spdnbig การขายของผ่านช่องทางต่างๆ โดยที่ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องเปิดหน้าร้านของตัวเอง ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนในการผลิตอีกทางหนึ่ง อีกทั้งเปนการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่เราอาจมองข้ามไป
www.marketathome.com ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งที่มองตลาดนี้ไว้ว่าข้างหน้า การตลาดแบบอีคอมเมิร์ชจะมีความคึกคักในอัตราที่สูง
สรรเสริญ สมัยสุต Mamaging Director บริษัท อีคอมเมิร์ชโซลูชั่น เจ้าของเว็บไซต์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ระดับต้น ๆ ของเมืองไทย ที่จับมือกับ TRUE Iternet ในการให้บริการการชำระเงินผ่านระบบที่มีความน่าเชื่อ่ถือ
ปัจจุบัน บริษัทมีลูกค้า 18,000 ร้านค้า ทีเข้าใช้บริการ โดยทั้งหมดเปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้าออนไลน์ มีการแบ่งหมวดหมู่ หรือ ทำ category กลางไว้ นั่นหมายความว่า นอกจาก marketathome.com จะขายตัวระบบเว็บไซต์แล้ว ก็ยังมีห้างสรรพสินค้ารองรับสินค้าของผู้ที่เข้าใช้บริการระบบเว็บไซต์อีก เท่ากับเป็นการช่วยในเรื่องของการทำตลาด
"เดี๋ยวนี้เรื่องการตลาด เป็นเรื่องที่ยากที่สุด คือการเปิดเว็บไซต์จะมีคนเข้าถึงยาก ทั้งนี้เพราะการเปิดเว็บไซต์ใคร ๆ ก็ทำกันได้ แต่เรื่องของการทำเว็บไซต์ให้มีชื่อเสียง หรือจะทำให้คนเข้าเยอะ ๆ มันยาก จะทำใด้ยอดขายจริง ๆ เป็นเรื่องยาก"
แต่การมีหน้าร้านจริง ๆ มันต้องเสียค่าเช่าที่สูงคือ เดือนหนึ่งหลายหมื่นบาท บางที่เป็นแสน แต่สำหรับเว็บไซต์นั้น เสียเป็นรายปี ๆ หนึ่งก็แค่หลักพันบาท ซึ่งทำให้ต้นทุน่ของสินค้าต่างกัน และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ของที่อยู่บนเน็ตราคาถึงได้ถูกกว่าท้องตลาด
และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ marketathome มีผลการดำเนินการเฉลี่ยสูงขึ้นทุกปี เมื่อปี 2549 มีมูลค่าการซื้อ-ขาย อยู่ที่เดือนละ 20 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมรายที่เข้าไปดู้หน้าร้านเว็บแล้วเขาไปโอนเงินซื้อขายกันโดยตรง และยังไม่ผ่าน
ระบบตะกร้าสินค้าออนไลน์
"แนวโน้มธุรกิจนี้โตมาก บอกได้เลยว่าระบบ e-commerce ของบ้านเราเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน เพราะเทรนด์มันเปลี่ยนไป จากเดิมที่ต้องเป็นบริษัทใหญ่เปิดเว็บไซต์เพื่อเป็นหน้าร้านให้บผู้ที่ซื้อทั่วโลกโดยมีทีมไอที เป็นเรื่องเป็นราว แต่วันนี้โอกาสกลับเป็นของพวกรายย่อยที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านไอทีเลย เพราะเว็บไซต์แบบของเราจะจัดการให้หมด ปัญหาเดียวที่ผู้ประกอบการต้องผ่านไปให้ได้คือ จะทำอย่างไรเมื่อมีออเดอร์เข้ามามากกว่าสินค้าที่มีอยู่ในสต๊อก"
ส่วนอุปสรรคในธุรกิจร้านค้าออนไลน์ ก็จะเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น และแนวโน้มการใช้บัตรเครดิต โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัย แต่ที่น่าสนใจก็คือปัจจุบันอินเตอร์เน็ตเมืองไทย ยังมีผู้ใช้เพียงแค่ประมาณ 11% เทียบกับเกาหลี หรือญี่ปุ่นที่กระโดดขึ้นไปที่ 60% นั่นหมายความว่า อีคอมเมิร์ชเมืองไทยเพิ่งเริ่มโตเท่านั้น
..........................................................
ทีมา วารสาร SMEs Today