“… ในประเทศไทยนี้ถ้าดูจากสถิติก็มีพลเมืองเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน จึงสันนิษฐานได้ว่าพลเมืองของประเทศไทยนี้อยู่ในวัยเรียนอยู่เป็นส่วนมาก ทุกๆ ปี การที่ส่วนรวมคือ ประชาชนทั้งประเทศเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาเป็นสิ่งที่ดีแล้ว จึงต้องช่วยกันจัดการให้เยาวชน ให้ประชาชนที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้ได้มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี เราจะไปอาศัยรัฐบาลหรืออาศัยทางราชการที่จะช่วยให้บ้านเมืองมีความเจริญด้าน เดียวไม่ได้เพราะว่าในสมัยนี้ถือว่าเป็นสมัยประชาธิปไตยทุกคนมีส่วนในงานของ ประเทศชาติ... ”
“เจ้าฟ้าหญิงฯ” ทรงโปรดน้ำท่วมพระตำหนัก ยอมจมน้ำเหมือนประชาชน
“เจ้าฟ้าหญิงฯ” เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรรอบตำหนักพระจักรีบง
ทรงตรัสสัญญาจะไม่ปั้มน้ำออกจาก
จะยอมจมน้ำเหมือนประชาชนทุกคน
ขอใจทุกคนสู้ อดทน พวกเราจะฝ่าวิกฤตการณ์นี้ไปด้วย
... วันนี้ 31 ต.ค. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
เสด็จไปที่สะพานนนทบุรี พระทับเรือพระที่นั่ง ไปพระตำหนักจักรีบงกช
เพื่อทรงเยี่ยมราษฎรโดยรอบที่อา
จากปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ จ.ปทุมธานี ทำให้น้ำท่วมตำหนักจักรีบงกชและ
ไฟฟ้าและน้ำประปาถูกตัด การเดินทางต้องใช้เรือเป็นหลัก
ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
ได้เสด็จประทับที่โรงพยาบาลศิริ
ในการนี้ได้พระราชทานถุงยังชีพ และพระราชทานกำลังใจแก่ราษฎรผู้
พร้อมทรงตรัส “ข้าพเจ้าเข้าใจคนที่ลำบากน้ำท่
แต่ยังคิดว่ามีแรงเหลือมาช่วยพี
และสัตว์เลี้ยง ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะไม่ปั๊มน้ำออ
ข้าพเจ้ายอมจมน้ำเหมือนประชาชนท
ข้าพเจ้าได้สั่งแม่บ้านของข้าพเ
ที่ไม่สามารถออกมาได้ ได้ทราบว่าแม่บ้านได้ทำอาหารแจก
ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะกลับมากรุงเท
ขอใจทุกคนสู้ อดทน พวกเราจะฝ่าวิกฤตการณ์นี้ไปด้วย
( โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 31 ตุลาคม 2554 )
"เมื่อคืนเวลาประมาณเกือบๆห้าทุ่ม ณ สะพานที่หนึ่งในเขตทวีวัฒนา มีรถคันนึงจอดอยู่บนสะพาน ชาวบ้านแถวนั้นเห็นจึงเข้าไปเคาะกระจกรถเพื่อที่จะบอกว่าเค้ามีคำสั่งให้อพยพแล้ว เมื่อชาวบ้านพยายามมองเข้าไปในรถ ภาพที่เห็น กลับทำให้ชาวบ้านคนนั้นถึงกับเข่าทรุด เพราะคนที่นั่งอยู่ในรถ คือ พระเจ้าอยู่หัวของเรา กับสมเด็จพระเทพที่เสด็จมาดูปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง" ฟังไปก็ขนลุกไป ตื้นตันมาก ขอพระองค์ทั้งสองทรงพระเจริญ รู้รึยังว่าใครที่ห่วงใยเราตลอดเวลา ใครที่เป็นผู้นำ ใครที่แม้ไม่สบายแต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา ยังจำกันได้ไหม ตอนที่พระองค์พูดว่า ถ้าหากพวกท่านไม่ละทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะละทิ้งพวกท่านได้อย่างไร พระองค์ทรงทำตามคำพูดคำสัญญาตลอด ทรงพระเจริญ !
พระราชดำรัสในหลวง กับการป้องกันน้ำท่วม ปี 2538
หลายๆ เรื่องที่เราเถียงกันอยู่ในวันนี้ ทั้งเรื่องการดันน้ำ การสร้างแนวน้ำท่วมไหลผ่าน การตัดเจาะถนน การกั้นน้ำ การสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น การระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพล ฯลฯ ท่านทรงเคยให้คำอธิบายและแนวทางการทำเอาไว้ ... แต่ก็ไม่มีใครนำพา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งเรื่อง การป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ 2538 ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เวลา 20:40-22:45 วันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2538
วันที่ 18 กันยายน 2538 ฝนตกหนักในกรุงเทพฯ พายุดีเปรสชั่น Ryan ทำให้ฝนตกมากเหนือประเทศไทยและกรุงเทพฯ น้ำเหนือไหลบ่าลงมาจะเข้าท่วมกรุงเทพฯ การระบายน้ำออกจากเขื่อนสิริกิติ์ทำมากกว่าเขื่อนภูมิพล สร้างปัญหาน้ำจะเข้าท่วมกรุงเทพฯปี 2538 ทันทีในวันรุ่งขึ้น วันที่ 19 กันยายน 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกประชุมข้าราชการที่เกี่ยวข้องเป็นการด่วน ทรงอธิบายต่อที่ประชุมฉุกเฉินข้าราชการกรมชลประทาน (อธิบดี และ รองอธิบดี -ปราโมทย์ ไม้กลัด, สวัสดิ์ วัฒนายากร, รุ่งเรือง จุลชาต), ผู้ว่าฯกทม. (กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา), ปลัด กทม. (ประเสริฐ สมะลาภา) และองคมนตรี ที่มีความชำนาญเรื่องน้ำและวิศวกรรม รวมทั้งข้าราชการผู้ชำนาญเรื่องน้ำอีกหลายท่าน ทุกคนนั่งร่วมโต๊ะประชุมแบบล้อมวงรีร่วมกับพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงรับสั่งให้เร่งแก้ปัญหาพร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดทางวิชาการ วิธีการทำงานป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ให้น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำตามธรรมชาติของน้ำ ทรงให้ขุดตัดถนนที่ขวางทางน้ำ ขุดใต้ทางรถไฟ หาทางให้น้ำไหลลอดออกลงคลองระบายน้ำ เพื่อให้ลงทะเลไปโดยเร็ว ทรงรับสั่งทำให้เสร็จในสามวัน ส่วนโครงการใหญ่ระยาวก็ทรงให้เตรียมการขุดขยายคูคลองระบบประตูระบายน้ำและสูบน้ำต่างๆ การทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาจต้องเสียสละและอาจต้องโยกย้ายออกจากที่สาธารณะริมคลองต่างๆ ทรงประสงค์จะให้เร่งทำความเข้าใจกับประชนชนถึงความสำคัญของโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้นของกรมชลประทาน และโครงการอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำต่างๆในภาคเหนือ ฯลฯ
ใคร ??? คนหนึ่งที่ไม่ค่อยสบาย แต่หมั่นออกมาดูระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา
ใครคนนี้เคยพูดไว้เมื่อหลายสิบปีก่อนว่า
"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้"
ไม่จำเป็นต้องบอกว่า "ใครคนนี้ คือ ใคร" แต่สิ่งที่อยากจะฝากไว้หากคุณรัก "ใครคนนี้" คุณต้องอ่านสิ่งข้างล่างนี้ และ ทำมันให้ได้
1. "ใครคนนี้" มีลูกหลายคน ลูกแต่ละคนใส่ก็มีความคิดที่แตกต่างกัน
ลูกบางคนก็รัก "ใครคนนี้" บางคนก็ด่า "ใคร" คนนี้
แต่ "ใครคนนี้" ไม่เคยว่าลูกของตนเองเลย "ย้ำว่าไม่เคยว่าเลย"
ที่สำคัญ คือ "ใครคนนี้" ไม่ปรารถนาให้ลูกของตนเองทะเลาะกัน
แถมยังบอกอีกต่างหากว่า "ถ้าพ่อทำผิด วิจารณ์ได้นะ"
2. ถ้าคุณเจอลูกของ "ใครคนนี้" ที่กำลังด่า "พ่อ" ของเขาอยู่
ขอให้คน "อดทน" อย่าไปด่าหรือตอบโต้ "ลูกกลุ่มหนึ่งที่เข้าใจผิดอยู่"
เพราะการไป "ปะทะทางวาจา" จะทำให้ใจเราเสีย
ที่สำคัญ คือ จะเป็นการต่อกรรมไม่จบไม่สิ้น
โดยเฉพาะกรรมทางวาจาในโลกไซเบอร์ที่กระจายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
หลายคนอาจสงสัยว่า "ทำไมเราต้องอภัยให้คนกลุ่มที่เข้าใจผิด"
ผมตอบได้สั้น ๆ ว่า "ก็เพราะว่าพวกเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นลูกที่ใครคนนี้รัก"
3. ถ้าคุณรัก "ใครคนนี้" จริงขอให้คุณหมั่นทำแต่ความดี
ทำให้ "ใครคนนี้" รับรู้ว่า ยังมี "ลูกอยู่กลุ่มหนึ่ง"
แม้จะเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก แต่เป็นลูกที่พร้อมที่จะเดินตามรอยพ่อ
เป็นลูกที่เชื่อใน "ความดีที่พ่อสอนและความดีที่พ่อทำ"
"ศีล 5" คือ เครื่องบ่งชี้ว่า คุณมีคุณสมบัติที่จะเป็นลูกของ "ใครคนนี้หรือไม่"
สำรวจตัวเอง "ทั้งกาย วาจา และใจ" หากศีลยังไม่ครบ ก็อาราธนาให้ครบ
อ่านจบแล้ว คุณพร้อมหรือยังที่จะ "เป็นลูกที่ดีของพ่อคนนี้"
ผมไม่ได้เขียนเพื่อทับถมหรือตำหนิใคร แต่ผมเขียนเพื่อเตือนสติตัวเอง และเตือนสติพี่น้อง (คนไทย) ที่รักของผม เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เราห้ามความเสียหายไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่เรา "รักษาใจของเรา" ให้มั่นคงในความดีได้
อย่า "เอาอารมณ์ของข่าวที่กำลังขัดแย้ง เข้ามาในใจของเขา และผสมโรงด่าเหมารวมเหมือนคนอื่น ๆ เขา เพราะโทษที่เกิดขึ้นเป็นกรรมปัจจุบัน เวลามันสะท้อนกลับจะรุนแรงมหาศาล เนื่องจากเป็นกรรมทางวาจาของคนหมู่มาก"
Credit: http://board.palungjit.com/
แพทย์เผยในหลวงทรงเป็นห่วงพสกนิกรที่ประสบภัยน้ำท่วม ขณะที่ตลาดวังหลังผู้ประกอบการต่างปิดร้านไม่มีกำหนดหลังแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นต่อเนื่อง
ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ทางคณะแพทยศาสตร์ มีการกราบบังคมทูลถวายรายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ภาวะน้ำท่วม ทั้งถวายรายงานด้วยวาจาและถวายรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสนพระทัย ทรงพระเมตตา และทรงทอดพระเนตรด้วยสายพระเนตรอย่างมีพระเมตตา พระองค์ทรงเป็นห่วงประชาชน ทุกสิ่งอยู่อย่างอยู่ในพระเนตรพระกรรณ พระองค์ท่านตลอด
ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริเวณตลาดวังหลัง ที่อยู่ใกล้ รพ.ศิริราช ว่า ในวันนี้ผู้ประกอบการต่างพากันปิดร้านอย่างไม่มีกำหนด หลังน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นท่วมขังอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รับร้องเรียนว่ามีร้านอาหารบางแห่งในบริเวณฉวยโอกาสขึ้นราคาค่าอาหารและน้ำดื่ม จึงต้องการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบและจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ในหลวงรับสั่งน้ำท่วมปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษในเขตพระราชฐาน
ผบ.ทบ.เผยในหลวงรับสั่งน้ำท่วมปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษในเขตพระราชทาน แต่ขอให้ดูแลทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง
ที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 26 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงตรวจน้ำท่วมพื้นที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ว่า ในส่วนของพื้นที่บางพลัดอยากให้กำหนดโซนพื้นที่ในการขนย้ายให้รวดเร็ว หากประชาชนไม่ยอมอพยพก็ต้องยอมรับสภาพ และมารับของบริจาคเอง
ทั้งนี้เห็นว่าเมื่อน้ำท่วมหมดแล้วก็ควรต้องย้าย แต่ห่วงเรื่องรถทหารเพื่อขนย้ายมีไม่เพียงพอ จึงอยากให้นำรถของทุกส่วนราชการ เช่น ขสมก.รถของสำนักงานเขตบางพลัดระดมมาช่วยกัน นอกจากนี้หากน้ำท่วมสูงจะทำให้รถใหญ่ไม่สามารถวิ่งได้รวมทั้งซอยจรัญฯ เป็นซอยเล็กก็จะมีความลำบาก ตนอยากให้เตรียมแผนเรื่องการอพยพทางเรือ โดยให้นำเรือของกองทัพบกที่ใช้ดันน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มี 10 ลำ เอาออกมาใช้ขนย้ายประชาชน 5 ลำโดยประสานกับ ศปภ.เพื่อขออนุมัติถอนมา
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าได้มาตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาที่ช่วยเหลือประชาชนอยู่ในเขตบางพลัด โดยน้ำเข้าไปในพื้นที่ 2 วันแล้ว กองทัพบกพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชน และสิ่งที่กองทัพบกดำเนินการเป็นไปตามแผนงานของ ศปภ.ได้วางไว้ทั้งสิ้น
สำหรับกรณีที่กระทรวงกลาโหมมอบหมายให้กองทัพบกดูแลเขตพระราชฐานนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าได้ประสานงานกับสำนักพระราชวังแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งพื้นที่ภายในให้เขาดำเนินการเอง
“ท่านทรงเป็นห่วงประชาชน อยากให้เป็นไปตามธรรมชาติ นี่พระมหากรุณาธิคุณ ท่านห่วงประชาชนตลอด ท่านก็บอกว่าให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ ท่านจึงไม่ทรงโปรด และทรงรับสั่งว่า เป็นน้ำท่วมก็ขอปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อยากให้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ในฐานะที่กองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบก็จะทำเฉพาะที่ประสานได้ และต้องตอบคำถามของรัฐบาลด้วย” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในส่วนของการดูแลเขตพระราชฐานนั้น ต้องเป็นไปตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงรับสั่งว่าให้ดูแลทุกพื้นที่ให้ทั่วถึง ทางกองทัพบกก็จะทำให้ดีที่สุด แต่สิ่งสำคัญทุกคนต้องตระหนักไว้เสมอว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ทรงห่วงใยประชาชนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการพระราชทางพระราชดำริ พระราชทานสิ่งของเยี่ยม ความห่วงใย สิ่งเหล่านี้เราต้องสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ และจะนำพาให้บ้านเมืองเราอยู่รอดและประชาชนปลอดภัย
ภูมินทร์ ผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดิน
เป็นมิ่งขวัญ ปวงราษฎร์ ชาติไทยแท้
ทรงคิดแก้ ปัญหา สาระพัด
น้ำดินมา พระองค์ ทรงเจนจัด
ที่ใดขัด ข้องคิด ทรงพิจารณ์
ทรงชี้จุด ปัญหา ให้พาแก้
ช่วยชี้แนะ ทั้งสิ้น ทุกถิ่นฐาน
ทรงเข้าใจ น้ำไหล ในลำธาร
ทรงแตกฉาน หยั่งรู้ สมภูมินทร์
จะหาใคร ในพื้น พิภพนี้
มาแทนที่ รู้แจ้ง แหล่งทั้งสิ้น
ทรงชำนาญ การเกษตร บนพื้นดิน
โอ้ภูมินทร์ ภูมิพล ล้นอนันต์.
...หยาดกวี...
๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔
ธ ทรงเป็นขวัญเกล้าชาวสยาม
ทุกโมงยามตามติดคิดแก้ไข
ทรงดำริเตรียมแก้มลิงรับน้ำไว้
ด้วยห่วงใยประเทศชาติราษฎร
อุทกภัยครานี้มากที่สุด
มิอาจหยุดกั้นขวางได้ใช่สิงขร
ทรงดำริเปิดทางให้น้ำไหลก่อน
แม้นเข้านครผ่านสวนจิตรอย่าปิดเลย
ทรงร่วมทุกข์ ร่วมสุขปวงประชา
ทุกหย่อมหญ้าทรงเยียวยาหานิ่งเฉย
สุดตื้นตันน้ำพระทัยไร้คำเปรย
ยอกรเอ่ย ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ ๛
.. ตั้งแต่น้ำท่วมมา ในหลวงท่านทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อช่วยเหลือไปแล้วมากกว่า 63 ล้านบาท
..และตั้งแต่น้ำท่วม สมเด็จพระเทพฯ และพระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรชายา เสด็จไปกับรถทหารเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยไปเป็นการส่วนพระองค์โดยไม่มีใครรู้ ...
...พ่อของแผ่นดิน นับตั้งแต่เกิดน้ำท่วมพระองค์ทรงนั่งมองปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาทุกวัน แม้ในยามที่พระองค์ทรงพระประชวร และรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลศิริราช ก็ยังมีคำสั่งให้คณะแพทย์และบุคคลใกล้ชิดช่วยกันรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาถวาย เพื่อหาแนวทางป้องกัน และทรงเปลี่ยนห้องที่พระองค์พักรักษาตัวเป็นห้องทรงงาน พระองค์ทอดพระเนตรดูข่าวเกี่ยวกับน้ำท่วมทั้งวัน จนบ่อยครั้งที่พระองค์ลืมเสวยพระกยาหาร จนหมอส่วนพระองค์ต้องคอยเตือนอยู่ตลอด...
http://www.oknation.net/blog/jarrunee/2011/10/25/entry-1
เวลา 17.58 น.วันนี้ (9 กันยายน 2554) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออก ณ ห้องประชุม สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และการเกษตร นำคณะผู้บริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และการเกษตร องค์การมหาชน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโยลี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลรายงานผลการดำเนินงานของสถาบัน และรับพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการดำเนินงานของสถาบัน
ในปีนี้ ราษฎรได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยอย่างหนักในหลายพื้นที่ เนื่องจากฝนที่มาเร็วกว่าปกติ ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา และตกต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำหลายแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนใกล้เต็มความจุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยราษฎรที่กำลังประสบภัยดังกล่าว จึงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้บริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และการเกษตรและผู้เกี่ยวข้อง เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับพระราชทานพระราชดำริ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาช่วยเหลือราษฎรต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำริด้านงานวิจัย ระบบโทรมาตร และแบบจำลองลมให้สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ และการเกษตร องค์การมหาชน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้พัฒนาเทคโนโลยีโทรมาตรตรวจวัดระดับน้ำในแม่น้ำด้วยคลื่นเรดาร์ พร้อมกันนี้ สถาบันได้ร่วมมือกับกรมอุตุนิยมวิทยา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการจัดทำแบบจำลองลม และแบบจำลองสภาพอากาศ ที่สามารถคาดการณ์ลม และสภาพอากาศล่วงหน้าได้ 7 วัน เพื่อส่งข้อมูลให้แก่หน่วยงานต่างๆ นำไปใช้ในการป้องกัน และบรรเทาปัญหาอุทกภัย ติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์
การนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียง “... แบบจริงจัง แต่ว่า ที่ย้ำว่ามีประโยชน์ เพราะว่า โดยมาก เศรษฐกิจพอเพียงนี้ ก็มาเป็นแบบเล่นๆ แบบเล่นๆ เกินไป เป็นการ คำว่า เศรษฐกิจ และก็พอเพียง ก็บางทีไม่ค่อยเข้าใจ ว่า พอเพียงอะไร แต่ตามความคิดของตัว พอเพียงก็แปลว่า ทำอะไร ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ฟุ้งซ่าน และทำให้ได้ผล พอดีผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจะต้องพยายามที่จะอธิบายว่า เป็นเศรษฐกิจ และความพอเพียง ก็คือ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ทำอะไรให้มันเกินไป พอทำอะไรให้ เมื่อทำแล้วได้ผล ในการทำ และถ้าได้ผลก็หมายความว่า ประหยัด สำหรับชาวบ้าน คนที่ที่ทำเศรษฐกิจนี้เอง สำหรับผู้ที่เป็นนักทฤษฎีหรือผู้ที่เป็นผู้เจรจาก็ต้องหาเหตุผลของเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าหาเหตุผลได้ก็เชื่อว่าเหตุผลนี้ก็จะได้ประโยชน์ เมื่อได้ประโยชน์ชาวบ้านในประเทศก็จะได้ประโยชน์ เมื่อได้ประโยชน์แล้วเขาจะมีความร่ำรวยขึ้นโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ถ้าทำได้แล้วจะเป็นการช่วยประเทศชาติให้อยู่ได้ ถ้าไม่เอาใจใส่ในความคิดเหล่านี้ ก็งานทั้งหลายที่เราทำก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย”
จังหวัดสุรินทร์ สร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ
นายเสนอ พิศเพ็ง หัวหน้าสำนักงานจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทย แจ้งว่า คณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรม ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงาน เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 54 ได้กำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางพิจารณาคัดเลือกโครงการและกิจกรรม และการจัดสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ ให้ทุกจังหวัดจัดสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ ขึ้นในจังหวัด พร้อมทั้งตกแต่งธงชาติไทย โคมไฟ และตราสัญลักษณ์ เพื่อความสง่างาม และสมพระเกียรติ จังหวัดสุรินทร์ จึงจัดสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ ในพื้นที่ จำนวน 16 แห่ง และปรับปรุง เพื่อความสง่างามและสมพระเกียรติ
Link : http://www.innnews.co.th/สุรินทร์สร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯในหลวง--317593_06.html
กระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2494
“…ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดมาว่าชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัสประหารซึ่งกันและกัน บางพรรคบางพวก ถึงกับเป็นไส้ศึกให้ศัตรูมาจู่โจมทำลายชาติของตนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ให้ระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ ซึ่งได้กอบกู้รักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรามานั้นให้จงหนัก แล้วถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติเป็นคุณธรรมประจำใจอยู่เนืองนิจ จึงขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย จงบำเพ็ญกรณีกิจของตนแต่ละคน ด้วยซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและกล้าหาญ แล้วอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อยลำบากยากแค้น เป็นพลีบูชาบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้”
ในหลวงกับสิ่งแวดล้อม
“...ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่มีความสำคัญควบคู่กับการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศ กล่าวคือการพัฒนา ยิ่งรุดหน้าปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และภาวะมลพิษก็ยิ่งก่อตัว และทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง ที่กำลังประสบกับปัญหาดังกล่าวอยู่ในขณะนี้...” พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2545
นับตั้งแต่ในหลวงของเราขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2493 ท่านทรงมีพระราชกรณียกิจหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นด้านการอนุรักษ์น้ำ ดิน หรือป่าไม้ โดยพระราชกรณียกิจเหล่านี้เกิดขึ้นจากพระอัจฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และ แก้ไขทฤษฎี และวิธีการต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของพสกนิกรและระบบนิเวศอันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainable Development) ของประเทศไทยของเรา ดังนั้น เราจึงขนานนามในหลวงของเราว่า “พระบิดาแห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
แนะ 80 วิธีทำความดีง่ายๆ ถวายในหลวง
เนื่องในโอกาสปี 2554 เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอนำเสนอ 80 วิธีทำดีต่อตนเอง ต่อสังคมรอบข้าง ตลอดจนประเทศชาติ มาให้ทุกคนได้ลองเลือกไปปฏิบัติตามความถนัดและความชอบ เพื่อนำมาซึ่งความสุขและความสมานฉันท์ของชาติและเพื่อถวายแด่ "ในหลวง" ที่รักยิ่งของเรา ดังต่อไปนี้
- ทำดีต่อตนเอง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราได้รู้สึกดีๆ และพร้อมที่จะแบ่งปันความสุขไปให้ผู้อื่น ได้แก่ 1. ตื่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นทุกเช้า พร้อมยิ้มแย้มแจ่มใสรับวันใหม่ 2. ไหว้พระก่อนออกจากบ้านเพื่อเตือนสติและเพื่อสิริมงคลแก่ตน 3. สวัสดีคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่ก่อนและหลังกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงานทุกครั้ง 4. ตั้งใจไม่โมโห หรือไม่โกรธใคร อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 วัน 5. ไม่พาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง 6. อ่านหนังสือดีๆอย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา และนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต 7. พูดคำว่า "ขอบคุณ" หรือ "ขอบใจ" ทุกครั้ง เมื่อผู้อื่นทำอะไรให้ เช่น ช่วยถือของ ให้บริการ 8. อย่าลืม "ขอโทษ" เมื่อทำผิดต่อผู้อื่นทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ หรือเมื่อทำสิ่งใดผิดพลาด 9. มีหลักการ ยึดมั่นในคุณความดี และมีความเพียรพยายาม 10. ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ด้วยการตั้งใจทำสิ่งใด ก็เพียรทำให้สำเร็จ ไม่เบี้ยวแม้แต่กับตนเอง
- ทำดีต่อครอบครัว ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเราที่สุด และมีผลต่อความสุขของสมาชิกทุกคน ได้แก่ 11. ลดการบ่นว่า ดุด่าคนในครอบครัวให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นลูก สามี/ภริยา พี่น้อง เพื่อลดความเครียดในบ้านและทำให้ทุกคนรู้สึกบ้านน่าอยู่ไม่ร้อนหูร้อนใจ 12. พาสมาชิกในครอบครัวไปกินอาหารนอกบ้านหรือไปเที่ยวบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ 13. ช่วยกันลดรายจ่ายด้วยการไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น เพื่อมิให้เป็นหนี้สินหรือเงินไม่พอใช้ 14. ไม่คิดจะมีกิ๊ก หรือเป็นชู้กับสามี/ภริยาผู้อื่น อันเป็นสาเหตุให้ครอบครัวเราและผู้อื่นเกิดความแตกแยก 15. พูดจาไพเราะ สุภาพกับสมาชิกในบ้าน ไม่ตะคอกด่าทอหรือจิกเรียกด้วยถ้อยคำหยาบคาย 16. มีสัมมาคารวะ และแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ในบ้านทั้งพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือพี่ป้าน้าอา เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ลูกหลาน 17. มีน้ำใจกับคนในบ้าน เช่น ช่วยพ่อแม่ล้างถ้วยชาม ช่วยภริยากวาดถูบ้าน ช่วยพาพ่อ/แม่ของสามีหรือภริยาไปหาหมอ ซื้อของใช้ให้สามี/ภริยา 18. ไม่เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในบ้าน เช่น ฟังสามี/ภริยา ฟังลูกว่าต้องการอะไรบ้างเพื่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน 19. พูดจาชมเชยและให้กำลังใจแก่สมาชิกในบ้าน เช่น ชมว่าแต่งตัวดี ทำกับข้าวอร่อย วาดภาพสวย เป็นต้น 20. พาครอบครัวไปทำบุญสร้างกุศลร่วมกันในโอกาสวันสำคัญต่างๆ เช่น วันเกิด วันวิสาขบูชา ฯลฯ เพื่อให้สมาชิกได้ใกล้ชิดกับพระศาสนา และได้เห็นแบบอย่างการทำดีอย่างเป็นรูปธรรม
- ทำดีต่อเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน หากปลูกไมตรีต่อกันได้ ย่อมจะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ดังนั้น จึงควรทำดีต่อกัน ดังนี้ 21. ยิ้มและทักทายเมื่อพบกัน 22. ช่วยดูแล สอดส่องบ้านให้เมื่อเพื่อนบ้านไม่อยู่ หรือไปต่างจังหวัด หรือช่วยแจ้งเหตุหากมีสิ่งใดผิดปกติ 23. ซื้อของขวัญหรือของฝากไปให้บ้างตามโอกาส เช่น วันปีใหม่ วันตรุษจีน หรือเมื่อกลับจากต่างถิ่น เพื่อเป็นการผูกมิตรหรือขอบคุณเขาที่ช่วยดูบ้านให้ 24. ไม่เลี้ยงสัตว์หรือปลูกต้นไม้ที่จะสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจมาสู่เพื่อนบ้าน หรือเป็นมูลเหตุให้เกิดการทะเลาะกัน เช่น สัตว์ส่งเสียงดังรบกวน หรือใบไม้ร่วงไปรกบ้านเขา 25. ไม่จอดรถขวางทางเข้าบ้านของเขา หรือในที่ที่เขาจอดประจำ 26. ไม่พาสัตว์เลี้ยงเช่น หมา แมว ไปอึหรือฉี่หน้าบ้าน ต้นไม้ของเขา 27. ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ หรือคาราโอเกะเสียงดังจนรบกวนเขา โดยเฉพาะในวันหยุด 28. ไม่ซ้อมดนตรี /จัดงานหรือส่งเสียงเอะอะ โวยวายรบกวนเพื่อนบ้าน ควรจะจัดเวลาซ้อมที่ไม่เช้าหรือดึกเกินไป หรือไม่ก็ควรจะไปซ้อมที่อื่น และไม่ควรพาเพื่อนมาตั้งวงกินเหล้าส่งเสียงดัง หนวกหูชาวบ้านเขาทุกอาทิตย์ 29. ไม่กวาดขยะไปกองหรือทำสกปรกหน้าบ้านผู้อื่น ควรกวาดและเก็บใส่ถุงหรือถังขยะให้เรียบร้อย 30. ร่วมกิจกรรมสังสรรค์ที่จัดขึ้นในหมู่บ้านหรือชุมชนของเราเองบ้างตามโอกาสอันควร
- ดีต่อเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะทำให้การทำงานของเราราบรื่น เกิดความสามัคคี และมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของเราด้วย ได้แก่ 31. ยิ้มแย้มแจ่มใส รู้จักโอภาปราศรัยต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่ทำเมิน หรือทำหน้าเฉยเมยไร้ชีวิตเมื่อเจอกัน 32. ช่วยแนะหรือสอนงานที่เรามีความชำนาญให้ 33. แสดงความยินดีหรือชมเชยเมื่อเขาประสบความสำเร็จหรือได้รับรางวัล 34. ซื้อของขวัญ ให้เงิน หรือการ์ดอวยพรในโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด วันแต่งงาน คลอดลูก 35. แสดงความเสียใจหรือปลอบใจเมื่อเขาประสบเหตุหรือโชคร้าย เช่น พ่อแม่ตาย ถูกขโมยขึ้นบ้าน 36. ช่วยเหลือ ตักเตือนหรือชี้แนะเมื่อเขาทำผิดพลาดด้วยความจริงใจ ไม่ซ้ำเติม 37. ไม่ขโมยผลงานของเขามาเสนอเป็นผลงานของเรา 38.ไม่ใส่ร้ายป้ายสี หรือยุยงให้เพื่อนร่วมงานแตกคอ หรือทะเลาะวิวาทกัน 39. แนะนำหนังสือ ร้านอาหาร วัด หรือสถานที่ดีๆแก่เพื่อนให้เขาได้ไปใช้บริการบ้าง 40. รู้จักอยู่ช่วยงานหรือร่วมกิจกรรมที่เพื่อนในหน่วยงานจัดขึ้น แม้จะมิใช่งานของเรา เพื่อจะได้รู้จักสนิทสนม และทำงานเข้าขากันได้มากขึ้น
- ดีต่อหน่วยงานหรือที่ทำงานของตน ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ประกอบอาชีพ ทำให้เรามีกินมีใช้ เราจึงควรต้องกตัญญูรู้คุณ ด้วยการ 41. ซื่อสัตย์ต่อหน่วยงาน ไม่โกงเวลา โกงทรัพย์สินของหน่วยงาน 42. ไม่นินทาว่าร้าย หรือดูถูกหน่วยงานของเราเอง หากเราคิดว่าไม่ดี ก็ควรออกไปหางานอื่นทำ 43. ตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ไม่เอาเปรียบผู้อื่น 44. เมื่อเห็นสิ่งใดไม่ดีในหน่วยงาน ต้องร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข ไม่ใช่ซ้ำเติมหรือเมินเฉย 45. ให้บริการหรือพูดจากับผู้มาติดต่อกับหน่วยงานให้สุภาพ ไพเราะเพื่อให้เกิดความประทับใจที่ดี 46. ใช้ทรัพยากรต่างๆของหน่วยงานอย่างประหยัด คุ้มค่าให้เหมือนสมบัติของเราเอง 47. ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ ทำลายระเบียบที่ดีจนหน่วยงานเละเทะ ยุ่งเหยิงเพราะต่างทำตามใจตนเองจนควบคุมไม่ได้ 48. รู้จักเสียสละเพื่อหน่วยงานบ้างบางโอกาส เช่น ทำงานโดยไม่เอาโอ.ทีหรือร่วมลงขันจัดกิจกรรมให้หน่วยงาน 49. ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้หน่วยงาน เช่น แข่งกีฬาชนะเลิศ จัดทำโครงการดีๆเพื่อสังคม 50. ต้องมีความภาคภูมิใจในหน่วยงานของตน
- ดีต่อสังคม ซึ่งมีเราเป็นหน่วยหนึ่ง ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆตัวเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพราะจะเต็มไปด้วยความเอื้ออาทร และความมีไมตรีจิตต่อกัน ด้วยการ 51. ส่งของกิน ของใช้ หรือเงินไปบริจาคมูลนิธิต่างๆเมื่อถึงวันเกิด หรือวันสำคัญอื่นๆของตน 52. ทำหนังสือชมเชยไปยังบุคคล หรือหน่วยงานที่ให้บริการที่ดีเพื่อเป็นกำลังใจ และเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น เช่นเขียนไปชมกระเป๋ารถเมล์ที่พูดจาดี ช่วยพยุงคนแก่ขึ้นรถ 53. ช่วยกันรักษาความสะอาดและถนอมใช้สมบัติสาธารณะให้มีอายุยืนนาน เช่น ไม่ขีดเขียนในห้องน้ำสาธารณะ ไม่ทิ้งขยะ/ถ่มน้ำลายบนถนนหนทางหรือในแม่น้ำลำคลอง 54. ช่วยกดลิฟท์ให้กับผู้ร่วมทาง หรือช่วยถือของหนักให้กับคนบนรถเมล์ 55. ไม่แซงคิวใดๆที่เขากำลังเข้าแถวรอรับบริการ เช่น ซื้อตั๋วหนัง หรือเข้าส้วม 56. นำหนังสือดีๆ หรือหนังสือธรรมะ ไปบริจาคตามโรงพยาบาลรัฐ เช่น ห้องรอรับการรักษา ห้องพักผู้ป่วย ห้องพยาบาล เป็นต้น เพื่อเป็นการแนะวิธีปฏิบัติตน และช่วยปลุกปลอบใจ 57. ขับรถตามกฎจราจร มีน้ำใจให้กับรถคันอื่น ไม่แซงซ้ายป่ายขวา และจอดรถให้คนข้ามถนนบ้าง 58. อ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือดีๆใส่เทป ซีดี ส่งไปให้คนตาบอดฟัง 59. รับเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ให้เด็กที่ด้อยโอกาสได้เรียนหนังสือ 60. ให้ความช่วยเหลือ/แนะนำแก่ผู้อื่นในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยทำ เช่น แนะวิธีคาดเข็มขัดบนเครื่องบิน แนะวิธีใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายในฟิตเนส
- ดีต่อศาสนา อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข เราจึงควรสืบทอดศาสนาให้ยั่งยืนต่อไปยังลูกหลานของเราด้วยการ 61. ศึกษาหลักธรรมในศาสนาของเราให้รู้จริง 62. ปฏิบัติตามธรรมะที่ศาสดาสอนไว้ 63. ช่วยเหลือแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง 64. ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาอื่น อันเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก 65. ทำบุญตามหลักศาสนาของตนอย่างน้อยเดือนละครั้ง 66. สั่งสอนและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีกับอนุชนรุ่นหลัง 67. ไม่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น 68. ไม่ใช้ศาสนาไปหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อในทางที่ผิด 69. หากเป็นพระ นักบวชต้องทำตนเป็นแบบอย่างและแนะแนวทางดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควรแก่ศาสนิกชน 70. เชื่อมั่น และตั้งใจที่จะช่วยสืบทอดศาสนาทุกวิถีทางที่ดีและถูกต้อง
- ดีต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นแผ่นดินถิ่นเกิดหรือให้เราได้อยู่อาศัย เราจึงควรตอบแทนด้วยการ 71. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งใด 72. ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์ใส่ตัวหรือพวกพ้อง และไม่คิดคอรัปชั่นหรือคดโกงด้วยวิธีการใดๆ 73. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพของตน 74. ช่วยปกป้องหรือรักษาผลประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเมื่อมีโอกาส 75. ไม่เมินเฉยหรือละเลยให้ผู้อื่นมาฉกฉวยผลประโยชน์จากชาติบ้านเมืองของเรา 76. ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี 77. สอนลูกหลานให้รักและภาคภูมิใจในชาติของเรา 78. ตั้งใจศึกษาหาความรู้ และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่ 79. มีความรักความสามัคคีต่อกันในทุกระดับ 80. ช่วยกันรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขของประเทศ
ทั้งหมดคือตัวอย่างการ "ทำความดี" อันหลากหลายที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ แม้บางข้อดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่อย่าลืมว่าหากเราทุกคนตั้งใจทำ ความดีเล็กๆเหล่านี้ก็สามารถรวมเป็น "พลังอันยิ่งใหญ่" ที่ทำให้ทุกคนเป็นสุข เพราะไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และมีผลทำให้ชาติบ้านเมืองร่มเย็นได้ และน่าจะเป็นสิ่งที่ "ในหลวง" ของเรา คงทรงยินดีที่ราษฎรของพระองค์สร้างความดีแก่ตัวและผู้อื่นมากกว่าการสร้างถาวรวัตถุใดๆถวายพระองค์ท่านอย่างแน่นอน
ในหลวงกับคอมพิวเตอร์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่สนพระทัยใฝ่รู้และทรงศึกษาอย่างจริงจัง ลึกซึ้งในการค้นคว้าวิจัยเพื่อการพัฒนาในทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การเกษตร การชลประทาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ทรงเห็นความสำคัญและประโยชน์อย่างยิ่ง ทรงสนับสนุนการค้นคว้าในทางวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในด้านส่วนพระองค์นั้น ทรงศึกษาคิดค้นสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ด้วยพระองค์เอง ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยที่มีลักษณะงดงาม เพื่อแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกพระราชกรณียกิจต่างๆ และทรงติดตั้งเครือข่ายสื่อสารคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนพระราชภารกิจต่างๆ ทั้งยังทรงเคยประดิษฐ์ ส.ค.ส. ด้วยคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนเพื่อทรงอวยพรปวงชนชาวไทย
ความเป็นมาที่พระองค์ท่านทรงเริ่มใช้คอมพิวเตอร์นั้น ม.ล.อัศนี ปราโมช ได้ตกลงใจซื้อคอมพิวเตอร์แมคอินทอชพลัส อันเป็นเครื่องที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย คุณสมบัติอย่างหนึ่งที่ ม.ล.อัศนี เลือกเครื่องนี้ เพราะสามารถเก็บและพิมพ์โน้ตเพลงได้ การเรียนรู้และใช้งานไม่ยาก ทั้งยังอาจเชื่อมต่ออุปกรณ์พิเศษสำหรับเล่นดนตรีตามโน้ตเพลงที่เก็บไว้ได้ด้วย ตั้งแต่นั้น พระองค์ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในงานส่วนพระองค์ทางด้านดนตรี โดยทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการป้อนโน้ตเพลงและเนื้อร้อง พระองค์ท่านทรงศึกษาวิธีการใช้เครื่องและโปรแกรมที่เกี่ยวข้องด้วยพระองค์เอง
สำหรับเรื่องอักขระคอมพิวเตอร์หรือฟอนต์ (Font) นั้นเป็นที่สนพระราชหฤทัย ก็เพราะหลังจากที่พระองค์ท่านได้ทรงศึกษา และใช้คอมพิวเตอร์ทำโน้ต คือเมื่อประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ. 2529 และทรงทดลองใช้โปรแกรม "Fontastic" เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 สิ่งที่ทรงสนพระทัยเป็นพิเศษคือการประดิษฐ์ตัวอักษรไทย ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยหลายแบบ เช่น แบบจิตรลดา แบบภูพิงค์ ฯลฯ ทรงสนพระทัยประดิษฐ์อักษรขนาดใหญ่ที่สุดจนถึงขนาดเล็กที่สุด นอกจากนี้ยังตั้งพระทัยในการประดิษฐ์อักษรภาษาอื่นๆ เพิ่มขึ้น คือภาษาสันสกฤต และทรงดำริจะประดิษฐ์อักษรภาษาญี่ปุ่น แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มประดิษฐ์ รับสั่งว่าต้องใช้เวลามาก ต่อมาก็ได้ทรงหันมาศึกษาการใช้คอมพิวเตอร์แสดงตัวเทวนาครีบนจอภาพ หรือที่พระองค์ท่าน ทรงเรียกว่า "ภาษาแขก" ซึ่งจัดทำได้ยากกว่าตัวอักษรภาษาไทย เพราะตัวอักษรเทวนาครีนั้นรูปแบบไม่คงที่ กล่าวคือ ถ้านำส่วนหนึ่งของอักษรนำมาต่อรวมกับอีกส่วนหนึ่งของอักษร จะเกิดอักษรใหม่ขึ้น และโปรแกรมที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นนั้นมีตัว phonetic symbols การสร้างตัวอักษรเทวนาครีนั้น ทรงเริ่มเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2530 ทรงศึกษาตัวอักษรเทวนาครีด้วยพระองค์เอง จากพจนานุกรมและตำราภาษาสันสกฤต และทรงสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาบาลีสันสกฤต เช่น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และท่านองคมนตรี ม.ล. จิรายุ นพวงศ์ ซึ่งจะต้องตรวจสอบตัวอักษรที่ทรงสร้างขึ้น พระองค์นำโปรแกรมออกแสดงเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2530 มีคำถามว่า เหตุใดพระองค์ท่านจึงทรงสนพระราชหฤทัยในตัวอักษรเทวนาครีหรือภาษาแขก เรื่องนี้มีผู้อธิบายไว้ว่า ในหลวงที่รักของพวกเรานั้น ทรงศึกษาข้อธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังและลึกซึ้ง การที่ทรงศึกษาตัวอักษรแขก ก็เพื่อเป็นการนำไปสู่ความเข้าใจด้านอักษรศาสตร์ และความเข้าใจในหัวข้อธรรมะนั่นเอง เรื่องนี้นับว่าพระองค์มีวิจารณญาณที่ลึกซึ้งยิ่งนัก เพราะคำสอนและข้อธรรมะในพุทธศาสนานั้น เดิมทีก็เกิดและเผยแพร่มาจากประเทศอินเดีย บรรดาธรรมะที่ลึกซึ้งและยากแก่ความเข้าใจ ก็อาจจะถูกตีความผันแปรบิดเบือนไปได้ ดังนั้นการศึกษาค้นคว้าลึกลงไปถึงภาษาแขก จึงน่าจะได้ความรู้เกี่ยวกับธรรมะชัดเจนกระจ่างมากขึ้น
ต่อมาได้มีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องคอมพิวเตอร์ IBM PC Compatible และทรงสนพระทัยศึกษาในการพัฒนา Software ต่างๆ และได้สร้างโปรแกรมใหม่ๆ ขึ้นมา รวมทั้งสนพระทัยในเทคนิคการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบนี้มากทีเดียว บางครั้งทรงเปิดเครื่องออกดูระบบต่างๆ ภายในด้วยพระองค์เอง หรือทรงปรับปรุง Software ใหม่ขึ้นใช้ ทรงแก้ซอฟต์แวร์ในเครื่อง เช่น โปรแกรมภาษาไทย CU WRITER ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์
จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการพิมพ์ งานทรงพระอักษรส่วนพระองค์ และทรงเก็บงานเหล่านี้เป็นเรื่องๆ มาปะติดปะต่อกัน จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ และบทพระราชนิพนธ์ต่างๆ เช่น เรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ เป็นต้น ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่พระองค์ทรงประดิษฐ์ก็คือ การใช้คอมพิวเตอร์ "ปรุง" อวยพรปีใหม่ เพื่อพระราชทานแก่ข้าราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่เดิมพระองค์ได้พระราชทานผ่านเครื่องเทเล็กซ์ นอกจากนี้พระองค์ทรงสนพระทัยคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมาก สังเกตได้จากขณะเสด็จพระราชดำเนินชมงานนิทรรศการต่างๆ เช่น สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พระองค์สนพระทัยซักถามอาจารย์และนักศึกษาที่ประดิษฐ์ซอฟต์แวร์ต่างๆ อย่างละเอียดและเป็นเวลานาน
เรียนรู้ตามรอยเท้า..พ่อหลวง
ข้อมูลจาก : นิตยสาร Kids and School ฉบับที่ 78 เดือนธันวาคม พ.ศ.2549
โดย กองบรรณาธิการนิตยสาร kids and school
หากเด็กไทยของเราจะเติบโตเป็นคนเก่ง คนดี สร้างสรรค์สังคม และมุ่งพัฒนาประเทศอันเป็นที่รักแล้ว พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ทรงเป็นแบบอย่างของการใฝ่เรียนรู้ที่ชัดเจนที่สุด
"ในหลวงของเรา...ทรงเริ่มศึกษางานศิลปะ ตั้งแต่ครั้งยังประทับที่สวิตเซอร์แลนด์ และทรงสนพระราชหฤทัยในการวาดภาพเหมือนจากพระสาทิสลักษณ์ของผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท"
จิตรกรน้อย..วัยเตาะแตะKids can do
พัฒนาการของเจ้าตัวเล็กโดยเฉพาะ อ.1 โดดเด่นด้วยการใช้ประสาทสัมผัส สนุกกับการสัมผัสด้วยนิ้วมือ แขน ตื่นตาตื่นใจกับแสงสี เส้นสาย ศิลปะจึงเป็นเรื่องสนุกในการถ่ายทอดความคิด จินตนาการ สำหรับหนูๆ ที่กล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรงพอจะเขียนเป็นตัวอักษร
เปิดโลกกว้าง : ศิลปะ
จะปั้น ละเลง หรือพิมพ์ด้วยปลายนิ้ว ศิลปะเป็นคุณครูที่เปลี่ยนแปลงหน้าตาให้เราตื่นเต้นได้ตลอดเวลา ลองให้เขาใช้ประสาทสัมผัสอย่างรอบด้าน เติมด้วยลูกเล่น เช่น ไม้นวดดิน หรือพู่กันอันใหญ่ๆ ให้เขาฝึกใช้มือควบคุมทิศทาง เลือกใช้วัสดุที่หลากหลาย เพิ่มความสนุกในการเรียนรู้
"ในหลวงของเรา...ทรงโปรดการช่าง สมัยทรงพระเยาว์ทรงนำสิ่งของเหลือใช้ภายในที่ประทับ เช่น ไม้แขวนเสื้อมาสร้างรถไฟฟ้าเล่น ทรงประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้าเอง โดยเอาลวดทองแดงมาพันเข้าเป็นแกนกลางของเครื่องมอเตอร์"
เปิดโลกกว้าง : ประดิษฐ์คิดค้น
ลองให้เจ้าหนูนำสิ่งรอบตัวมาดัดแปลง ตกแต่งตามความคิดสร้างสรรค์ ไม้แขวนเสื้อ ขวดน้ำ กับกระดาษว่าว อาจประกอบกันเป็นเครื่องบิน โดยสอดแทรกเรื่องการนำสิ่งของเหลือใช้มาใช้ใหม่ เพื่อให้เขาเข้าใจคุณค่าของสิ่งของ และกระตุ้นพลังแห่งจินตนาการค่ะ
"ในหลวงของเรา...เมื่อทรงพระเยาว์ ทรงนำพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ที่ทรงสะสมไว้ไปซื้อคลาริเน็ตมาทรงฝึกเป่า ทรงโปรดเครื่องเป่าเป็นพิเศษ เช่น แซกโซโฟน ทรัมเป็ต และทรงพระราชนิพนธ์เพลงมากมาย เช่น แสงเทียน ใกล้รุ่ง"
เปิดโลกกว้าง : ดนตรี
ดอกไม้จากหัวใจ
ที่นครพนม บนเส้นทางรับเสด็จตรงสามแยกชยางกูร-เรณูนคร บายวันที่ 13 พ.ย. 2498 อาณัติ บุนนาค หัวหน้าส่วนช่างภาพประจำพระองค์ ได้บันทึกภาพในวินาทีสำคัญที่กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศ ภาพที่พูดได้มากกว่าคำพูดหนึ่งล้านคำ
วันนั้น หลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูก จูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนอย่างเนืองแน่น ดังเช่นครอบครัว จันท์นิตย์ ที่ลูกหลายช่วยกันนำ แม่ตุ้ม จันทนิตย์ วัย 102 ปี ไปรอรับเสด็จ ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้าน 700 เมตร โดยลูกหลานได้จัดหาดอกบัวสายสีชมพูให้แม่เฒ่าจำนวน 3 ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด
เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจรักภักดีของหญิงชรายังเบิกบาน เมื่อเสด็จฯ มาถึงตรงหน้า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจบเหนือศีรษะแสดงความจงรักภักดี อย่างสุดซึ้ง พระเจ้าแผ่นดินทรงโน้มพระองค์อย่างต่ำที่สุด จนพระพักตร์แนบชิดกับศีรษะของแม่เฒ่า ทรงแย้มพระสรวลอย่างเอ็นดู พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชราชาวอีสานอยางอ่อนโยน
เป็นคำบรรยายเหมือนไม่จำเป็น สำหรับภาพที่ไม่จำเป็นต้องบรรยาย ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม
เช่น เดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น หลานและเหลนของแม่เฒ่าเล่าว่า “หลังจากเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมทั้งพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพลาสเตอร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ่านมาทางอำเภอพระธาตุพนมให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก” พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ายืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีกถึงสามปี เต็ม ๆ แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ราษฎรผู้โชคดีที่สุดคนหนึ่งในรัชกาลที่ 9 สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ 105 ปี
ข้อมูลจาก “แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์” ภาคพิเศษโดย คุณหญิงศรีนาถ สุริยะ วารสารไทย
ในหลวงทรงเป็นนักพัฒนา
ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ไม่มีใครสามารถจำได้ว่าพระองค์เสด็จไปยังที่แห่งใดบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนทุกคนจำได้คือ ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปไหน ณ ที่แห่งใด จะต้องเห็นสิ่งของสามสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์คือแผนที่ และอีกสิ่งหนึ่งคือดินสอ แต่พระองค์มิได้ทรงใช้สามสิ่งนั้นเพื่อการนันทนาการท่องเที่ยว หากแต่ใช้เป็นอุปกรณ์ในการคิด และหาทางพัฒนาพื้นที่ที่ประทับอยู่นั้นในการคิด และหาทางพัฒนาพื้นที่ที่ประทับอยู่นั้นให้พบกับความเจิรญ ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในภูมิประเทศ และภูมิอากาศอย่างไร ฟ้าฝนฤดูกาลเป็นเช่นไร พระองคทรงทราบได้จากแผนที่ รายละเอียดของพื้นที่และปัญหาต่างๆ ที่ต้องแก้ไขมีอะไรบ้าง พระองค์ทรงจำได้จากการจดบันทึกและการถ่ายภาพ พระองค์คือตัวอย่างของนักพัฒนาอย่างแท้จริง ซึ่งต้องเตรียมพร้อมและรับรุ้แก้ไขปัญหาต่างๆ เสมอ การทำที่ดินอันแห้งแล้งแตกระแหงให้เป็นผืนนาอันอุดมสมบูรณ์ การทำภูเขาหัวโล้นให้เป็นนอดเขาอันเขียวขจี การทำให้ข้าที่เหี่ยวเฉากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทุกสิ่งล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็สามารถทำได้ หากแต่ในหลวงของเราสามารถทำได้
ปิดทองหลังพระ
ทำไมต้องปิดทองหลังพระ? หากทุกคน หวังปิดทองหน้าพระกันหมด องค์พระก็จะสวยแต่เบื้องหน้าเท่านั้น เปรียบได้กับการทำงานเอาหน้า ภาวนากันตาย ในหลวงฯ ท่านทรงมอบพระสมเด็จจิตรลดา ให้แก่บรรดาข้าราชบริพารของท่านพระแต่ละองค์ตอกตรา มีหมายเลขกำกับ ทราบว่ามีเพียง 3,000 องค์ เป็นของดีของหายาก และพระองค์ได้ทรงบอกแก่ผู้ได้รับ ให้ "ปิดทองหลังพระ"
มีคนข้องใจไปถามพระองค์ และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ปิดทองหน้าพระ
พระองค์ท่านไม่ทรงอนุญาต และมีรับสั่งให้ "ปิดทองหลังพระ" เท่านั้น
เพื่อเป็นคติเตือนใจตนเองด้วย ให้รู้จักทำงาน โดยไม่ต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์ทำดีแล้วไม่ต้องเป่าแตรฟันฟา (Fanfare) ไม่ต้องป่าวประกาศไม่ต้องป่าวร้องให้คนมาลุมล้อม จ้องมองตนว่า กำลังกระทำความดีอยู่อุทิศอะไร ถวายอะไรแก่ใคร ไม่ต้องถ่ายรูป หากจะถ่ายก็ไม่ต้องหันมาตาโมงโก้ง (ตามองกล้อง) กันให้เมื่อย ทำดี ทำด้วยใจทำไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องโฆษณา อวดสรรพคุณ แห่งการประกอบคุณงามความดีนั้น แก่ใคร ๆ เขาหรอก
คนไทยกับคำสอนในหลวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสทรงแนะนำว่า ประเทศไทย-คนไทย จะรอดได้ จะอยู่ดีกินดีกันได้ ต้องใช้แนวทาง "เศรษฐกิจพอเพียง"
พระองค์ทรงมองการณ์ไกล พระองค์ทรงใคร่ครวญ และทรงศึกษาถึง "ความสมบูรณ์ที่ธรรมชาติมอบให้" อันเป็นจุดแข็งของความเป็นแผ่นดินไทยที่ประเทศอื่นๆ เกือบทั้งโลกไม่สมดุลพร้อมเช่นแผ่นดินไทย ด้วยทรงย่ำไปทุกหัวระแหงของแผ่นดินด้วยพระองค์เองจนรู้ซึ้งเช่นนั้นแล้ว จึงทรงตรัสบอกให้ปฏิบัติ ตรัสบอกมา ๑๐-๒๐ ปีแล้ว แต่มี "คนไหน-ยุคไหน" เชื่อฟังและนำไปปฏิบัติจริงจังบ้าง?
๐ นิยามความรวยกับความจน
มันเป็นเรื่องแปลกที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่มีหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงินเนื่องจากกลัวจะไม่ใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่
๐ จุดอ่อน-จุดแข็งของคนไทย
คนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย อันนี้เป็นจุดอ่อน
แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มาก ๆ มีดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย
คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยก็ไม่รู้จักพอเพียง
ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย
๐ อยากบอกอะไรคนไทย
โชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ
1. ความเพียร
การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลาต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้น ทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ วันที่ 27 ตุลาคม 2516
2. ความพอดี
ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่นวันที่ 18 ธันวาคม 2540
3. ความรู้ตน
เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่สร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521
4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้
คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมาก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้นให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้
พระบรมราโชวาทพระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 25216. พูดจริง ทำจริง
ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือ
และความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540
7. หนังสือเป็นออมสิน
หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทวันที่ 25 พฤศจิกายน 2514
9. การเอาชนะใจตน
ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม
เราต้องฝืนต้องต้านความคิด และความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้า และบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดีเป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ
พระบรมราโชวาท ในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ 12 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ 12 ธันวาคม 2513
พระราชประวัติการศึกษา
เมื่อพุทธศักราช 2475 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ทรงเจริญพระชนมายุ 5 พรรษา ได้ทรงเข้ารับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียน มาแตร์เดอี ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ ขณะนั้น ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ การเมืองผันผวน ในเดือน กันยายน 2476 หม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา จึงทรงนำพระธิดา พระโอรส เสด็จไปประทับ ณ กรุงโลซานน์ ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงรับการศึกษา
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ทรงเข้ารับการศึกษา ชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียน เมียร์มองต์ ชั้นมัธยมศึกษา ณ โรงเรียน เอโกล นูแวล เดอ ลา สวิส โรมองต์ และโรงเรียน ยิมนาส กลาซีค กังโตนาล ตามลำดับ และทรงได้รับประกาศนียบัตร บาเชอลิเย เอ แลทร์ จากการศึกษา ดังกล่าวทรงรอบรู้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ ละติน ต่อจากนั้น ทรงเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษา แผนกวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซานน์
ครั้นถึงวันที่ 2 มีนาคม 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศสละราชสมบัติรัฐบาลจึงกราบทูลอัญเชิญ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งสืบสายราชสันตติวงศ์ ลำดับที่ 1 และมีพระชนมายุเพียง 9 พรรษา เสด็จเถลิงถวัลยราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 8 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งได้ทรงสถาปนา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงสถาปนา หม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา เป็น พระราชชนนีศรีสังวาลย์ และทรงสถาปนา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยานิวัฒนาเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช ได้โดยเสด็จพระบรมเชษฐาธิราช สมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ นิวัฒพระนคร เป็นครั้งที่ 2 เมื่อ เดือน พฤศจิกายน 2481 ประทับ ณ พระตำหนัก จิตลดารโหฐาน สวนจิตลดา เป็นเวลา 2 เดือน แล้วเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์
ต่อมาได้เสด็จนิวัติพระนครอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 เมื่อ 5 ธันวาคม 2488 ในครั้งนี้ ปวงชนชาวไทยในแผ่นดินที่พระมหากษัตริย์มิได้ประทับเป็นประมุขยาวนานกว่า สิบปี ต่างปลาบปลื้มปิติชื่นชมโสมนัส ที่ได้ชื่นชมพระบารมี สมเด็จพระยุวกษัตริย์ ซึ่งมีพระชนมพรรษา เพียง 20 พรรษา พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระชนมพรรษา 18 พรรษา
ทั้งสองพระองค์เสด็จเสด็จพระราชดำเนินเคียงคู่กันไปทรงเยี่ยมราษฎร ณ ที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง แต่ความชื่นชมโสมนัสนั้น ดำรงอยู่มินาน ครั้งถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง