คลองบางหลวง

manman profile image manman

ที่แห่งนั้นคือ “คลองบางหลวง” ที่ๆ ทำให้เราพบกับความจริงว่า "อดีตยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน" “นี่เธอ ไปเที่ยวกันมั้ย อยากพักผ่อนสมองบ้าง” เสียงของเพื่อนดังขึ้นข้างๆ หู ว่าแล้วเราก็ระดมสมองคิดหาสถานที่ที่จะช่วยผ่อนคลายภายในเวลาอันจำกัดและ อยู่ภายใต้ข้อจำกัดของการเดินทางภายในหนึ่งวัน หรืออันที่จริงก็แค่ค่อนวันที่เหลืออยู่เท่านั้น... คิดอยู่สักพักชื่อของสถานที่แห่งหนึ่งก็แวบขึ้นมา เราพากันเดินทางฝ่าการจราจรบนท้องถนนและอากาศร้อนอบอ้าวของกรุงเทพฯ ปลายทางเป็นคลองสายหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยเล็กๆ บนถนนจรัญสนิทวงศ์

ที่แห่งนั้นคือ “คลองบางหลวง” ที่ๆ ทำให้เราพบกับความจริงว่า "อดีตยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน"

banrimnam3flowerschedi2banrimnam2

คลองบางหลวง หรือ คลองบางกอกใหญ่ เดิมเคยเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมมาก่อน แต่เพราะเป็นแม่น้ำช่วงที่โค้งอ้อมกินบริเวณกว้าง เวลาแล่นเรือผ่านมาจึงทำให้เสียเวลาในการเดินทางไปมาก ครั้งนั้น สมเด็จพระชัยราชาธิราช พระมหากษัตริย์ในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาจึงโปรดเกล้าฯให้มีการขุดคลองลัดขึ้น ในปี พ.ศ.2065 เพื่อร่นระยะทางและระยะเวลาสำหรับบรรดาพ่อค้าต่างชาติที่จะมาค้าขายเจริญ สัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอยุธยา

ภายหลังจากขุดคลองแล้ว คลองที่ขุดกลับมีขนาดใหญ่โตขึ้นเพราะกระแสน้ำไหลมากัดเซาะชายฝั่งให้กว้าง ขึ้น ขณะที่แม่น้ำสายดั้งเดิมค่อยๆ เล็กลง กลายสภาพเป็นคลองสายหนึ่งเท่านั้น ปัจจุบันปากคลองทางฝั่งโรงพยาบาลศิริราชเรียกกันว่า "คลองบางกอกน้อย" ส่วนปากคลองอีกด้านหนึ่งทางป้อมวิไชยประสิทธิ์เรียกกันว่า "คลองบางกอกใหญ่" ส่วนเหตุที่เรียกคลองบางกอกใหญ่ว่าคลองบางหลวงก็เนื่องจาก เมื่อคราวที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมาสร้างราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรีนั้น ข้าราชการขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายต่อหลายท่านมาจับจองสร้างบ้านกันอยู่ริมคลอง บางกอกใหญ่ เพราะเป็นบริเวณใกล้เคียงกับพระราชวังกรุงธนบุรี ชาวบ้านจึงเรียกคลองแถบนี้อีกชื่อหนึ่งว่า "คลองบางข้าหลวง" และเหลือเพียง "คลองบางหลวง" ในที่สุด

banrimnam1


คลองบางหลวงทุกวันนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนที่เรียกว่า “ชุมชนริมคลองบางหลวง” ปัจจุบันยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายในอดีต เราสามารถพบเห็นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวบ้านแถบนี้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวรูปทรงเก่าแก่ วัดวาอารามที่แสนสงบร่มเย็น ตลอดทั้งลำคลองมีปลาสวายตัวโตๆ จำนวนมากดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ เด็กๆ วิ่งเล่นกันสนุกสนาน ส่วนคนเฒ่าคนแก่คอยมองตามและยิ้มด้วยความเอ็นดู ในขณะที่เรือหางยาวสีสวยและเรือเมล์แล่นผ่านไปมาเกือบตลอดทั้งวัน


ยามเช้าที่นี่พระสงฆ์จะมารับบิณฑบาตทางเรือเป็นภาพที่หาชมได้ยาก แต่หากไม่สะดวกเดินทางมาตั้งแต่ไก่โห่ แดดร่มลมตกก็สามารถมาเที่ยวชมชุมชนได้ เดินเรื่อยๆ จะพบร้านรวงเก่าแก่ที่ยังคงเอกลักษณ์แบบเดิมๆ เช่น ร้านขายของชำ ร้านตัดผม ร้านขายขนมและของเล่นเด็ก ชาวบ้านที่นี่ยังคงรักษารูปแบบวิถีชีวิตเรียบง่ายไว้ได้มาก ซึ่งแม้จะไม่ฉูดฉาดสะดุดตาเหมือนแหล่งท่องเที่ยวในกระแสทั้งหลาย แต่ก็ถือเป็นเสน่ห์ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนได้ไม่น้อย

ชมโบสถ์เก่า เยือนบ้านศิลปิน

"Love at first sight" ฉันอยากใช้คำคำนี้กับภาพคลองบางหลวงเมื่อแรกเห็น หลังจากตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศแบบย้อนอดีต โปรแกรมการเยี่ยมชมสถานที่น่าสนใจต่างๆ ในย่านนี้ก็เริ่มต้นขึ้นทันที ด้วยเพราะไม่อยากให้เสียเวลาอันมีค่าไปแม้แต่วินาทีเดียว

เริ่มแรกเราพากันเดินข้ามสะพานคลองบางหลวงน้อยไปยัง "วัดกำแพง" หรือเรียกชื่อเต็มว่า วัดกำแพงบางจาก บรรยากาศภายในวัดร่มรื่น มีชาวบ้านมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ สนทนาทักทายกันตามประสา เมื่อพบเห็นแขกผู้มาเยือนก็ยิ้มทักทายด้วยความเป็นมิตร รอยยิ้มของคนแปลกหน้าไม่ได้เป็นเรื่องแปลกของคนไทย เพียงแต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราอาจจะลืมที่จะ "ยิ้ม" ให้กัน ฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะส่งยิ้มกลับไป ก่อนจะเดินต่อไปจนถึงโบสถ์เก่าที่อยู่ภายในวัด

โบสถ์หลังนี้ผ่านกาลเวลามานานจนมีร่องรอยดำๆ ฝังแน่นอยู่ที่ตัวโบสถ์ ปูนเริ่มลอกจนมองเห็นอิฐบางส่วน เราเดินชมด้วยความสนใจพร้อมทั้งถ่ายรูปเก็บไว้ตามประสานักท่องเที่ยวที่ไม่ เก็บอะไรไปนอกจากภาพถ่าย ได้ภาพสมใจแล้วจึงพาตัวเองออกมาที่ท่าน้ำของวัดซึ่งมีต้นลำพูต้นใหญ่แผ่กิ่ง ก้านให้ร่มเงา ฉันนึกถึงหิ่งห้อยใต้ต้นลำพู...เสียดายที่ไม่ได้อยู่รอให้ถึงตอนค่ำ ซ้ำยังไม่มีเวลารีรอถามหาตำนานหิ่งห้อย หรือตำนานรักใต้ต้นลำพูฉบับคลองบางหลวงว่ามีหรือไม่ ต้องรีบกลับออกไปเพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายที่หมายมั่นปั้นมือว่าต้องไปให้ถึง

koh

ผมเพิ่งกลับจากการเที่ยวชมล่องเรือคลองบางหลวงครับ นั่งเรือเมื่อถึงเชิงสะพานคลองบางหลวงน้อย คราวนี้เราเลี้ยวขวาไปตามทางเดินซึ่งเป็นพื้นไม้อยู่ติดริมน้ำ ผ่านบ้านเก่าหลังเล็กหลังน้อยจนสุดทางจึงพบกับประตูรั้วของ บ้านศิลปิน ที่รอให้ได้ผู้มาเยือนเข้าไปเยี่ยมชมด้วยความเต็มอกเต็มใจ

บ้านศิลปิน เป็นอาคารไม้ทรงมะนิลารูปตัวแอลที่สร้างล้อมรอบเจดีย์เก่าซึ่งเป็นเจดีย์ย่อ มุมไม้สิบสอง สันนิษฐานว่าเป็นหนึ่งในสี่ของเจดีย์แต่ละทิศที่กำหนดเขตพื้นที่เก่าของวัด กำแพง ภายหลังอาคารหลังนี้ได้ถูกปรับปรุงใหม่โดยกลุ่มศิลปินเพื่อเป็นที่รวมตัวของ ผู้ที่ทำงานและรักงานศิลปะ โดยยังคงสภาพเก่าของตัวอาคารไว้ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะเจ้าของตั้งใจจะทำทุกอย่างให้กลมกลืนกับชุมชน

ด้านบนของตัวอาคารเปิดเป็นส่วนแสดงงานศิลปะทั้งภาพวาดและภาพถ่ายให้ได้ชมกัน ส่วนด้านล่างแบ่งเป็นพื้นที่ทำงานศิลปะต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีการทำเครื่องประดับรวมอยู่ด้วย โดยผู้ดูแลบ้านศิลปินเล่าว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้ทำเครื่องประดับเป็นของ เก่าที่อยู่กับอาคารหลังนี้ตั้งแต่สมัยก่อนและทุกวันนี้ยังสามารถใช้ได้จริง ทุกๆ วันอาทิตย์ที่นี่จะมีการฝึกอบรมอาชีพการทำเครื่องประดับให้กับผู้ที่สนใจฟรี โดยไม่คิดค่าอบรม

อีกส่วนที่เหลือของพื้นที่ด้านล่างแบ่งเป็นมุมขายของที่ระลึกและโปสการ์ด มีมุมร้านกาแฟให้ได้สั่งเครื่องดื่มมานั่งจิบพร้อมชมวิวทิวทัศน์ริมคลอง เรานั่งรับลมที่พัดเอื่อยๆ เย็นสบาย มองคนที่อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามกำลังให้อาหารปลาอย่างเพลิดเพลิน บางช่วงจะมีเรือหางยาวพานักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติมาทำความ รู้จักกับสถานที่เก่าๆ ในเมืองกรุง คนบนเรือหลายคนยิ้มและโบกมือทักทายให้คนบนฝั่ง เป็นภาพที่น่ารักและช่วยให้ผ่อนคลายเหมือนที่ตั้งใจไว้แต่แรก จนแทบลืมดูเวลากันเลยทีเดียว
****************
หลังจากใช้เวลาเยี่ยมชมบ้านศิลปินอยู่พักใหญ่ แม้จะไม่อยากเคลื่อนย้ายร่างกายแต่ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา เราอำลาบ้านศิลปินไปยังที่หมายถัดไป คราวนี้เดินย้อนไปอีกด้านของสะพาน ตามป้ายที่ระบุว่าเป็นทางเดินสู่ วัดคูหาสวรรค์

ก่อนถึงวัด ร้านแรกที่รอต้อนรับนักเดินเท้า คือร้าน River of Alphabets ร้านเล็กๆ นี้ตกแต่งโทนสีฟ้า-ขาวดูน่ารักอบอุ่น เป็นทั้งร้านขายไอศกรีมโฮมเมดและหนังสือวรรณกรรม ซึ่งไอศกรีมที่ทำนอกจากจะมีรสยอดนิยม อย่างสตรอว์เบอร์รีและช็อกโกแลตแล้ว ยังมีการเพิ่มรสชาติใหม่ๆ เพื่อให้นักชิมได้แวะมาลิ้มลองอยู่เสมอๆ ตรงหน้าร้านมีโต๊ะให้นั่งรับประทานไอศกรีมและอ่านหนังสือเล่มโปรดอย่างสบาย อารมณ์ ร้านนี้ทำเอาฉัน ซึ่งเป็นคนชอบอ่านหนังสือเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องรีบปรี่เข้าไปหาซื้อ หนังสือติดไม้ติดมือไว้อ่านสักเล่มสองเล่ม ส่วนเพื่อนก็ถูกใจไอศกรีมเช่นกัน รีบเข้าไปชะเง้อดูที่ตู้ขอชิมรสโน้นรสนี้ก่อนจะสั่งรสที่โปรดปรานมานั่ง ทานอย่างมีความสุข

สรุปว่าร้านนี้ได้ใจเราไปเต็มๆ พอทานเสร็จเราก็แวะร้านต่อไปซึ่งอยู่ติดๆ กัน แถมยังมีสไตล์เก๋ไก๋ไม่แพ้กัน ทว่าใช้ชื่อเป็นไทยๆ ความหมายตรงตัวว่า ดีเลิศ

ร้านดีเลิศ เป็นร้านขายน้ำปั่นและขนมปังปิ้ง ตกแต่งร้านโดยใช้ของเก่าเน้นกลิ่นอายแบบ Retro ข้าวของส่วนใหญ่ที่ประดับอยู่ในร้านล้วนเป็นของเก่าที่เจ้าของร้านสะสมเอา ไว้ ซึ่งเจ้าของร้านใจดีได้เชื้อเชิญให้เข้าไปถ่ายรูปได้ตามสบาย ถึงแม้ไม่ซื้อของในร้านก็ยังสามารถถ่ายรูปได้ แต่มาทั้งทีมีหรือที่เราจะพลาด จดๆ จ้องๆ ที่เมนูไม่นานก็ตัดสินใจสั่งน้ำแดงโซดาปั่น พร้อมกับขนมปังปิ้งโรยน้ำตาลมาทานเล่นๆ พร้อมกับถ่ายรูปบรรยากาศในร้านไปด้วย

เจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่าเพิ่งมาเปิดร้านนี้ได้ประมาณ 5 เดือน ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ยังใหม่อยู่มากและยังมีความ สงบอยู่พอสมควรเนื่องจากคนไม่พลุกพล่าน ส่วนรายได้ของร้านถือว่าไปได้ คือมีทั้งลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวและผู้คนในชุมชนมาอุดหนุนอยู่เสมอ และทางร้านยังมีของเก่า-โปสการ์ดสไตล์ Retro ไว้ขายสำหรับคนที่อยากซื้อไปเป็นที่ระลึกอีกด้วย สำหรับคนที่ชอบบรรยากาศแบบเก่าๆ น่าจะถูกใจร้านนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ เหลือบมองนาฬิกาอีกทีไม่น่าเชื่อว่าใกล้หมดวันเสียแล้ว ฉันรีบชวนเพื่อนไปให้อาหารปลาที่ท่าน้ำวัดคูหาสวรรค์ก่อนพระอาทิตย์จะหมดแสง เดินไปไม่นานก็ถึงเขตอภัยทาน อาหารปลาที่นี่มีให้เลือกทั้งแบบขนมปังปอนด์และอาหารเม็ดตามแต่ความพอใจของ คนซื้อ ฝูงปลาสวายตัวใหญ่เมื่อได้กลิ่นอาหารก็พากันมารวมตัวอยู่ตรงหน้าและจัดการ กับอาหารอย่างรวดเร็ว แถมยังมีเจ้านกพิราบมาคอยกินเศษที่ตกอยู่ด้วย ช่วงเวลานี้เรียกได้ว่ามีความสุขกันทั้งผู้ให้และผู้รับจริงๆ พอให้อาหารปลา (และนก) เสร็จ ก็ถึงเวลากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอันแสดงวุ่นวาย

เราเดินเรื่อยๆ ข้ามสะพานคลองบางหลวงน้อยกลับมายังปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 3 อีกครั้ง แต่คราวนี้เหมือนกับว่า นี่คือการเดินทางกลับสู่เวลาในปัจจุบัน

ถึงตรงนี้หากใครยังสงสัยอยู่ว่า อดีตนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันได้อย่างไร ขอแนะนำให้ไปสัมผัสด้วยตนเอง เพราะความสุขแบบเรียบง่าย อยู่ใกล้เรา...แค่นิดเดียว
up2
การเดินทาง
สำหรับคนที่สนใจไปเยี่ยมชมชุมชนคลองบางหลวง สามารถเดินทางได้หลายวิธี ถ้าใช้บริการขนส่งมวลชนมุ่งหน้ามาที่ซอยจรัญสนิทวงศ์ 3 จากนั้นใช้บริการนั่งรถสองแถวสีแดงจากปากซอยหรือนั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาจนสุด ซอย จะเห็นซอยเล็กๆ ให้เดินเข้าไปจะเจอสะพานคลองบางหลวงน้อย

หากขับรถมาเองให้จอดรถที่วัดคูหาสวรรค์ สุดซอยเพชรเกษม 28 จากวัดให้เดินเลียบคลองมาเรื่อยๆ จะพบกับบ้านเรือน ร้านค้าต่างๆ หรือจะจอดรถที่วัดกำแพง (บางจาก) อยู่สุดซอยเพชรเกษม 20 ก็ได้ จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเดินเลียบคลอง เป็นทางเดินเล็กๆ ขึ้นสะพาน แล้วจะเจอตรอกทางขวามือ เพื่อเดินไปทางสะพานคลองบางหลวงน้อย ส่วนใครที่สนใจมาทางเรือก็สามารถเหมาเรือจากท่าช้างมายังคลองบางหลวงได้ ถือเป็นการเดินทางที่ได้อารมณ์ย้อนยุคอย่างยิ่ง

ความคิดเห็น

ประกาศล่าสุดในบอร์ดเดียวกัน

9 ปีที่ผ่านมา
manman Icon ต้นไม้แปลกๆ ต้น ซี บัคธอน(Sea Buckthorn) อ่าน 1,983 9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
manman Icon ต้นไม้แปลก ต้นกัวรานา (Guarana ) อ่าน 2,113 9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
manman Icon ต้น ชองทาดูโร (Chontaduro) อ่าน 1,689 9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
manman Icon ผลไม้แปลก ๆ ชื่อว่า อะเซอิ (acai) อ่าน 1,624 9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
manman Icon สถานที่สวยๆ อ่าน 717 9 ปีที่ผ่านมา
9 ปีที่ผ่านมา
manman Icon คลองบางหลวง อ่าน 2,944 13 ปีที่ผ่านมา
13 ปีที่ผ่านมา