตรวจสอบนี้เป็นเรื่องการเมือง นายองค์กร กล่าวว่า ไม่ได้มองไปถึงขั้นว่าเป็นเรื่องการเมือง เพราะยังไม่มีการเปิดเผยอะไรออกมาชัดเจน ส่วนบัณฑิตที่ใช้วุฒิ ป.บัณฑิตฯ มายื่นขอใบอนุญาตเท่าที่ดูก็เป็นผู้ที่ต้องการได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูเพื่อไปใช้ในการสมัครการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี 2554 จึงยังไม่ได้ตรวจสอบลึกไปถึงว่า มีนักการเมืองมายื่นขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพโดยใช้วุฒิปลอมด้วยหรือไม่ 

"ก่อนหน้านี้ที่คุรุสภา ให้การรับรองบัณฑิตที่มายื่นขอใบอนุญาตแล้วมาตรวจสอบพบภายหลังว่าเป็นการใช้ใบ ป.บัณฑิตฯ ที่ได้มาโดยไม่ถูกต้องนั้น คุรุสภาได้แจ้งแก่บัณฑิตทุกคนแล้วว่าที่ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้นั้นเป็นการให้อย่างมีเงื่อนไข เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิ์ผู้ที่ได้มาอย่างถูกต้องเนื่องจากต้องนำใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสอบแข่งขันให้ทันภายในวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้คุรุสภา ได้ย้ำแล้วว่าหากตรวจสอบพบภายหลังว่าเป็นการได้มาโดยไม่ถูกต้องก็จะต้องถูกเพิกถอน เพราะฉะนั้นกติกานี้ถือว่าเป็นที่รับทราบโดยทั่วกัน" นายองค์กร กล่าว 

 

 

ที่มา สยามรัฐ http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/50688

guest profile guest

ครูเตรียมเฮ! ที่ประชุม ก.ค.ศ.เตรียมเพิ่มสวัสดิการ เล็งให้บำนาญ 7 ขั้น กรณีตายในหน้าที่ พร้อมเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา(อ.เทพา สะบ้าย้อย นาทวี จะนะ) มีวิทยฐานะชำนาญการ และเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจสำหรับครู 

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมได้อนุมัติหลักการร่างหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการ แก่ครอบครัวของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา77 เนื่องจากว่าสมาพันธ์ครูแห่งประเทศไทยได้ร้องขอ ศธ.ให้จัดสวัสดิการให้ครู ในกรณีพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักเกณฑ์ อาทิ การให้บำเหน็จบำนาญ 7 ขั้น และกรณีจะต้องดูแลสวัสดิการของครอบครัว เป็นต้น ซึ่งอนุมัติหลักการนี้มีผลใช้กับครูทั่วไป แต่ตนก็สั่งได้ให้มีการปรับปรุงตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ และให้สำนักงาน ก.ค.ศ.เสนอเรื่องเพื่อนำเข้าที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ในวันที่ 3 เม.ย.นี้ 

ทั้งนี้ ยังได้เห็นชอบร่างหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา(อ.เทพา สะบ้าย้อย นาทวี จะนะ) มีวิทยฐานะชำนาญการ และเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจสำหรับครู พร้อมทั้งได้เปลี่ยนกำหนดการประเมินด้านที่ 3 ซึ่งเป็นผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ได้แก่ ข้อจำกัดตามสภาพความยากลำบากในการปฏิบัติงาน อาทิ ครูให้พิจารณาจากการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาวิชาการ ผลที่เกิดกับผู้เรียน และผลการปฏิบัติงานหน้าที่ เป็นต้น และส่วนข้าราชการชำนาญการพิเศษให้ประเมินจากผลงานที่ประสบความสำเร็จที่เป็นเชิงประจักษ์ โดยให้พิจารณาจากผลงานไม่น้อยกว่า 1 รายการ อย่างไรก็ตามคุณสมบัติการประเมิน การพัฒนาปรับปรุงและเกณฑ์ การยื่นคำขอส่วนใหญ่ยังใช้หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของภาคใต้และ ว.17/2552 เดิม 

 

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 เมษายน 2554

guest profile guest
• จุดด่างดำทำลาย "ครู" "วุฒิ..ซื้อ-ขาย" "บาป"ธุรกิจการศึกษา
+โพสต์เมื่อวันที่ : 30 เม.ย. 2554

Share| แบ่งปันเรื่องนี้ให้เพื่อนที่

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

.....

"เรื่องนี้ถือเป็นจุดด่างดำของการศึกษา ซึ่งต้องจัดการให้ดี เพราะปัจจุบันกำลังมีการปฏิรูปครูกันอยู่" ...เป็นการระบุของ รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

ต่อกรณีข่าวอื้อฉาว ’ซื้อ-ขายวุฒิ ป.บัณฑิต“ ซื้อ-ขายประกาศนียบัตรบัณฑิต ’วิชาชีพครู“ 

ทั้งนี้ หลังจากอึมครึมอยู่ระยะหนึ่งว่าเรื่องอื้อฉาวครึกโครมนี้เกิดที่ใด-อย่างไร?? ล่าสุดทางฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาแล้ว ดังที่ทราบ ๆ กัน ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้มีนัยมิใช่เพียงผู้ที่กระทำไม่ถูกต้อง ผู้ที่ขาย-ผู้ที่ซื้อ แต่ยัง ’เกี่ยวโยงถึงเด็ก ๆ - อนาคตชาติ“ 

ในภาพรวมนั้น รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ สะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ทุกวันนี้มีสิ่งที่สะท้อนว่า ปัจจุบันนี้การศึกษาเป็นเรื่องของธุรกิจการศึกษาเต็มตัว และบางกรณีมีการใช้อำนาจ-ใช้นักการเมืองเป็นโลโก้ปรามระบบราชการ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็พยายามปกป้องสถาบัน ปกป้องตัวเอง 

ทั้ง ๆ ที่เป็นข้อเท็จจริง ทั้ง ๆ ที่มีการทำไม่ถูกต้อง 

สำหรับการซื้อขายใบประกาศนียบัตรบัณฑิต (ป.บัณฑิต) วิชาชีพครูนั้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเป็น ’ครู“ ซึ่งการจะเป็นครูได้นั้น ไม่ใช่เพียงเอาใครก็ได้มาสอนหนังสือ โดยไม่มีจิตวิญญาณครู ไม่มีจิตวิทยาเด็ก เพราะผลกระทบจะมีกับเด็กแน่นอน ในอนาคต โดยการจะสั่งสอนในเด็กคนหนึ่งเป็นคนดี เป็นคนมีคุณธรรม มีจริยธรรม จะเป็นไปไม่ได้เลย หากคนที่มาสอนไม่มีคุณธรรม ไม่มีจริยธรรม 

’เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องน่าอาย น่าขายหน้ามาก ๆ ทำลายวงการการศึกษา ทำลายวิชาชีพครู ต้องรีบจัดการให้ดี ไม่ใช่ช่วยเหลือหรือปกปิดให้เรื่องเงียบหายไป“ ...รศ.ดร.สมพงษ์ ระบุ 

ทางด้าน ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่า... เรื่องลักษณะนี้เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และสภามหาวิทยาลัยโดยตรง ซึ่งจะต้องไม่ให้การศึกษากลายเป็นธุรกิจมากเกินไป เพราะจะทำให้การศึกษาไม่มีคุณภาพ 

’หากเราได้ครูที่ได้วุฒิจากการซื้อ-ขายวุฒิการศึกษาปลอม ในอนาคตเด็กของเราก็เดือดร้อน ซึ่งไม่ควรให้เกิดเรื่องแบบนี้“ ...เลขาธิการสภาการศึกษา ระบุถึงกรณีอื้อฉาว ซื้อ-ขายวุฒิ ป.บัณฑิต วิชาชีพครู 

ขณะที่ตัวแทนภาคีเครือข่ายเพื่อความเป็นธรรมทางการศึกษา คมเทพ ประภายนต์ ก็สะท้อนเรื่องนี้ผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ที่ผ่าน ๆ มาลำพังการเรียน-การสอนโดยครูที่ได้วุฒิอย่างถูกต้อง เด็กนักเรียนก็ยังต้องเรียนพิเศษกันมากมายอย่างที่เห็นกันอยู่ ซึ่งหากว่า มีการซื้อ-ขายใบประกาศนียบัตรบัณฑิต หรือ ป.บัณฑิต วิชาชีพครู สภาพเด็กในอนาคตจะเป็นอย่างไร?? คงจะไม่ต้องพูดถึง... 

ตัวแทนภาคีเครือข่ายเพื่อความเป็นธรรมทางการศึกษา ยังระบุอีกว่า... เรื่องของ “ครู” นั้น ส่วนตัวมองว่าปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการกำลังขาดบุคลากรด้านนี้ จึงพยายามสร้างสายอาชีพครูขึ้นมาอย่างจริงจัง 

ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเงินเดือน การให้สวัสดิการต่าง ๆ 

และคนที่เข้าเรียนในสายวิชาชีพนี้ก็รู้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วจะมีงานทำแน่นอน มีความมั่นคงในระดับหนึ่ง ดังนั้น สำหรับบางคนแล้ว ลึก ๆ แล้วอาจไม่ทราบว่าการเข้ามาเรียนในสายวิชาชีพครูนั้น เรียนเพื่อเหตุอันใด? 

’อาชีพครูนี้ ก็คล้าย ๆ กับหมอ ทนายความ ซึ่งผู้ที่จะเป็นครูจะต้องมีจริยธรรม ต้องมีคุณธรรม และต้องมีจิตวิญญาณประกอบด้วย หากคนมาเป็นครูไม่มีสิ่งเหล่านี้ประกอบด้วย ก็คงเกิดความวิบัติกับวงการศึกษาไทยแน่นอน รวมทั้งกับเด็กของเราในอนาคตด้วย“ ...คมเทพ ระบุทิ้งท้าย 

ทั้งนี้ ก็แน่นอนว่าจากกรณีอื้อฉาวครึกโครม การซื้อ-ขาย ป.บัณฑิต หรือประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู ส่งผลให้แวดวงการศึกษา และโดยเฉพาะแวดวงวิชาชีพครู สั่นสะเทือนไม่น้อยเลย เสมือนปลาเน่าไม่กี่ตัวทำให้ปลาดีตัวอื่น ๆ พลอยเหม็นไปด้วย แต่อย่างไรก็ตาม สังคมก็ต้องไม่เหมารวม สังคมต้องแยกแยะต้องไม่ให้เรื่องนี้ทำให้ครูดี ๆ ท้อแท้ 

ครูที่สามารถเป็นที่พึ่งของศิษย์ ทั้งด้านวิชาการ และด้านการพัฒนาชีวิต ครูที่มีวัตรปฏิบัติที่ดีงาม สะท้อนถึง “จิตวิญญาณครู” ที่แท้จริง ครูที่มีจิตวิญญาณการเป็นครู สามารถถ่ายทอดความรู้ให้ศิษย์ 

ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียรพยายามพัฒนาการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับศักยภาพและข้อจำกัดของเด็ก เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีของชาติ ซึ่งสังคมควรต้องเชิดชูยกย่อง และร่วมกันส่งเสริมให้มีครูดีกลุ่มนี้มาก ๆส่วนที่หวังผลประโยชน์โดยขายให้ใครก็ได้เป็นครูและที่ใช้เงินซื้อเพื่อให้ได้เป็นครูโดยหวังประโยชน์ สังคมจะ’ประณาม-สาปแช่ง“ ก็จัดหนักได้เลย!!!. 

 

 

ที่มา เดลินิวส์ วันเสาร์ ที่ 30 เมษายน 2554

guest profile guest
• สพฐ.ลุยบรรจุครูเกษียณ1.3หมื่นเปิดทาง"อัตราจ้าง-น.ร.ทุน-บัญชีเดิม"เร่งสำรวจเออร์ลี่ฯปี2555ใน31พ.ค.
+โพสต์เมื่อวันที่ : 29 เม.ย. 2554

Share| แบ่งปันเรื่องนี้ให้เพื่อนที่

.....

สพฐ.ลุยบรรจุครูเกษียณ1.3หมื่นเปิดทาง'อัตราจ้าง-น.ร.ทุน-บัญชีเดิม'เร่งสำรวจเออร์ลี่ฯปี2555ใน31พ.ค. 


เมื่อวันที่ 28 เมษายน นายกมล ศิริบรรณ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.)สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สพฐ.ได้แจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศให้ดำเนินการโครงการมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังส่วนราชการ หรือโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด (เออร์ลี่รีไทร์) ประจำปีงบประมาณ 2555 วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) กำหนดแผนมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังส่วนราชการออกมา ในส่วนของ สพฐ.ได้รับการจัดสรรอัตราเออร์ลี่รีไทร์ในปีนี้ประมาณ13,000 อัตรา ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมาโดยจะให้เขตพื้นที่ฯ ส่งข้อมูลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ต้องการเข้าร่วมโครงการมาภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 

"หลักเกณฑ์ที่คปร.กำหนดออกมานั้น ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ได้ปรับเกณฑ์อายุของผู้ที่จะเข้าโครงการ ต้องเหลืออายุราชอย่างน้อย2 ปี และมีอายุราชการ 25 ปีขึ้นไปซึ่งเดิมผู้ที่มีอายุราชการเหลือเพียง 1 ปีก็เข้าร่วมโครงการได้ส่วนข้าราชการครูฯ สาขาที่ขาดแคลน เช่นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อาจไม่ได้รับการอนุมัติ และต้องดูเหตุผลความจำเป็นของแต่ละรายด้วย" นายกมลกล่าว 

นายกมลกล่าวว่า สำหรับผลการลงพื้นที่ติดตามการสอบภาค ก และภาค ข ในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปีการศึกษา 2554 ระหว่างวันที่ 25-26 เมษายน ที่ผ่านมานั้น การจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่พบปัญหาการทุจริต หรือความไม่โปร่งใส การสอบบรรจุคราวนี้ แม้จะมีอัตราที่เขตพื้นที่ฯต่างๆ เปิดรับประมาณ1,300 กว่าอัตราเท่านั้น แต่ขณะนี้ สพฐ.ได้รับการจัดสรรอัตราจากโครงการเออร์ลี่ฯปี2553 ประมาณ 10,000 กว่าตำแหน่ง และอัตราจากการเกษียณอายุราชการปี 2552 ประมาณ 3,000 ตำแหน่ง รวมกว่า 13,000 อัตรา โดยได้จัดสรรอัตราทั้งหมดไปให้เขตพื้นที่ฯแล้ว 

"การจัดสรรอัตราจะแบ่งเป็น 3 ส่วนได้แก่ 1.ใช้อัตรา 25% คัดเลือกพนักงานราชการ ครูอัตราจ้าง ลูกจ้างบรรจุเป็นข้าราชการครูฯ 2.บรรจุนักเรียนทุน เช่น โครงการครูพันธุ์ใหม่ โครงการเพชรในตม ครูสอนภาษาจีน เป็นต้น และ 3.การบรรจุทั่วไปโดยเขตพื้นที่ฯ อาจใช้บัญชีผู้ที่สอบขึ้นบัญชีไว้ในปี 2552, 2553 และการสอบบรรจุในคราวนี้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละเขตพื้นที่ฯ ทั้งนี้ คาดว่าจะทำให้มีอัตราที่จะบรรจุครูที่มาจากการสอบได้อีกหลายพันคน"นายกมลกล่าว 



ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน 

guest profile guest
• โพลชี้เด็กชอบครูเก่ง-เซ็งครูใจร้อน
+โพสต์เมื่อวันที่ : 29 เม.ย. 2554

Share| แบ่งปันเรื่องนี้ให้เพื่อนที่

.....

เอแบคโพลล์เผย เด็กโหวตชอบครูที่เก่ง-มีความสามารถมากที่สุด เผยเด็กบางส่วนระบุไม่ชอบครู ดุ อารมณ์ฉุนเฉียว โมโหง่าย ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ และครูที่ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็ก เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน โดยเด็กให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็นนี้มากกว่าการที่ครูสอนไม่เก่ง 

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบคโพลล์) เปิดเผยถึงผลการสำรวจ "ครูแบบไหน ได้ใจเด็ก" โดยสุ่มตัวอย่างจากเด็กและเยาวชนที่มีอายุ 7-20 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ประกอบด้วย เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และสงขลา รวมทั้งสิ้น 3,284 ตัวอย่าง พบว่า ค่าเฉลี่ยคุณลักษณะในด้านต่างๆ ของครูที่สอนในปัจจุบัน 

โดยเด็กกลุ่มตัวอย่างลงคะแนนให้ครูครูเก่ง มีความรู้ ความสามารถค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8.38 ในขณะที่ครูมีการพัฒนา ศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอๆ ได้คะแนน 8.20 ตามด้วยครูมีความประพฤติดี เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็ก 8.16 และครูดูแลเอาใจใส่เด็กได้คะแนน 8.06 

อย่างไรก็ตาม คะแนนจากเด็กๆ โหวตให้ครูสอนเข้าใจ สามารถอธิบาย ถ่ายทอดความรู้ได้ดีที่8.03 และให้ครูมีส่วนร่วมพัฒนาสถานศึกษา ชุมชน และสังคม 7.87 ส่วน ครูพูดจาดี ไพเราะ ได้คะแนน 7.84 ตามด้วยครูอารมณ์ดี ไม่โมโหง่าย ได้ 7.43 คะแนน และปิดท้ายที่ ความพึงพอใจต่อครูโดยภาพรวมได้คะแนนเฉลี่ย 8.34 


โดยภาพรวมคุณลักษณะของคุณครูที่พึงประสงค์ในประสบการณ์ของเด็กนักเรียนอยู่ในค่าเฉลี่ยที่สูงระหว่าง 7 - 8 กว่าๆ ในทุกตัวชี้วัดเมื่อค่าคะแนนเต็ม 10 คะแนน ได้แก่ ความรู้ความสามารถ การพัฒนาหาความรู้เพิ่มเติม การประพฤติเป็นตัวอย่างที่ดี ดูแลเอาใจใส่เด็ก ความสามารถในการถ่ายทอด พูดจาดี และการควบคุมอารมณ์ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อจำแนกเด็กนักเรียนที่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนร่ำรวย และเด็กที่รู้สึกว่าตนเองมีฐานะปานกลางจนถึงยากจน พบประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ เด็กที่รู้สึกว่าตนเองมีฐานะปานกลางจนถึงยากจน เป็นกลุ่มที่รู้สึกว่าได้พบคุณลักษณะของคุณครูที่พึงประสงค์ “ด้อยกว่า” ในทุกตัวชี้วัด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนร่ำรวย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่อง “อารมณ์ดี ไม่โมโหง่าย” ในกลุ่มเด็กที่คิดว่าตนเองร่ำรวยมีค่าเฉลี่ยได้พบครูที่พูดจาดีไม่โมโหง่ายมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 7.98 คะแนน แต่ในกลุ่มเด็กฐานะปานกลางและยากจน พบค่าเฉลี่ยที่ต่ำกว่าคือ 7.37 เท่านั้น 

เช่นเดียวกับ คุณครูที่พูดจาดี ไพเราะ ผลสำรวจพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มเด็กที่คิดว่าร่ำรวย กับกลุ่มเด็กที่คิดว่ามีฐานะยากจนกว่า โดยพบว่า เด็กที่คิดว่าร่ำรวยพบคุณครูที่พูดจาดี ไพเราะมีค่าเฉลี่ยสูงถึง 8.22 แต่ในกลุ่มเด็กที่ยากจนกว่ามีค่าเฉลี่ยของการพบครูที่พูดจาดี ไพเราะอยู่ที่ 7.80 คะแนน เท่านั้น 

กลุ่มนักเรียนที่เคยพบเจอครูสอนดีมากที่สุดและรองๆ ลงไป 5 อันดับแรก ได้แก่ ร้อยละ 25.8 ระบุเป็นคุณครูสอนคณิตศาสตร์ อันดับสองได้แก่ ร้อยละ 19.5 ระบุคุณครูสอนภาษาไทย อันดับที่สามได้แก่ ร้อยละ 12.4 ระบุคุณครูสอนวิทยาศาสตร์ อันดับที่สี่ได้แก่ ร้อยละ 9.9 ระบุคุณครูสอนภาษาอังกฤษ และร้อยละ 8.2 ระบุคุณครูสอนสังคมศาสตร์ ตามลำดับ 

เด็กบางส่วนก็มีประสบการณ์ในการพบกับครูที่สอนไม่ดี โดยเฉพาะครูที่มีลักษณะดุ อารมณ์ฉุนเฉียว โมโหง่าย ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ และครูที่ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็ก เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน โดยเด็กให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็นนี้มากกว่าการที่ครูสอนไม่เก่ง อธิบายไม่รู้เรื่อง หรือเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีความรู้ 

 

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 เมษายน 2554

guest profile guest
 ประกาศแอดมิชชั่นส์54แล้ว! เผย10ชื่อนร.คะแนนสูงสุด
+โพสต์เมื่อวันที่ : 5 พ.ค. 2554

Share| แบ่งปันเรื่องนี้ให้เพื่อนที่

.....

ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)  เมื่อวันที่ 4 พ.ค.   ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุรนารี ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)และนายกสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) แถลงข่าวการประกาศผลการรับสมัครบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ประจำปีการศึกษา 2554 ว่า ในปีนี้มีผู้สมัครทั้งสิ้น 123,260 คนสมัครเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่สอท.ดำเนินการคัดเลือกให้รวม 94 สถาบัน เพื่อเข้าศึกษาใน 912 คณะ/สาขาวิชฃา โดยมีรหัสคณะ/สาขาวิชาให้เลือกทั้งสิ้น 3,747 รหัส และมีผู้ผ่านการคัดเลือกมีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกายจำนวน 78,096 คน ซึ่งจะประกาศผลในวันนี้4พ.ค. เวลา 18.00 น. ทางเว็บไซต์ของสอท. www.cuas.or.th

 

พร้อมกันนี้  ยังสามารถตรวจสอบเว็บเซต์ของหน่วยงานที่เข้าร่วมประกาศผลทั้ง 20 แห่ง ดังนี้

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ http://entrancr.bu.ac.th 
มหาวิทยาลัยศรีปทุม www.spu.ac.th 
มหาวิทยาลัยหอการค้า www.utcc.ac.th 
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ http/: admissions.au.edu 
มหาวิทยาลัยนานาชาติสแตมฟอร์ด www.stamford.edu 
บริษัท ควอลิตี้ ดิจิตอล ไลน์ส จำกัด สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทางโทรศัพท์ หมายเลข 1900-888-555 ตลอด 24 ชั่วโมง 
บริษัทมีดีอัพเกรด จำกัด www.meedee.net 
บริษัท วัฏฏะ www.elearneasy.com และหนังสือเฉพาะกิจ”ทำเนียบน้องใหม่ แอดมิสชั่นส์ 2554” 
บริษัท ไล้น์ ไดนามิค อินเตอร์แอคทีฟ www.mxphone.com 
สมาคมนักเรียนเก่าบดินทรเดชา www.bpdinzone.com,www.ent54.com 
บริษัท ทาเลนท์ อินเตอร์ จำกัด www.scholarshipintcr.com www.unigang.com www.shootitonline.com 
บริษัทสนุก ออนไลน์ จำกัด http:/campus.sanook.com/exam/admission SMS โดยลงทะเบียนหน้าเว็ปไซต์ http:/campus.sanook.com /admission 
บมจ.ดทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ผ่านทางช่องทางดังนี้ ภาษาไทย กด *751* เลขที่สมัคร 7 หลัก#แล้วโทรออก ภาษาอังกฤษ กด*751*เลขที่สมัคร 7 หลัก *9# แล้วโทรออก
 บริษัท สามารถ มัลติมีเดีย จำกัด www.bug1113.com โทรหมายเลข 1113 โทรหมายเลย 1113 ให้ส่งผ่านทาง SMS 
บริษัท eduzone   www.eduzone.com 
เด็กทาเลนท์.คอม http://www.dektalent.com 
บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง จำกัด www.247friend.net 
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด www.ais.co.th/12call 
เครือข่ายเยาวชนพัฒนาศักยภาพ www.youthfornextstep
 และห้างหุ้นส่วนสามัญโฮลติ้งโซลูชั่น http://www.ThaiStugent.tnfo

นายกสอท. กล่าวต่อว่า สถาบันที่ร่วมการคัดเลือกปีนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนรับและจำนวนผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ ประจำปี 2553 พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น 15 % คือ จำนวนรับนักศึกษาในปี 2554 สถาบันอุดมศึกษาของรัฐสังกัด/กำกับสกอ. รวม 82,292 คน จำนวนผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 74,523 แบ่งเป็นมหาวิทยาลัย/สถาบัน 24 แห่ง จำนวนรับ 59,075 คน ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 61,921 คน ม.ราชภัฎและม.ราชมงคล จำนวนรับ 23,217 คน ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 12,602 คน สถาบันอุดมศึกษาของรัฐสังกัดหน่วยงานอื่น จำนวนรับ 3,550 คน ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 477 คน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวนรับ 36,920 คน

ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 3,096 คน ส่วนในปี 2553 มีจำนวนรับทั้งสิ้น 121,266 คน ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ รวมทั้งสิ้น 70,003 คน ได้แก่ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐสังกัด/กำกับสกอ.รวม จำนวนรับ80,551 คน ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 67,133คน แบ่งเป็น มหาวิทยาลัยสถาบัน 24 แห่ง จำนวนรับ51538 คน ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 55,962คน ม.ราชภัฎ/ม.ราชมงคล จำนวนรับ 29013 คน ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 11,171 คน สถาบันอุดมศึกษาของรัฐสังกัดหน่วยงานอื่น จำนวนรับ 3,965 คน ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 324 คน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวนรับ 36,750 คน ผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ 2,546 คน

ศ.ดร.ประสาท กล่าวต่อว่า สำหรับคณะ/สาขาวิชาที่มีผู้สมัครมากที่สุด 10 อันดับแรก ในปีการศึกษา 2554 ได้แก่

1 คณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชาการเมืองการปกครอง พื้นฐานวิทยาศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ จำนวนรับ 50 คน จำนวนผู้สมัคร 3,032 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:61 คน
2.คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ,อุตสาหกรรม,เคมี,เครื่องกล,คอมพิวเตอร์ ม.ธรรมศาสตร์ รับ 280 คน ผู้สมัคร 2,449 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:9 
3.คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รับ 450 คน ผู้สมัคร 1,975 คน คิดเป็นสัดส่วน1:4 , 
4.คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ รับ 245 คน ผู้สมัคร 1,884 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:8 
5.คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาฯ รับ 60 คน ผู้สมัคร 1,781 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:30 
6.คณะวารสารศาสตร์สื่อสารมวลชน พื้นฐานศิลปศาสตร์ รูปแบบที่ 1 ม.ธรรมศาสตร์ รับ 200 คน ผู้สมัคร 1,767 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:9 
7.คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สาขานิเทศศาสตร์ ม.ศิลปากร รับ350 คนผู้สมัคร 1,689 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:5 
8.คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลกาชาดไทย รับ 60 คน ผู้สมัคร 1,617 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:27, 
9. คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาชีวเคมี ม.เกษตรศาสตร์ รับ35 คนผู้สมัคร 1,578 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:45 
และ 10. สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีสุรนารี รับ780 คน ผู้สมัคร 1,514 คน คิดเป็นสัดส่วน 1:2

 สำหรับนักเรียนที่พิการทางสายตาที่ผ่านการคัดเลือกในระบบแอดมิชชั่นส์ ประจำปีการศึกษา 2554 ได้แก่ น.ส.ณิชกานต์ กวีวรญาณ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ  จบจากโรงเรียน เซนต์ฟรังซิสซาเวียร์คอนแวนต์ และนายดำเกิง มุ่งธัญญา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ จบจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล

 ขณะที่นักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกที่ได้คะแนนสูงสุดของคณะ /สาขาวิชา จำนวน 10 ราย ได้แก่

1.นายรัตน์ ปทุมวัฒน์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนที่ได้ ร้อยละ 93.21 จบจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา,

2.น.ส.บุลพร แซ่ลิ่ม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนที่ได้ 89.53  จากโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย

3.น.ส.ชนิษฐา ปุณณวัฒน์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ คะแนนที่ได้ 87.46  จากร.ร.นวมินทราชูทิศ กรุงเทพฯ

4.นายนพพล สิระนาท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนที่ได้ 87.04 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 
5.น.ส.กานตา ทิพย์ธาร คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนที่ได้ 86.98 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

6.น.ส.ตะวันรัตน์ รุ่งปัญญารัตน์ คณะจิตวิทยา จุฬาฯ คะแนนที่ได้84.69 โรงเรียนสตรีวัดระฆัง

7.น.ส.ปริณดา วงศ์เบจญรัตน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนที่ได้ 84.46 โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

8.น.ส.เบญญดา ถาวรเศรษฐ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ คะแนนทีได้ 83.87 โรงเรียนสตรีวิทยา 2

9.นายปรัชญ์วรกิตติ์ แก้วศิริรัตน์ คณะทันตแพทยศษสตร์ จุฬาฯ 83.89 คะแนน โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย

10.น.ส.ลออรัตน์ จงฐิตินนท์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 82.21 คะแนน หาดใหญ่วิทยาลัย 

“นักเรียนที่ทราบผลการคัดเลือกฯแล้ว ขอให้ตรวจสอบ สถานที่ เวลาในการสอบสัมภาษณ์ทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th ของสอท. ที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ระหว่างวันที่ 11-13 พ.ค. 2554 ส่วนนักเรียนที่พลาดหวังจากแอดมิชชั่นส์ในครั้งนี้ อย่าคิดว่าแอดมิชชั่นส์เป็นหนทางสุดท้ายในชีวิตและพ่อแม่อย่าซ้ำเดิมลูก เพราะยังมีสถาบันอุดมศึกษาทั้งรัฐ เอกชน อีกจำนวนมากที่เปิดรับนักศึกษาอยู่ เช่น โครงการรับตรงภาคพิเศษของม.เกษตรสาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(โครงการพิเศษ) ม.ธรรมศาสตร์ เป็นต้น โดยนักเรียนสามารถศึกษารายละเอียดต่างๆ ได้จากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย” นายกสอท. กล่าว 

 

ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 04 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

guest profile guest
 เจาะใจที่1ประเทศ"รัตน์ ปทุมวัฒน์"คะแนนสูงสุดแอดมิชชั่น อยากเป็นนักการทูต ทำประโยชน์ให้ชาติ
+โพสต์เมื่อวันที่ : 5 พ.ค. 2554

Share| แบ่งปันเรื่องนี้ให้เพื่อนที่

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

.....

นักเรียนเก่งที่ทำคะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัย สูงสุดปีนี้ คือ นายรัตน์ ปทุมวัฒน์ หรือ แก้ว นักเรียนสายการเรียนภาษาฝรั่งเศษ กิฟต์-อังกฤษ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 


เขาทำคะแนน ได้ 93.21 เรียกว่า สูงสุดของประเทศไทย 

ได้ SAT part Critical Readind คะแนน 800 เต็ม 

คะแนนทดสอบวัดความถนัดทั่วไป GAT 300 คะแนนเต็ม 

คะแนน PAT 7.1 ภาษาฝรั่งเศษ อันดับหนึ่งของประเทศ 

เพื่อนที่ เตรียมอุดม เรียกเขาว่า เก่งขั้นเทพ 

ชั่วโมงนี้ เขา ทิ้งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เพราะสอบได้ทุนเล่าเรียนหลวง ไปเรียนที่ University of California, Berkeley สหรัฐอเมริกา เรียบร้อยแล้ว 

มติชนออนไลน์ นำบทสัมภาษณ์ของ"รัตน์ ปทุมวัฒน์" ในหนังสือ ปิ่นหทัย มานำเสนอท่านผู้อ่าน เพื่อจะได้รู้ว่า คนเก่งที่สุดในประเทศ มีมุมมองต่อโลกและชีวิตอย่างไร 


หากพูดถึงประสบการณ์ในโรงเรียนเตรียม ประทับใจกิจกรรมไหนมากที่สุด 


ประสบการณ์ในรั้วโรงเรียนเตรียมฯ ที่ผ่านมาทั้งหมด คงพูดไม่หมดแน่ๆ เพราะในโรงเรียนให้อะไรกับเรามากตั้งแต่แรกเข้า โรงเรียนเตรียมฯ เป็นสถานที่แห่งโอกาสจริงๆ ได้ทำอะไรหลายอย่างทั้ง Drama, Debate, Dance for health, กีฬาสี ได้ทำงานอยู่จนดึกกับเพื่อนๆ มีส่วนช่วยในการให้กำเนิดสายการเรียนภาษาสเปน เป็นกิจกรรมทั้งหมดที่ทำให้เราได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง มีความกล้าแสดงออก ได้รับประสบการณ์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ได้มิตรภาพ และการทำงานเป็นทีม 

นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากเตรียมฯ คือการมีความมุ่งมั่นที่จะตอบแทนสังคม ดังคติธรรมของโรงเรียนที่ว่า "นิมิตตํ สาธุรูปานํ กตัญญู กตเวทิตา" ความกตัญญูกตเวทิตาเป็นเครื่องหมายของคนดี ซึ่งเราไม่ควรลืม ดังนั้นอยู่ในเตรียมฯ ควรใช้เวลาให้เต็มที่ พอจบไปแบบแล้วจะได้ไม่เสียดายอะไร 


สอบผ่านข้อเขียนทุนเล่าเรียนหลวง รู้สึกอย่างไรบ้าง 

เป็นสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่เราเคยทำมาในชีวิต แต่ว่าสะท้อนให้เห็นชัดว่า สิ่งใดที่เราตั้งใจทำลงไป ย่อมจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ตลอดเวลาทุ่มเทมากเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา นอกจากนี้อาจจะเหนื่อยมากเวลาทำสิ่งที่หนัก แต่เพราะแรงปรารถนาที่มีได้ช่วยให้มีกำลังใจ เป็นแรงผลักดันฝ่าฟันอุปสรรค ให้ไปถึงปลายทางในอนาคตที่ฝันไว้ 


วางแผนอนาคตของตนเองไว้อย่างไรบ้าง 


ในระยะสั้นนี้ก็เตรียมตัวสัมภาษณ์ทุนเล่าเรียนหลวง แล้วรอผลการตอบรับจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่ยื่นไป จากนั้นก็อยากจะเที่ยวผ่อนคลาย เก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆ กับเพื่อนๆ ซักพัก ส่วนระยะยาวถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ตั้งใจ ก็อยากจะไปเรียนต่อปริญญาตรีที่อเมริกา (ใน California) และปริญญาโทที่ประเทศฝรั่งเศส สถาบันด้านรัฐศาสตร์ที่ปารีส ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ใฝ่ฝันมานานแล้วครับ) ในอนาคตอยากเป็นนักการทูต หรือไม่ก็ทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ อยากกลับมาทำงานในประเทศไทย เพราะเป็นสิ่งที่เรารัก และคิดว่าจะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมากที่สุด 

รู้สึกเครียดหรือกดดันไหม ที่หลาย ๆ คนมองว่าเรียนเก่ง สอบได้คะแนนเต็มตลอด 

ไม่เลย...รู้สึกว่าเป็นกำลังใจมากกว่า เช่น ตอนช่วงที่สอบทุนที่ผ่านมารู้สึกว่ามีกำลังใจสนับสนุนที่ดีที่สุด ทั้งที่บ้าน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆและอาจารย์ ทุกอย่างไม่ใช่ความกดดันเลยเพราะไม่มีใครสามารถกดดันเราได้ได้ดีเท่ากับตัวเอง คิดเพียงว่าต้องทำมันให้สำเร็จก็รู้สึกดีใจกับทุกๆคำชมที่ได้ยินวันละหลายๆ ครั้งขอบคุณทุกกำลังใจจากทุกคนจริงๆ ครับ 


คิดอย่างไรกับคำพูดที่ว่า "คนเรียนเก่งมักเห็นแก่ตัว" 

เราไม่สามารถชี้ไปที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แล้วบอกว่าเขามีลักษณะอย่างนั้นได้ คนเรามีความเป็นปัจเจกที่แตกต่างกัน คนเก่งที่เขาเห็นแก่ตัวอาจเป็นเพราะรอบข้างเขามีแต่คนชม จนอาจจะคิดถึงแต่ตนเองเป็นหลัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นแก่ตัว เขาอาจจะอยากพัฒนาตนเอง และนำความเก่งไปช่วยเหลือผู้อื่นก็ได้ เราไม่ควรด่วนสรุป ส่วนคนที่เรียนเก่งแล้วเห็นแก่ตัวก็มีเช่นกัน ดังนั้นเราไม่สามารถบอกได้หรอกว่า คนกลุ่มหนึ่งเป็นเช่นนี้ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นเช่นนั้น เรื่อง stereotype พวกนี้พูดได้ยาว ... 



คิดว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง 

ด้านดนตรีก็มีเปียโน ระนาดเอก แล้วก็เบส (ที่หวังว่าจะได้เล่นจริงจังในอนาคต) ส่วนความค่อนข้างจะเนียนว่าพูดได้หลายภาษา เลียนแบบสำเนียงนานาชาติ ส่วนพูดเร็วเกินคนนี่รวมด้วยหรือป่าว (หัวเราะ) 



นอกเหนือจากเรื่องการเรียนแล้วสิ่งที่ทำให้น้องๆ ชื่นชมในตัวเองมีอะไรบ้าง 

ความไม่เหมือนใครมั้ง? บางทีเรื่องที่เขาชื่นชมอาจเป็นข่าวลือก็ได้นะ เช่นครั้งหนึ่งเคยมีข่าวลือว่าได้ SAT เต็มทุก part ซึ่งมันน่ามหัศจรรย์มากๆ รู้สึกว่าคนส่วนใหญ่คงมองว่า คะแนนพวกนี้เป็นอะไรที่มันสูงแบบตัวเองไม่มีวันทำได้ อันที่จริงแล้วเรื่องคะแนนสอบใครๆ ก็ทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากถ้าเตรียมพร้อม ใครจะไปรู้ว่าปีหน้าอาจมีน้องๆ ได้ GAT, SAT เต็ม ก็ได้ 

ดังนั้นใครก็มาถึงจุดนี้ได้ถ้ามีความพยายาม ไม่รู้สิ ... เป็นเพราะชอบไปโผล่ทุกงาน เป็นคนชอบเดินคุยโน่นคุยนี่ทั่วโรงเรียนกับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ครูอาจารย์ (เป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตที่รู้จักคนเยอะ ถ้าไปเมืองนอกคงไม่เหมือนอย่างนี้ ...) แล้วรู้สึกว่าการใช้เวลากับรุ่นน้องก็น่าสนุกออก อยู่คนละรุ่นก็คุยกันปกติ ได้รู้จักคนมากขึ้นด้วย 



ถ้าให้เปรียบตัวเองเป็นสิ่งของในโรงเรียนเตรียมฯ อยากเป็นอะไร 


อยากเป็นเหมือนกับบอร์ดวันปัจฉิมบอร์ดแรกของปีนี้ เพราะว่าบอร์ดนี้จะไม่มีวันอย่างที่ได้เห็นได้ถ้าไม่มีไม่มีโพสต์อินทุกๆ แผ่นที่เขียนจากใจของทุกคน เหมือนกับตัวเราที่ได้เข้ามาที่เตรียมอุดม แล้วได้รับสิ่งดีๆ จากผู้คนมากมาย ทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และครูอาจารย์ที่หวังดีต่อเรา ทำให้เราได้รู้จักตัวเอง และเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้น แล้วบอร์ดนี้ก็ยังมีประโยชน์ ได้เตือนให้ทุกคนระลึกถึงความผูกพันในสามปี และมิตรภาพก็เหมือนกับที่หวังว่าในเตรียมฯ จะได้ทำประโยชน์ให้กับใครหลายๆ คนบ้าง สุดท้ายก็คือว่าบอร์ดนี้เข้ามาอยู่เพียงช่วงสั้นๆ แล้วก็จากไป ทุกคนเข้ามาอยู่เพียงช่วงหนึ่ง และไม่ว่าจะมีเรื่องราวอย่างไรก็ต้องมีวันจากไปทุกคน เป็นแรงบันดาลใจและให้ความหวังรุ่นต่อไป 

อยากฝากอะไรถึงรุ่นน้องบ้าง 

สามปีในเตรียมฯ มันสั้นมากจริงๆ พอมาอยู่ที่ช่วงปลายของ ม.6 แล้ว ประโยคยอดฮิตนี้จะกลายเป็นสัจธรรม ดังนั้นควรคิดไว้ว่าจะทำอย่างไรให้แต่ละวันคุ้มค่า อย่างที่สองคือ รุ่นพี่ไปแล้ว รุ่นน้องก็เข้ามา และปีหน้าก็ขอฝากโรงเรียนเตรียมฯ ไว้กับน้องๆ ทุกคน รักษาชื่อเสียงที่โรงเรียนเราสร้างมากว่า 73 ปี ให้คงอยู่เช่นนี้ตลอดไป 


ตอนนี้ทุกอย่างก็อยู่ในมือของน้องๆ และอย่าลืมว่าในฐานะที่เราเป็นนักเรียนเตรียมฯ คนภายนอกก็มักจะคาดหวังให้เราเป็นอนาคตของชาติ ให้เชื่อมั่นในความสามารถของเราไว้ แล้วเวลานึกถึงอนาคตก็อย่านึกถึงแค่ตัวเราเอง ให้นึกว่าเราจะทำอะไรตอบแทนสังคมของเราด้วย 

 

 

ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 05 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

guest profile guest
คลอดชื่อบรรจุทุนครูพันธุ์ใหม่
+โพสต์เมื่อวันที่ : 5 พ.ค. 2554

Share| แบ่งปันเรื่องนี้ให้เพื่อนที่

.....

นายไชยยศ จิรเมธากร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่มีมติชะลอโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ปริญญาตรีควบปริญญาโท หลักสูตร 6 ปี จากเดิมจะดำเนินการในปีการศึกษา 2554 เนื่องจากสถาบันฝ่ายผลิตครูยังไม่มีความพร้อม โดยในปีการศึกษา 2554 ให้สถาบันฝ่ายผลิตครูเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี หลักสูตร 5 ปี และหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู หรือ 4+1 ตามเดิมไปก่อนนั้น ตนได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปดูรายละเอียดหลักเกณฑ์ของสถาบันฝ่ายผลิต และหลักเกณฑ์ของนิสิต นักศึกษา ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อประกาศใช้ ซึ่งคาดว่าหลักเกณฑ์จะไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา 

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการบริหารโครงการฯ ได้อนุมัติรายชื่อนิสิตนักศึกษา ที่ผ่านการคัดเลือกทุนโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่นำร่อง ปีการศึกษา 2553 จำนวน 1,590 คน แบ่งเป็นทุนที่จะไปบรรจุเป็นข้าราชการครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1,560 คน และบรรจุในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา 30 คน ส่วนการบรรจุนิสิต นักศึกษา ที่ผ่านการคัดเลือกทุนโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่นำร่อง ปีการศึกษา 2552 นั้น คณะกรรมการบริหารโครงการฯ ได้อนุมัติรายชื่อนิสิต นักศึกษา จำนวน 920 คน จากที่เสนอมา 929 คน ส่วนที่เหลือ 9 คน ไม่ได้รับการอนุมัติเนื่องจากขาดคุณสมบัติ ซึ่ง นิสิต นักศึกษา ทั้ง 920 คน น่าจะรายงานตัวและเซ็นสัญญาการบรรจุเป็นข้าราชการครูได้เร็ว ๆ นี้ โดยดูรายชื่อได้ที่เว็บไซต์ สกอ. 

 

ที่มา เดลินิวส์ วันพฤหัสบดี ที่ 05 พฤษภาคม 2554

guest profile guest

ฟื้นทุนครูพันธุ์ใหม่ เรียน5ปี2หมื่นคน


ศธ.ฟื้นโครงการครูพันธุ์ใหม่ หลังชะงักแค่รุ่นแรกเพราะไม่มีเงินสานต่อ เพิ่มโอกาส ป.ตรีสาขาอื่นเป็นครูได้ด้วยหลักสูตร 4 บวก 1 ที่เหลือแจกทุนเด็กจบ ม.6 เรียนครู 5 ปีเหมือนเดิม ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นทุน เร่งเครื่องหวังทันใช้ปี 52 นี้

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยภายหลังหารือกับ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และในฐานะประธานคณะกรรมการวางแผนผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา และ ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผอ.สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ได้หารือกันถึงเรื่องการสานต่อโครงการครูพันธุ์ใหม่ หรือชื่อทางการคือ โครงการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานปริญญาตรี (หลักสูตร 5 ปี) โดยโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มใช้หลักสูตรผลิตครูแบบใหม่ (หลักสูตร 5 ปี) เป็นการให้ทุนแก่ผู้มีผลการเรียนในระดับ ม.ปลาย 2.75 ขึ้นไป จำนวน 2,500 คน เรียนครูพร้อมมีหลักประกันว่าทุกคนจะได้บรรจุเป็นครูใน รร.รัฐ โดยวางแผนแจกทุนต่อเนื่องกัน 3 รุ่น รวม 7,500 คน แต่หลังจากเปิดรับรุ่นแรกไปในปี 2547 โครงการนี้ต้องหยุดชะงักเพราะติดขัดเรื่องงบประมาณ.

นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า รัฐบาลยืนยันจะสานต่อโครงการนี้อีกครั้ง และได้มอบให้คณะกรรมการวางแผนผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาทำรายละเอียดมาเสนอ เพื่อให้ทันเริ่มโครงการครูพันธ์ใหม่อีกครั้งในปีการศึกษา 2552 นี้

"โครงการครูพันธ์ใหม่รุ่นต่อไปจะมีความแตกต่างจากเดิมหลายจุด โดยรุ่นต่อไป จะให้ทุนแก่ 2 กลุ่มคือ ให้ทุนนักเรียนม.ปลาย มาเรียนครูหลักสูตร 5 ปี และให้ทุนผู้ที่จบปริญญาตรีสาขาอื่นมาเรียนต่อวิชาครูอีก 1 ปี หรือ 4 บวก 1 นอกจากนั้น จะมีการปรับปรุงคุณสมบัติผู้มีสิทธิคัดเลือกรับทุนให้เข้มข้นขึ้นโดยเฉพาะเกณฑ์ผลการเรียนขั้นต่ำของผู้ขอทุนเพื่อให้มั่นใจว่าได้คนมีคุณภาพมาเป็นครูพันธ์ใหม่จริงๆ"นายจุรินทร์กล่าว

ด้านนายสมหวัง กล่าวว่า คณะทำงานฯได้เสนอไปว่า โครงการครูพันธ์ใหม่รุ่นต่อไปนี้ จะดำเนินการตั้งแต่ปี2553-2557 รวมทั้งหมด20,000 ทุน แต่รมว.ศธ.ต้องการให้เริ่มดำเนินการในปี 2552 ทันที นอกจากนั้น คณะทำงานฯได้เสนอว่า ผลการเรียนขั้นต่ำของผู้มีสิทธิขอทุนกำหนดไว้ที่ 2.75 แต่รมว.ศธ.ต้องการให้สูงกว่านี้เพื่อเพิ่มความมั่นใจในเรื่องของการได้ครูดี ครูเก่ง เพราะฉะนั้นคณะทำงานฯซึ่งมีรศ.ดร.วรากรณ์ จะไปหารือมาใหม่แล้วนำเสนออีกครั้งภายใน 1 เดือน

---------------------------------------

ที่มา http://www.thaipost.net/news/130509/4564

guest profile guest
• เตรียมถก "สอบโอเน็ตตก" ต้องซ้ำชั้น
+โพสต์เมื่อวันที่ : 4 พ.ค. 2554

Share| แบ่งปันเรื่องนี้ให้เพื่อนที่

.....

เล็งเพิ่มค่าโอเน็ต "สอบตก" ต้องซ้ำชั้น

สพฐ.เตรียมจัดเสวนาระหว่าง สทศ.-สกศ. หาทางเพิ่มแรงจูงใจสอบโอเน็ต ในวันที่ 10 พ.ค. "ชินภัทร" เล็งนำมาใช้ประโยชน์อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการประเมินเลื่อนช่วงชั้นจาก ป.6 ขึ้น ม.1 และการจบ ป.6 ถ้าผลคะแนนโอเน็ตออกมาสอบตก นักเรียนอาจต้องเรียนซ้ำชั้น ชี้อาจนำวิชาภาษาไทยมาเป็นตัวชี้วัดก่อน แนะ สทศ.ควรลดความซับซ้อนข้อสอบเด็ก ป.6 และควรใช้ข้อสอบฉบับยาวมากกว่าฉบับสั้น 

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังประชุมผู้บริหารคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้หารือเรื่องผลสัมฤทธิ์การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) เพื่อจะปรับเปลี่ยนให้การสอบโอเน็ตมีแรงจูงใจกับนักเรียนมากขึ้น หลังในปีการศึกษาที่ผ่านมามีคะแนนเฉลี่ยต่ำ ซึ่งเบื้องต้นได้มีการจัดเสวนาร่วมเรื่อง “การใช้โอเน็ตเป็นเครื่องมือยกคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ” โดยเป็นการเสวนาระหว่าง สพฐ. สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ในวันที่ 10 พ.ค. ทั้งนี้ จะนำจุดอ่อนและปัญหาการดำเนินการสอบโอเน็ตที่ผ่านมาสะท้อนและหารือกัน เพื่อให้ สทศ.ไปปรับเพื่อใช้ในปีการศึกษา 54 ต่อไป และให้เป็นระบบที่เชื่อถือได้และพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง 
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวอีกว่า ตนก็จะมีข้อเสนอในที่เสวนา อาทิ การนำผลสอบโอเน็ตไปเชื่อมโยงกับการเลื่อนผ่านช่วงชั้นเรียน โดยเฉพาะช่วงชั้นที่ 2 ไปสู่ช่วงชั้นที่ 3 (ป.6 เรียนต่อ ม.1) ตลอดจนการจบการศึกษาภาคบังคับ เป็นต้น พร้อมทั้งมีข้อเสนอในหลายส่วน ที่เสนอให้นำผลสอบโอเน็ตมีส่วนต่อการประเมินการเลื่อนชั้นหรือซ้ำชั้นด้วย โดยเฉพาะนักเรียนชั้น ป.6 ที่ สพฐ.จะให้ความสำคัญมาก เพราะคือด่านแรกที่จะเข้าสู่ระดับมัธยมศึกษา และคิดว่าจะนำกลุ่มสาระวิชาภาษาไทยเป็นตัวชี้วัดหลักต่อการเลื่อนชั้นในอนาคตอีกด้วย 

นายชินภัทรกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ตนได้หารือกับ สทศ.ในเรื่องของการกำหนดความชัดเจนของข้อสอบโอเน็ต อาทิ การออกข้อสอบโอเน็ตในระดับประถมศึกษาไม่อยากให้มีความซับซ้อนในเรื่องของตัวเลือกและโจทย์มากนัก การไม่ใช้ข้อสอบฉบับสั้น และการสอบครั้งหนึ่งให้กำหนดกลุ่มสาระวิชาต่อหนึ่งชุด เพราะการสอบโอเน็ตในปีการศึกษาที่ผ่านมาได้รวมทุกกลุ่มสาระวิชามารวมในชุดเดียวกัน ทำให้นักเรียนกำหนดเวลาไม่ได้ มีผลให้บางกลุ่มสาระวิชามีคะแนนเป็นศูนย์ พร้อมกันนี้ สพฐ.ยังได้ส่งตัวแทนครูกลุ่มสาระจำนวน 30 คน ทั้งหมด 8 กลุ่ม ไปเป็นทีมที่จะออกข้อสอบร่วมกับ สทศ.เพื่อให้การออกข้อสอบสอดคล้องกับการเรียนการสอน.

 

ที่มา ไทยโพสต์ 4 พฤษภาคม 2554

guest profile guest
 ต่างชาติวิจารณ์ซื้อขายป.บัณฑิต ทำลายภาพลักษณ์การศึกษาไทย
+โพสต์เมื่อวันที่ : 15 พ.ค. 2554

Share| แบ่งปันเรื่องนี้ให้เพื่อนที่

.....

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม นายสุเมธ แย้มนุ่น เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า จากกรณีปัญหาการซื้อขายใบประกาศนียบัตรบัณฑิต (ป.บัณฑิต) วิชาชีพครูที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยอีสาน (มอส.) ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเทศ ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำลายภาพลักษณ์ของระบบการศึกษาไทย ทั้งที่ความจริงแล้วมีมหาวิทยาลัยที่มีปัญหาเพียงไม่กี่แห่งแต่เมื่อเป็นข่าวดัง ทำให้ต่างประเทศคิดว่าระบบอุดมศึกษาของเราแย่ทั้งหมด และทำให้มหาวิทยาลัยที่ดีและมีคุณภาพได้รับผลกระทบไปด้วย 


เลขาธิการ กกอ.กล่าวต่อว่า ในส่วนของ สกอ.นั้นได้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวไปตามขั้นตอน ซึ่งต้องใช้เวลา โดยขณะนี้คณะกรรมการควบคุม มอส.ซึ่งทำหน้าที่แทน สกอ.กำลังเข้าไปตรวจสอบข้อมูลต่างๆ รวมถึงปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ได้มหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพกลับมาอีก 1 แห่ง 


แหล่งข่าวจากคุรุสภา กล่าวว่า จากกรณีปัญหาหลักสูตร ป.บัณฑิต มอส.ที่มีกรรมการคุรุสภาบางคนไปเกี่ยวข้องด้วยนั้น ยังมีกรณีมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งย่านพุทธมณฑลที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทด้านการศึกษาในลักษณะของการสอนนอกที่ตั้ง แต่ไม่ได้ขออนุญาต โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี้จะใช้วิธีการให้นักศึกษามาลงทะเบียนเรียนที่มหาวิทยาลัย แต่เวลาจัดการเรียนการสอนจะจัดในต่างจังหวัด ซึ่งจะมีการประสานงานให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือผู้อำนวยการโรงเรียนจัดหานักศึกษา โดยจ่ายค่าหัวรายละ 2,000 บาท และจะเชิญมาบรรยายชั่วโมงละประมาณ 1,000 บาท 


แหล่งข่าวจากคุรุสภา กล่าวด้วยว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้มีกรรมการในคุรุสภาบางคนที่มีญาติเกี่ยวข้องกับผู้บริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งเรื่องนี้คุรุสภาไม่ได้ดำเนินการอะไร เพราะเป็นการเปิดสอนระดับปริญญาโท แต่คุรุสภากำลังตรวจสอบว่าจะเปิดสอนหลักสูตร ป.บัณฑิตด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ มีมหาวิทยาลัยรัฐหลายแห่งแจ้งเรื่องนี้มายังคณะกรรมการคุรุสภา แต่ก็ไม่ใช่อำนาจของคุรุสภาที่จะตรวจสอบ เพราะเป็นเรื่องที่ สกอ.จะเข้าไปตรวจสอบดูแล 

 

ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

guest profile guest
• เอแบคโพล ชี้"ครูสอนดี"ไม่ต้องเก่งเลอเลิศ
+โพสต์เมื่อวันที่ : 20 พ.ค. 2554

Share| แบ่งปันเรื่องนี้ให้เพื่อนที่

.....

ขอแค่มีปิยวาจาดี ไม่ดุ ขี้โมโห และไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ก็ได้ใจนักเรียน100% เด็กๆ ระบุไม่ชอบครูดุ ข่มขู่ กินเหล้า-สูบบุหรี่ ทำให้กลัวไม่อยากไปเรียน แถมบั่นทอนพัฒนาการทางสติปัญญา 

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการวิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นในหัวข้อ "ครูสอนดีอย่างไรได้ใจเด็ก" โดยความร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) พบว่า เด็กที่รู้สึกว่าตนเองมีฐานะปานกลางจนถึงยากจน เป็นกลุ่มที่รู้สึกว่าได้พบคุณลักษณะของคุณครูที่พึงประสงค์ ด้อยกว่าในทุกตัวชี้วัด เมื่อเทียบกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่รู้สึกว่าตนเองเป็นคนร่ำรวย โดยเฉพาะเรื่องการพูดจาดี ไม่โมโหง่าย กลุ่มเด็กที่คิดว่าตนเองร่ำรวย ได้พบครูที่พูดจาดี ไม่โมโหง่าย มีค่าเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 7.98 ขณะที่กลุ่มเด็กฐานะปานกลางและยากจน พบค่าเฉลี่ยที่ต่ำกว่าคือร้อยละ 7.37 

ทั้งนี้ จากการสอบถามนักเรียนพบว่า ร้อยละ 91.00.อยากให้มีครูสอนดี ร้อยละ 6.1 อยากให้มีบ้าง ร้อยละ 1.8 อยากให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ขณะเดียวกันเมื่อให้ตัวอย่างจัดอันดับผลที่เกิดมากที่สุดจากการที่มีครูสอนดี พบว่าอันดับแรก ช่วยให้เด็กมีวิชาความรู้ ร้อยละ 32.1 รองลงมา ช่วยให้เด็กมีความสุขในการเรียน ร้อยละ 13.0 และช่วยให้เด็กได้คะแนนสอบสูงๆ เกรดดีๆ ร้อยละ 11.8 ตามลำดับ 

"สิ่งที่น่าพิจารณาคือ เด็กบางส่วนก็มีประสบการณ์พบครูที่สอนไม่ดี โดยเฉพาะครูที่มีลักษณะดุ อารมณ์ฉุนเฉียว โมโหง่าย และไม่เป็นตัวอย่างที่ดี เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนันโดยเด็กให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็นนี้มากกว่าการ ที่ครูสอนไม่เก่ง อธิบายไม่รู้เรื่อง หรือเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีความรู้เสียอีก" 

ดร.นพดล กล่าวและว่า นอกจากนี้อุปสรรคสำคัญของการเรียนรู้และความสามารถทางสติปัญญาของเด็กนักเรียนคือ ความกลัว ถ้าเด็กรู้สึกว่าครูดุ และชอบข่มขู่ทำให้หวาดกลัว จะยิ่งทำให้ไม่อยากเข้าเรียน รู้สึกเบื่อ และส่งผลกระทบต่อการเรียนของเด็ก ทางออก คือการปฏิรูปความสัมพันธ์กับเด็ก เปลี่ยนการสอนมาเป็นการแบ่งปันเรียนรู้ร่วมกัน ลดความเลื่อมล้ำในชั้นเรียน เคารพอัตลักษณ์ของเด็ก และทำให้เด็กรู้สึกอยากเป็นเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ทางปัญญาที่คิดขึ้นเองได้ 

 

ที่มา สยามรัฐ http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/61007

guest profile guest
ไฟเขียวครูพันธุ์ใหม่6.2พันทุนหลักสูตร5ปี3.7พัน-ป.บัณฑิต2.5พันคลอดเกณฑ์คัด’ผู้รับทุน-สถาบันผลิต’ 
  ข่าวทั้งหมด
 26 พฤษภาคม 2554

      

ไฟเขียวครูพันธุ์ใหม่6.2พันทุนหลักสูตร5ปี3.7พัน-ป.บัณฑิต2.5พันคลอดเกณฑ์คัด'ผู้รับทุน-สถาบันผลิต'

          เมื่อวันที่ 25 พฤษภามคม นายสุเมธ แย้มนุ่นเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ เมื่อเร็วๆนี้ ว่า ที่ประชุมยืนยันโครงการครูพันธุ์ใหม่ปีการศึกษา 2554 โดยจะเริ่มเดือนมิถุนายนนี้ ตามแผนเดิมที่ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี 6,200 คนคือหลักสูตรการผลิตครู 5 ปี 3,700 คน แบ่งเป็น รับผู้จบ ม.6 โดยได้รับทุนการศึกษา และประกันการมีงานทำ 1,100 คน, ประกันการมีงานทำอย่างเดียว1,600 คน และคัดเลือกนิสิตนักศึกษาชั้นปี 4 ประกันการมีงานทำอย่างเดียว 1,000 คน โดยหลักสูตรครู 5 ปี สถาบันฝ่ายผลิตหนึ่งแห่งรับได้ไม่เกินสาขาละ 30 คน
          นายสุเมธกล่าวว่า ส่วนหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต (ป.บัณฑิต) วิชาชีพครู (หลักสูตร 4+1 ปี) 2,500 คน รับผู้จบปริญญาตรีสาขาที่ขาดแคลนตามความต้องการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา (สอศ.) แบ่งเป็น ให้ทั้งทุน และประกันการมีงานทำ 1,300 คน และประกันการมีงานทำอย่างเดียว 1,200 คน โดยสถาบันฝ่ายผลิตหนึ่งแห่งรับได้ไม่เกินหลักสาขาละ100 คน
          นายสุเมธกล่าวต่อว่า สำหรับหลักเกณฑ์การคัดเลือกสถาบันที่เข้าร่วมโครงการหลักสูตร ป.บัณฑิตต้องเป็นสถาบันฝ่ายผลิตครูที่จัดการเรียนการสอนสาขาครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์อุตสาหกรรม และเป็นหลักสูตรปริญญาตรี 5 ปีส่วนหลักสูตร ป.บัณฑิต ต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากคุรุสภา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ต้องรับทราบ และสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) รับรอง อีกทั้ง ต้องเป็นการจัดการศึกษาในที่ตั้งเท่านั้น และต้องจัดการเรียนเป็นเวลา 3 ภาคเรียนปกติ เพื่อให้การศึกษามีคุณภาพ
          "ขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกได้ให้มหาวิทยาลัยส่งรายชื่อเข้าร่วมเป็นสถาบันฝ่ายผลิตเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถประกาศรายชื่อได้เพราะต้องรอให้ สพฐ.ส่งจำนวนความต้องการครูในสาขาวิชาเอกต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ เป็นต้น ว่าต้องการเท่าไหร่ สาเหตุที่สพฐ.ยังไม่ส่งรายชื่อเพราะปีนี้ดำเนินการโครงการครูพันธุ์ใหม่ล่าช้ากว่าทุกปี เพราะตอนแรกคณะกรรมการได้พิจารณาใช้หลักสูตรปริญญาตรีควบปริญญาโท 6 ปี แต่มหาวิทยาลัยยังไม่พร้อม จึงกลับมาใช้หลักสูตร 5 ปี ดังนั้น หลัง สพฐ.ส่งจำนวนความต้องการครูในแต่ละสาขามาแล้ว คณะกรรมการจะพิจารณาสถาบันที่เหมาะสมเพื่อประกาศรายชื่อสถาบันฝ่ายผลิต" นายสุเมธกล่าว
          นายสุเมธกล่าวว่า สำหรับเกณฑ์การคัดเลือกนักศึกษาทุนหลักสูตร ป.บัณฑิต ปีการศึกษา 2554 มีดังนี้ ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร(GPAX) ไม่ต่ำกว่า 3.00 ผลการเรียนในวิชาเอกสะสม ไม่ต่ำกว่า 3.00 และจะต้องมีผลการเรียนในวิชาชีพครูสะสมไม่ต่ำกว่า 3.00 ผ่านการสอบสัมภาษณ์ มีบุคลิกดี มีจิตอาสา และคะแนนสอบภาษาอังกฤษเทียบเท่ากับ TOEFL Paper based ไม่น้อยกว่า 450 คะแนน อย่างไรก็ตาม เมื่อเรียนจบต้องบรรจุเข้ารับราชการในสถานศึกษาที่กำหนดเป็นระยะเวลา 2 เท่าของเวลาที่รับทุน โดยไม่ขอย้ายสถานศึกษาในระหว่างชดใช้ทุน หากไม่ปฏิบัติงานสอนตามที่ตกลงไว้ตามเงื่อนไข จะต้องใช้ทุนคืนเป็น2 เท่าของค่าใช้จ่ายทั้งหมด

          ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

guest profile guest
ปัญหาใดที่ทำให้คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำ 

ปัญหาใดที่ทำให้คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำ


ช่วงนี้โรงเรียนทุกแห่งคงได้เปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ 2554 กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็คงพอช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนของผู้ปกครองลงไปได้บ้าง หลังจากต้องสาละวนอยู่กับการหาที่เรียนให้กับบุตรหลานจนได้แม้จะถูกใจหรือไม่ถูกใจบ้างก็ตาม รวมถึงสามารถก้าวพ้นวิกฤติค่าใช้จ่ายจิปาถะกับการเรียนของบุตรหลานไปได้ ส่วนนี้แม้ว่าภาครัฐจะมีนโยบายเรียนฟรีให้แล้วก็ตามแต่ในทางปฏิบัติจริงค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ก็ยังตกอยู่กับผู้ปกครองเช่นเดิม

ความทุกข์ที่ว่านี้ก็คงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ปกครองเท่านั้น แม้แต่ผู้บริหารการศึกษาไม่ว่าจะระดับใดก็คงมีความทุกข์ไม่น้อยเช่นกัน เพราะจากการประเมินผลสัมฤทธิ์โดยการสอบโอเน็ตครั้งล่าสุด ปรากฏว่าค่าเฉลี่ยทุกวิชาตกหมด และที่ซ้ำร้ายมีบางวิชาได้ค่าเฉลี่ยอยู่แค่ 20-30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ยิ่งผลการประเมินระดับนานาชาติของ PISA ออกมาที่พบว่าระดับความสามารถของเด็กไทยต่ำกว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของนานาชาติก็ยิ่งเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยน่าจะมีปัญหาจริง ๆ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผู้บริหารทั้งหลายทุกข์ใจได้อย่างไร

เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นมาแล้วก็ไม่อยากเห็นแค่การออกมาวิพากษ์วิจารณ์หรือโยนความผิดให้กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่อยากเห็นทุกฝ่ายได้ร่วมมือกันแก้ไขให้ลึกถึงต้นตอของปัญหาและพัฒนากันอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะเมื่อทุกฝ่ายยอมรับที่จะใช้ผลการสอบโอเน็ตครั้งล่าสุด เป็นข้อมูลสะท้อนว่าคุณภาพการศึกษาเด็กไทยตกต่ำก็ต้องหาเหตุแห่งปัญหาให้ได้แล้วจึงเริ่มแก้ไขอย่างจริงจัง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงใคร่ที่จะขอนำเสนอปัจจัยปัญหาที่ทำให้คุณภาพการศึกษาตกต่ำในความเห็นของผู้เขียนเอง เพื่อสอบถามไปยังผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายว่าใช่หรือไม่

ใช่เป็นเพราะ...หน่วยงานประเมินผลหวังผลไว้สูงเกินบริบทความเป็นไทยไปหรือไม่? เพราะจนถึงทุกวันนี้ก็คงต้องยอมรับความจริงกันว่าการจัดการเรียนการสอนของครูจำนวนไม่น้อยยังสอนแบบไทย แต่ถูกใช้มาตรฐานสากลมาประเมิน ด้วยอาจหวังให้คุณภาพการประเมินทัดเทียมกับสากลก็เป็นไปได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็อาจทำให้หลายฝ่ายหลงประเด็นกับหลักการจัดการศึกษาที่ประเทศชาติต้องการไป เพราะหลักการจัดการศึกษามุ่งหวังเพื่อ “พัฒนาคุณภาพชีวิต” ให้กับเด็กและเยาวชนเป็นคนดี คนเก่ง มีความสุข มีทักษะพื้นฐานการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างสมานฉันท์รวมถึงการธำรงไว้ซึ่งความดีงามของความเป็นไทยในทุกด้าน

เมื่อรวมถึงบริบทความอุดมสมบูรณ์ในทรัพยากรและสภาพภูมิศาสตร์ จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำของโลก” ที่ต่างชาติมีน้อยกว่าเรา การจัดการศึกษาก็น่าจะสนองกับความพร้อมเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นต้นแบบของการผลิตอาหารที่มีคุณภาพเลี้ยงชาวโลกอย่างแท้จริง ซึ่งก็น่าจะตรงกับศักยภาพและความต้องการของผู้คนระดับรากแก้วซึ่งเป็นบุคลากรส่วนใหญ่ของประเทศ การจัดการศึกษาจึงจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เกิดคุณลักษณะดังกล่าวควบคู่ไปกับผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการด้วย หากมุ่งหวังแต่ผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการอย่างเดียวจึงไม่น่าจะถูกต้องทั้งหมดใช่หรือไม่?

ใช่เป็นเพราะ...รูปแบบการสอบโอเน็ตที่ทำให้นักเรียนเกิดความสับสนกับการตอบหรือไม่? ทั้งนี้ก็ด้วยรูปแบบของข้อสอบโอเน็ตจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกปี เช่นครั้งล่าสุดก็เป็นข้อสอบฉบับย่อมีหลายวิชารวมกัน แต่ละข้อต้องตอบหลายชั้นหลายขั้นตอนซึ่งเป็นวิธีการที่นักเรียนไม่คุ้นเคยทำให้เด็กคิดแก้ปัญหากับวิธีการตอบมากกว่าจะคิดหาคำตอบ ยิ่งการสอบดังกล่าวไม่มีผลต่อการเลื่อนชั้นด้วยแล้ว จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผลการสอบออกมาตกต่ำได้ไม่ใช่น้อยใช่หรือไม่?

ใช่เป็นเพราะ...นโยบายการศึกษาที่ขาดประสิทธิภาพและไร้ทิศทางหรือไม่? จากเท่าที่ทราบกันอยู่นโยบายการศึกษาของไทยในยุคหลัง ๆ ไม่ได้ยึดแผนการจัดการศึกษาชาติมาเป็นหลักสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะดำเนินการตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในแต่ละยุคสมัย ทำให้การพัฒนาขาดความต่อเนื่องและไร้ทิศทาง จนกลายเป็นนโยบายรายรัฐมนตรีที่มีแต่จำนวนโครงการ กิจกรรมส่งมาให้ครูทำเพื่อสนองนโยบายจำนวนมาก ทำให้เวลาและพลังกายใจกับการทำงานของครูหมดไปกับงานดังกล่าว มากกว่าการจัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนใช่หรือไม่?

ใช่เป็นเพราะ...หลักสูตรการศึกษากำหนดให้เด็กเรียนเนื้อหาสาระมากเกินความจำเป็นหรือไม่? ด้วยหลักสูตรกำหนดให้เด็กเรียนรู้ถึง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ กับอีก 1 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากนั้นแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ยังแบ่งแยกย่อยออกเป็นรายวิชาอีกจำนวนไม่น้อย ทำให้แต่ละวันเวลาของเด็กจึงหมดไปกับการเรียนตามตารางสอนของครูในแต่ละวิชาจนแทบจะไม่มีเวลาทำกิจกรรมสร้างสรรค์อื่น เมื่อเรียนแบบเหมารวมทั้งสาระที่มีความสำคัญและสาระจับฉ่ายทำให้จุดเน้นวิชาสาระสำคัญ ๆ ถูกละเลยด้วยความอ่อนล้าของเด็กที่ต้องเรียนมากนั่นเอง แต่เมื่อมีการสอบโอเน็ตจะเน้นแต่สาระหลักไม่กี่วิชาทำให้จำนวนเนื้อหาการเรียนรู้กับการสอบไม่สอดคล้องกันใช่หรือไม่?

ใช่เป็นเพราะ..ปัญหาเกี่ยวกับครูผู้สอนหรือไม่ ? ซึ่งส่วนนี้หากในสายตาประชาชนแล้วคุณภาพการศึกษาของนักเรียนกับครูผู้สอนคงแยกกันไม่ออกเมื่อเด็กมีผลสัมฤทธิ์แย่ ผู้ที่ตกเป็นจำเลยก็คงหนีไม่พ้นคุณครู ซึ่งปัญหาของครูกับการจัดการศึกษาก็มีอยู่หลายด้าน แต่ที่เป็นปัญหาหลัก ๆ ก็น่าจะมาจากปัญหาครูขาดคุณภาพและครูขาดแคลน ซึ่งปัญหาครูขาดคุณภาพที่ว่านี้คงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงว่า ครูขาดความรู้ ขาดความเข้าใจในหลักสูตรการศึกษา การออกแบบการเรียนรู้ หรือยังไม่ปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอนเท่านั้น แต่จะรวมถึงการขาดความเอาใส่ใจขาดความมุ่งมั่นทุ่มเท ในการทำงาน หรือใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับประโยชน์ส่วนตนด้วย

ส่วนปัญหาครูขาดแคลนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นจะขาดแคลนทั้งจำนวนครูไม่พอสอนครบชั้นและครบสาระการเรียนรู้สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีอยู่กว่าหมื่นแห่งและขาดแคลนครูที่มีวุฒิการศึกษาวิชาเอกตรงกับสาขาที่สอน สำหรับโรงเรียนขนาดใหญ่รวมแล้วก็หลายหมื่นอัตรา ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไร้วี่แววของการจะได้อัตราครูใหม่มาแก้ปัญหา ซึ่งปัญหาของครูทั้งสองส่วนที่ว่ามานี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลให้คุณภาพการศึกษาเด็กตกต่ำใช่หรือไม่?

ใช่เป็นเพราะ...เด็กยุคปัจจุบันพัฒนาได้ยากกว่าอดีตหรือไม่? เพราะเท่าที่เห็นพฤติกรรมเด็กยุคปัจจุบันส่วนใหญ่ขาดทั้งความรับผิดชอบ ไม่รู้จักหน้าที่ของตนเอง ไม่ค่อยใส่ใจกับการเรียนรู้ ขาดทักษะการดำเนินชีวิต ทำงานไม่เป็น ขาดความอดทน ที่สำคัญที่สุด คือไม่รู้เป้าหมายอนาคตของตนเอง ทำให้การดำเนินชีวิตจึงสนุกกับวัตถุและสิ่งยั่วยุรอบข้างไปวัน ๆ นอกจากนั้นก็ยังมีเด็กและเยาวชนเฉพาะกลุ่มที่ขาดความพร้อมในปัจจัยพื้นฐานกับการดำรงชีวิตและการเรียนรู้ทั้งความบกพร่องด้านร่างกาย สติปัญญาและศักยภาพที่เกิดจากพันธุกรรมและปัจจัยความพร้อมความเป็นอยู่ ความยากจน การเดินทางไกล บริบทและปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาในภาพรวมทั้งสิ้นใช่หรือไม่?

ใช่เป็นเพราะ...ผู้ปกครองไม่ค่อยใส่ใจกับการศึกษาของบุตรหลานเท่าที่ควรหรือไม่? ด้วยผู้ปกครองส่วนใหญ่ในทุกวันนี้มุ่งอยู่กับการแข่งขันทำมาหากินสร้างฐานะความเป็นอยู่มากกว่าที่จะใส่ใจสร้างเสริมความรู้พัฒนาสติปัญญาให้กับบุตรหลาน โดยส่วนใหญ่จะผลักภาระให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนทั้งหมด ยิ่งการเลี้ยงดูของผู้ปกครองยุคปัจจุบันให้แต่ของนอกกายที่เป็นวัตถุ เงินทอง ด้วยแล้วจึงเหมือนไปส่งเสริมให้เด็กหมกมุ่นในเรื่องอื่นแต่ขาดความกระตือรือร้นและใส่ใจกับการเรียนรู้พัฒนาตนเองไปใช่หรือไม่?

เป็นเพราะ...สังคมเห็นแก่ตัวมากกว่าอนาคตของประเทศชาติหรือไม่? เพราะนอกจากจะไม่ช่วยเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับเด็กและเยาวชนแล้ว ยังกลายเป็นผู้สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับเด็กเสียเองโดยการนำอบายมุขสิ่งยั่วยุต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นรอบตัวเด็กพร้อมที่จะให้เด็กเดินหลงเข้าไปในทางผิด ๆ ได้อย่างง่ายดายใช่หรือไม่?

ปัญหาเพียงบางส่วนที่นำเสนอข้อมูลทั้งหมดตามปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมา หากผู้เกี่ยวข้องแต่ละด้านยอมรับว่าใช่ เป็นความจริง แล้วลงมือแก้ไขให้ถึงต้นตอที่มาของปัญหาและพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน วงล้อคุณภาพการศึกษาของเด็กก็น่าจะเดินไปได้อย่างรวดเร็วและเป็นระบบแต่ถ้าหากแต่ละฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังคิดว่าธุระไม่ใช่ แต่พอเกิดปัญหาขึ้นก็มักจะโยนความผิดให้กับฝ่ายอื่นอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เชื่อได้เลยว่าคุณภาพการศึกษาของชาติคงไม่ได้ตกต่ำอยู่แค่นี้เป็นแน่และท้ายที่สุดผู้ที่ได้รับผลกระทบก็หนีไม่พ้นคนไทยทั้งหมดนั่นเอง.

กลิ่น สระทองเนียม

ที่มา: http://www.dailynews.co.th
guest profile guest

วิกฤตการศึกษาวิกฤตประเทศไทย

รุ่ง แก้วแดง
          ประธานมูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดงเพื่อสันติสุข 3 จังหวัดชายแดนใต้
          ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ หรือO-net ปี 2553 ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประกาศออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ได้สร้างความผิดหวังและช็อคความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศอีกครั้ง
          ขณะเดียวกันหลายฝ่ายในสังคมก็ได้ออกมาแสดงความห่วงใยและวิตกกังวลว่า อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไรถ้าคุณภาพการศึกษาของเยาวชนไทยตกต่ำลงเรื่อยๆทุกปีเช่นนี้ตกต่ำในเกือบทุกวิชาและทุกช่วงชั้น ตั้งแต่ ป.6 ม.3 จนถึง ม.6 โดยเฉพาะวิชาหลัก เช่น คณิตศาสตร์ม.6 นักเรียนทำคะแนนได้เพียงร้อยละ 15 จากคะแนนเต็ม 100 และวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสื่อสารในโลกยุคโลกาภิวัตน์และเป็นภาษาที่ใช้ในการทำงานของประชาคมอาเซียน ก็มีคะแนนต่ำเพียงร้อยละ 19
          แม้กระทั่งวิชาภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาประจำชาติก็ทำคะแนนได้ไม่ถึงร้อยละ 50 เป็นวิกฤตของประเทศไทยที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าถูกน้ำท่วมหรือสึนามิถล่ม
          อันที่จริง การประเมินผลไม่ใช่เรื่องที่น่ารังเกียจไม่ว่าผลจะออกมาดีหรือไม่ดี ความสำคัญอยู่ที่ผู้บริหารรู้จักนำผลการประเมินไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงการศึกษาให้ดีขึ้นหรือไม่ เพราะแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาที่คิดว่ายิ่งใหญ่แล้วก็เคยเกิดสภาวะ Sputnik shock เมื่อรู้ว่าวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศของสหรัฐอเมริกาสู้ของรัสเซียไม่ได้ จึงต้องปรับระบบการศึกษาของประเทศเป็นการใหญ่
          ประเทศญี่ปุ่นก็เกิดภาวะ PISA shock เมื่อรู้ว่าผลการประเมินการศึกษาระดับนานาชาติของญี่ปุ่นสู้หลายประเทศที่พัฒนาแล้วไม่ได้ จึงเป็นที่มาของนโยบายการปฏิรูปหลักสูตรและการเรียนการสอนของญี่ปุ่นทั้งระบบ หลายประเทศเขาเห็นประโยชน์ของการประเมินผลและนำไปใช้ในการปรับปรุงแก้ไขให้คุณภาพการศึกษาดีขึ้น
          ศ.ดร.อุทุมพร จามรมาน อดีตผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ได้ออกสมุดปกขาวไว้เล่มหนึ่งก่อนจะพ้นจากตำแหน่ง ชื่อ "วิกฤตการศึกษาทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ได้ออกสมุดปกขาวไว้เล่มหนึ่งก่อนจะพ้นจากตำแหน่ง ชื่อ "วิกฤตการศึกษาไทย"เพื่อเตือนผู้บริหารการศึกษาของชาติว่าต้องให้ความสำคัญกับผลการทดสอบ O-NET และนำไปใช้ในการวางแผนปรับปรุงการเรียนการสอนและหลักสูตรเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้น
          แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการสนองตอบหรือขานรับจากกระทรวงอย่างจริงจัง นอกจากกล่าวโทษว่าเป็นผลผลิตของการศึกษาระบบเก่า
          ความจริงการปฏิรูปการศึกษามีการดำเนินงานมาก่อนหน้านี้นานแล้ว โดยเฉพาะการปฏิรูปการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติและคิดวิเคราะห์แต่ปัญหาและอุปสรรคของการปฏิรูปการศึกษาไทยประการหนึ่งคือขาดความทุ่มเทเอาจริงเอาจังฉะนั้นถ้ายังไม่ลงมือทำอย่างจริงจังตั้งแต่บัดนี้ แล้วให้รอจนครบกำหนดปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ผมคิดว่าคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยก็คงไม่ดีขึ้น
          McKinsey & Company ซึ่งเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีผลงานวิจัยด้านการศึกษานานาชาติที่เชื่อถือได้ ได้ออกรายงานฉบับล่าสุดเมื่อปลายปี 2553 ชื่อ How the World's Most Improved School Systems Keep Getting Better สรุปผลการศึกษาวิเคราะห์ระบบการศึกษาที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกพบว่า ระบบการศึกษาของประเทศในทวีปเอเชียที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง มีการปฏิรูปการศึกษาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยมีการจัดลำดับความสำคัญหรือจุดเน้นของการปฏิรูปและเลือกทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่การปฏิรูปหลักสูตรและการเรียนการสอน การพัฒนาครู การกระจายอำนาจ การสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้
          ผลที่ปรากฏคือ ประเทศเหล่านี้ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ และการศึกษาที่มีคุณภาพสูงนี้ก็ทำให้ผลผลิตด้านกำลังคนมีคุณภาพ นำไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจอื่นๆ และการศึกษาที่มีคุณภาพสูงนี้ก็ทำให้ผลผลิตด้านกำลังคนมีคุณภาพ นำไปสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจรวมทั้งความมั่นคงทางการเมืองและสังคม
          ปัจจัยหลักที่นำไปสู่ความสำเร็จของประเทศเหล่านั้นคือ มีผู้นำทางการเมืองหรือนักปฏิรูปการศึกษาที่ดำเนินงานปฏิรูปตามนโยบายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานพอที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนได้ รวมทั้งมีการประเมินผลและนำผลการประเมินมาใช้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาการศึกษาตลอดเวลา
          สำหรับการศึกษาไทยนั้น มีจุดเด่นประการหนึ่งที่ทั่วโลกยอมรับคือ รัฐบาลทุกสมัยได้ทุ่มเทงบประมาณเพื่อการศึกษาในสัดส่วนที่สูงมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ก็มีจุดอ่อนหลายประการ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารบ่อยครั้ง ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาให้ลงไปถึงสถานศึกษาอย่างยั่งยืนได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแต่ละคนที่เข้ามาก็มีนโยบายและแผนของตนเอง และอยู่ในตำแหน่งไม่นาน
          การปฏิรูปการศึกษาจะสำเร็จได้ขึ้นอยู่กับสถานศึกษา ไม่ใช่อยู่ที่กระทรวง ผู้บริหารที่มีบทบาทอย่างแท้จริงในการยกระดับคุณภาพการศึกษาคือผู้บริหารสถานศึกษา ไม่ใช่ผู้บริหารกระทรวง ทั้งทฤษฎีการบริหารการศึกษาและงานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า ถ้าผู้บริหารสถานศึกษาเอาใจใส่และให้ความสำคัญกับงานวิชาการผู้เรียนจะมีคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง เพียงแต่ผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปต้องสนับสนุนและให้กำลังใจคนที่ทำงานจริง
          ประเทศไทยมีครูและผู้บริหารที่เก่งและดีเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีการยกย่อง ไม่มีการให้รางวัลให้เป็นต้นแบบหรือแบบอย่างให้กับครูและผู้บริหารคนอื่นๆ ดังนั้น จึงไม่มีใครยอมเหนื่อยที่จะปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง  เพราะทำหรือไม่ทำก็มีค่าเท่ากัน
          โจทย์การศึกษาวันนี้ คือ ทำอย่างไรผลการทดสอบในปีหน้าจะดีขึ้น
          ผมมีความเห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ
          ระดับนโยบายนั้นส่วนกลางโดยกระทรวงศึกษาธิการซึ่งรับผิดชอบนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศต้องร่วมมือกับสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) นำผลการทดสอบและการประเมินผลไปวางแผนปรับปรุงคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้น ทำให้การทดสอบและการประเมินผลมีความสำคัญและมีความหมายในเชิงนโยบายของชาติ การทดสอบต้องมีผลต่อการเลือกสายวิชาหรือการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีผลต่อการพิจารณาระดับตำแหน่งหรือความดีความชอบของครูและผู้บริหาร ทั้งมีผลต่อการพิจารณาระดับตำแหน่งหรือความดีความชอบของครูและผู้บริหาร
          ส่วนระดับปฏิบัติในสถานศึกษานั้น แต่ละโรงเรียนต้องนำคะแนน O-NET ไปรายงานให้กรรมการสถานศึกษาและเครือข่ายผู้ปกครองทราบเพื่อร่วมกันวางแผนปรับปรุงการเรียนการสอนในวิชาที่คะแนนต่ำ เขตพื้นที่การศึกษาต้องนำผลคะแนนของเขตไปวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จและความล้มเหลว จัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสถานศึกษาเพื่อวางแผนและปรับปรุงให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป
          โดยวิธีนี้การประเมินจะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหาร (PDCA) ตามระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา จนกลายเป็นวัฒนธรรมในการทำงานอย่างถาวร ตามหมวด 6 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
          โรงเรียนต้องเพิ่มบทบาทของกรรมการสถานศึกษาและผู้ปกครองให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น จะต้องทำให้การศึกษาของลูกหลานเป็นเรื่องของทุกคนในชุมชน ไม่ใช่เป็นเรื่องของผู้บริหารในกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น การปฏิรูปการศึกษาไม่ควรที่จะให้เป็นภาระของใครคนใดคนหนึ่งอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
          วิกฤตการศึกษาของประเทศครั้งนี้รุนแรงเกินกว่าที่จะ "พูด" อย่างเดียว ทุกคนจะต้อง "ลงมือทำ" การที่จะปฏิรูปการศึกษาโดยทำเป็นระบบใหญ่ทั้งประเทศนั้น  มีอุปสรรคหลายอย่างที่ทำให้ไม่บรรลุผล
          ผมเองได้พยายามทำมาอย่างสุดความสามารถแต่ก็สำเร็จได้เพียงระดับหนึ่ง เมื่อผมกลับลงไปอยู่ในจังหวัดชายแดนใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาภายนอกรอบแรกและผลการทดสอบโอเน็ตชี้ให้เห็นว่าคุณภาพต่ำที่สุดในประเทศ ก็เริ่มลงมือแก้ปัญหาเองโดย มูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดงได้รับการสนับสนุนจาก สมศ. ให้ทำการวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการศึกษาชายแดนใต้
          พบว่าหากออกแบบให้ผู้บริหารและครูได้ลงมือพัฒนาการเรียนการสอนอย่างจริงจังและมีเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปด้วยกัน ก็สามารถยกระดับค่าเฉลี่ยผลการประเมินภายนอกรอบสองขึ้นมาใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศได้ ยกเว้นบางแห่ง เช่นโรงเรียนมัธยมขนาดเล็กและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม  ซึ่งจะต้องพัฒนากันต่อไป
          นอกจากนี้ งานวิจัยของมูลนิธิฯ ยังชี้ให้เห็นว่ามีโรงเรียนเล็กๆ หลายแห่งที่ครูและผู้บริหารให้ความสำคัญกับการเรียนการสอน สามารถพัฒนาการศึกษาของเยาวชนได้เป็นอย่างดี ตรงกันข้ามกับโรงเรียนบางแห่งที่ผู้บริหารเป็นระดับ 9 และมีครู คศ.3 เกือบทั้งแห่งที่ผู้บริหารเป็นระดับ 9 และมีครู คศ.3 เกือบทั้งโรงเรียนแต่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กกลับไม่สูงตามวิทยฐานะของครูไปด้วย
          ในขณะเดียวกัน สมศ.ก็ได้ทำวิจัยเพื่อปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศที่คุณภาพอยู่ในภาวะไอซียู พบว่าโรงเรียนสามารถที่จะยกระดับผลการสอบโอเน็ตได้เกือบทุกวิชา ซึ่งแสดงว่าหากครูและผู้บริหารเอาใจใส่ดูแลการพัฒนาการเรียนการสอนอย่างจริงจัง การปฏิรูปการศึกษาก็ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
          ดังนั้น มูลนิธิสุข-แก้ว แก้วแดง จึงวางแผนที่จะดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับหลายหน่วยงานเช่น สมศ.ซึ่งเป็นองค์กรที่โรงเรียนให้ความสำคัญมากในเรื่องการประเมินเพื่อพัฒนา และร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อที่จะให้นักเรียนได้เรียนรู้โดยการคิดวิเคราะห์เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญแทนการเรียนรู้ด้วยการท่องจำอย่างเดียว
          และร่วมกับหน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาเพื่อที่จะนำกฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.2553 สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
          กฎกระทรวงฉบับนี้เน้นให้โรงเรียนนำผลการดำเนินงานทั้งการประเมินภายนอกและ O-NET มาเป็นข้อมูลในการวางแผนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน กำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้บริหารและครูกรรมการสถานศึกษาและเขตพื้นที่หรือหน่วยงานต้นสังกัดในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยทำการประเมินคุณภาพภายในเป็นระยะๆ เพื่อสร้างความพร้อมสำหรับรองรับการประเมินคุณภาพภายนอกรอบที่สาม
          การดำเนินงานตามกฎกระทรวงจะทำให้มีการบูรณาการทั้ง 3 เรื่องเข้าด้วยกัน คือ การปฏิรูปการเรียนรู้การประกันคุณภาพภายใน และการประกันคุณภาพภายนอก กลายเป็นการประกันคุณภาพทั้งระบบ ซึ่ง
          จะทำให้การประเมินภายนอกมีความหมายมากขึ้นกว่าเดิมและยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างแท้จริง
          ผมจึงขอเชิญชวนให้สถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยรูปแบบบูรณาการเช่นนี้
          ผมเชื่อว่าประเทศไทยเราจะสามารถปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จได้ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่าปล่อยให้การศึกษาและอนาคตของชาติตกอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน มิฉะนั้น เราจะไม่สามารถหลุดพ้นจากวิกฤตนี้ได้เลย

          ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน


guest profile guest
guest profile guest
guest profile guest
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับคณะบุคคลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าพบเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสเข้ารับตำแหน่ง พร้อมทั้งรับฟังแนวทางนโยบายในการจัดการศึกษา เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ ณ ห้องประชุมกระทรวงศึกษาธิการ

คณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ทั่วประเทศ เข้าพบเพื่อแสดงความยินดี และมอบข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและคุณภาพสถาบันผลิตครู 

เมื่อเวลา ๙.๓๐ น. คณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ทั่วประเทศ จำนวน ๓๐ คนเข้าพบ นำโดย รศ.ดร.สมบัติ นพรัก ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย พร้อมทั้งได้ยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและคุณภาพสถาบันผลิตครู ๙ ข้อ คือ 


๑) ควรมีการกำหนดระดับวุฒิการศึกษาของครูระดับปฐมวัย ประถมศึกษากำหนดใช้ครูวุฒิปริญญาตรี ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายกำหนดใช้วุฒิปริญญาโท 

๒) ควรมีการกำหนดเกณฑ์พัฒนาครูโดยให้เป็นไปตามความสมัครใจ จัดเป็นคูปองการศึกษาให้ครูเข้ารับการพัฒนาในสถาบันผลิตครูทั่วประเทศ 

๓) ควรวางแผนกำหนดความต้องการการใช้ครูแต่ละปีทุกสังกัดทั้งจำนวนและวิชาเฉพาะเพื่อวางแผนผลิตให้สอดรับกับความต้องการของครู 

๔) ปรับหลักสูตรสองมาตรฐานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น ปรับหลักสูตรปริญญาตรี ๕ ปีเป็น ๔ ปี และหลักสูตรครูปริญญาตรีควบโท ๖ ปี เท่ากับการผลิตครูปริญญาโท ระบบ ๔+๒ 

๕) ควรจัดสรรอัตราอาจารย์ปริญญาเอกให้คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์และทุนการศึกษาปริญญาเอกและหลังปริญญาเอก 

๖) ควรกำหนดให้คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ เป็นหน่วยงานหลักในการผลิตครู โดยกำหนดโซนในการบริหารจัดการร่วมกัน 

๗) ควรมีการกำหนดกรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติทุกระดับการศึกษา และทบทวนกรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา รวมทั้งกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรีสาขาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ 

๘) ควรมอบหมายให้คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ทั่วประเทศ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการฝึกอบรมครูผู้สอน 

๙) หาก ศธ.จะศึกษาวิจัยด้านการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษา ทางคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ยินดีที่จะดำเนินการวิจัยในการแก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษา 

รมว.ศธ. กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสพบปะ ต้องการให้มีเวลาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากกว่านี้ แต่ในครั้งนี้จึงขออนุญาตเล่าให้ฟังว่า ระบบการค้าเสรี (Free Trade Area) ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก และประเทศไทยอยู่ภายใต้สมาชิก WTO จึงไม่สามารถหลีกหนีได้ ช่วงที่ผ่านมาเราอาจไม่ได้ศึกษา FTA มากนัก แต่เมื่อปี ๒๕๕๘ จะมีการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่ง ๑๐ ประเทศในภูมิภาคจะติดต่อค้าขายอย่างเสรี ถ้าเราแข็งแรง เก่ง มีศักยภาพดี ก็สามารถสู้ประเทศอื่นได้ แต่หากไม่มีศักยภาพพอ เราจะแพ้ทันที จึงขอความร่วมมือท่านที่อยู่ในวงการครู หาแนวทางการเพิ่มศักยภาพให้ประเทศ ช่วยกันคิดเพื่อไม่ให้ FTA ของไทยเสียเปรียบ หรือส่งสินค้าไปขายไม่ได้ แม้ที่ผ่านมาเราจะส่งสินค้าไปประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก แต่ก็ยังขายไม่ได้มากนัก และมีสินค้าจำนวนมากถูกกดราคา ขณะนี้เรามีเวลาอีก ๒ ปีที่ต้องปรับตัว 

ปัจจุบันเรามีหนี้สินสาธารณะจากเงินกู้จำนวนเยอะมากถึง ๔.๒๒ ล้านบาท โดยชำระหนี้ปีละ ๑.๘ แสนล้านบาท แต่ใช้หนี้ซึ่งเป็นเงินต้นได้เพียงปีละ ๑ หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นดอกเบี้ยถึง ๑.๗ แสนล้านบาท หากเป็นอยู่อย่างนี้ในปี ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นปีที่ถึงกำหนดครบชำระ จะไม่มีเงินพอไปชำระหนี้ อาจต้องกู้ไปโปะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้การกู้เงินจะนำไปใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ครอบครองตลาดของประเทศ ในขณะที่องค์ความรู้ในชนบทไม่มีการพัฒนามากขึ้น วันนี้จึงขอร้องให้มหาวิทยาลัยจับมือให้เข้าไปช่วยกันพัฒนาหลักสูตรในจังหวัด โดยดูศักยภาพของแต่ละจังหวัด เพื่อพัฒนาให้สามารถก้าวไปแข่งขันกับโลกได้ 

ดังนั้นทางคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ จะต้องศึกษาในเรื่องนี้ โดยนำแนวคิดต่างๆ ไปปรับใช้ในระบบการพัฒนาหลักสูตร กรอบแนวทางการศึกษาเพื่อพัฒนาประเทศ เช่น นำผู้ประกอบการที่เชี่ยวชาญ เจ้าของเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือดึงผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกเข้ามาสอนคนในจังหวัดนั้นๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้ครู นักเรียนในโรงเรียนหัดทำการค้าด้วยตนเอง สำหรับสัดส่วนการเรียนรู้ของนักเรียนนั้น ที่ผ่านมาเด็กเรียนเยอะมาก ต่อไปควรเน้นเฉพาะทางมากขึ้น จัดหลักสูตรที่ตรงทักษะ ความชำนาญของเด็กมากขึ้น 

ทั้งนี้ ขอให้คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ พิจารณาจัดทำนโยบายเฉพาะที่สอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ให้จับมือกันทำงานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน ๒ ปีนี้ ไม่ให้เกิดวิกฤตเหมือนปี ๒๕๔๐ ที่ต่างชาติเข้ามายึดธุรกิจจำนวนมากของไทย โดยเรียงลำดับตามนโยบายที่จำเป็น และบูรณาการการทำงาน เพื่อให้สนองตอบต่อความต้องการของชุมชนในพื้นที่ โดย ศธ.ยินดีจะสนับสนุนงบประมาณอย่างเต็มที่ 

guest profile guest
ไม่ได้บันทึกมานานแล้ว

ประกาศล่าสุดในบอร์ดเดียวกัน

14 ปีที่ผ่านมา