พระราชประวัติการศึกษา
เมื่อพุทธศักราช 2475 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ทรงเจริญพระชนมายุ 5 พรรษา ได้ทรงเข้ารับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียน มาแตร์เดอี ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ ขณะนั้น ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ การเมืองผันผวน ในเดือน กันยายน 2476 หม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา จึงทรงนำพระธิดา พระโอรส เสด็จไปประทับ ณ กรุงโลซานน์ ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงรับการศึกษา
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ทรงเข้ารับการศึกษา ชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียน เมียร์มองต์ ชั้นมัธยมศึกษา ณ โรงเรียน เอโกล นูแวล เดอ ลา สวิส โรมองต์ และโรงเรียน ยิมนาส กลาซีค กังโตนาล ตามลำดับ และทรงได้รับประกาศนียบัตร บาเชอลิเย เอ แลทร์ จากการศึกษา ดังกล่าวทรงรอบรู้หลายภาษา ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ ละติน ต่อจากนั้น ทรงเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษา แผนกวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยโลซานน์
ครั้นถึงวันที่ 2 มีนาคม 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศสละราชสมบัติรัฐบาลจึงกราบทูลอัญเชิญ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งสืบสายราชสันตติวงศ์ ลำดับที่ 1 และมีพระชนมายุเพียง 9 พรรษา เสด็จเถลิงถวัลยราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 8 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งได้ทรงสถาปนา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงสถาปนา หม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา เป็น พระราชชนนีศรีสังวาลย์ และทรงสถาปนา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยานิวัฒนาเป็น สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช ได้โดยเสด็จพระบรมเชษฐาธิราช สมเด็จพระราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ นิวัฒพระนคร เป็นครั้งที่ 2 เมื่อ เดือน พฤศจิกายน 2481 ประทับ ณ พระตำหนัก จิตลดารโหฐาน สวนจิตลดา เป็นเวลา 2 เดือน แล้วเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ กรุงโลซานน์
ต่อมาได้เสด็จนิวัติพระนครอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 เมื่อ 5 ธันวาคม 2488 ในครั้งนี้ ปวงชนชาวไทยในแผ่นดินที่พระมหากษัตริย์มิได้ประทับเป็นประมุขยาวนานกว่า สิบปี ต่างปลาบปลื้มปิติชื่นชมโสมนัส ที่ได้ชื่นชมพระบารมี สมเด็จพระยุวกษัตริย์ ซึ่งมีพระชนมพรรษา เพียง 20 พรรษา พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระชนมพรรษา 18 พรรษา
ทั้งสองพระองค์เสด็จเสด็จพระราชดำเนินเคียงคู่กันไปทรงเยี่ยมราษฎร ณ ที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง แต่ความชื่นชมโสมนัสนั้น ดำรงอยู่มินาน ครั้งถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง
จากธุลีดิน...เพื่อพ่อของแผ่นดิน
...ทุกครั้ง...ที่ฉันเขียนงานเขียน
มักเกิดจากแรงบันดาลใจ เขียนและบอกเล่าอย่างที่รู้สึก
วันนี้...ฉันมีแรงบันดาลใจและตั้งใจอย่างมากที่จะเขียนงานชิ้นนี้
แต่คงเพราะตั้งใจมาก...จึงได้แค่เพียงนั่งนิ่ง
เพราะความรู้สึกทุกอย่าง...ท่วมใจ...จนไม่รู้ว่าจะสามารถบรรยาย...
ทุกครั้ง...ที่ฉันเขียนงานเขียน
มักเกิดจากแรงบันดาลใจเขียน และ บอกเล่า อย่างที่รู้สึก
วันนี้...ฉันมีแรงบันดาลใจและตั้งใจอย่างมากที่จะเขียนงานชิ้นนี้
แต่คงเพราะตั้งใจมาก...จึงได้แค่เพียงนั่งนิ่ง
เพราะความรู้สึกทุกอย่าง...ท่วมใจ...จนไม่รู้ว่าจะสามารถบรรยายอย่างไรได้หมด
เป็นเหมือนกันบ้างไหม...ที่เข้าโรงหนังแล้วฟังเพลงสรรเสริญพระบารมี
ชมภาพพระราชกรณียกิจ...แล้วอดไม่ได้ที่จะน้ำตารื้น
ฟังเพลงหรือดูโฆษณาพระราชกรณียกิจ...สุดท้ายก็น้ำตาหยด
ฉันเป็นบ่อยเลยเพราะฉันไม่เข้าใจ
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพระองค์ถึงทรงเหน็ดเหนื่อย
ทรงงานหนักเพื่อประชาชนไทยได้ถึงเพียงนี้
รักใดจะยิ่งใหญ่เท่ารักนี้ ฉันว่าไม่มีอีกแล้ว
เขียนได้เท่านี้ ฉันก็นั่งนิ่งอีกแล้ว...
.............
..........
.......
ภาพที่เห็นมาตั้งแต่เด็ก คือ ปฏิทินในหลวงทรงงานในท้องที่ต่างๆ
จากภาพสัมผัสได้ว่าเป็นถิ่นทุรกันดาร ลำบากที่จะเข้าถึง
แต่ทุกที่...ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน...มีพระองค์อยู่
ไม่มีพื้นดินไหนที่พระองค์ไม่เคยเสด็จ...เพราะพระองค์ทรงเป็นพ่อของแผ่นดิน
พระปรีชาสามารถในทุกด้านของพระองค์
ทำให้ฉันนึกทบทวนว่าการที่จะเชี่ยวชาญในเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้นั้น
จะต้องทุ่มเท เวลา แรงกาย แรงใจ สักเท่าไหน
เพียงเรื่องเดียว อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
แต่พระองค์ทรงใช้เวลาที่มากกว่าวันละ 24 ชั่วโมง
เพื่อความอยู่ดีของประชาชน ในทุกด้าน
มีรักไหน..เท่ารักที่พ่อให้...ฉันว่าไม่มีแล้ว
ถึงตอนนี้ ในเวลาที่ดูเหมือนธรรมชาติพรากความสุขของผู้คนในแต่ละส่วนของประเทศ
น้ำใจไทย..หลั่งไหล...ส่งถึง
เพราะพวกเรา คือ คนไทยด้วยกัน
เพราะพวกเรา อยู่ในร่มแห่งรักเดียวกัน
ใต้ร่มพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวง
สิ่งที่ฉันภาวนามาเสมอ...
คือ ขอให้พระองค์ทรงเหนื่อยน้อยลงกว่านี้บ้าง
ท่านทรงงานหนักเพื่อพวกเรามามากเหลือเกินแล้ว
ถึงเวลา...ที่พวกเราจะทำเพื่อแผ่นดิน เพื่อพ่อหลวงของเราบ้างแล้ว
เสื้อสีเหลือง สายรัดข้อมือ "เรารักในหลวง"
คือ สิ่งหนึ่งที่จะแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระองค์
แต่ความหมายที่มากกว่าสิ่งที่จะมองเห็นจากภายนอก
ไม่มีอะไรที่จะสำคัญไปกว่าใจ
ถึงเวลาหรือยัง...ที่เราจะสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์...ด้วยใจ
ใจที่จะร่วมกันทำความดี
ถึงเวลาหรือยัง...ที่ละอองธุลีดิน...จะร่วม รวมกัน เป็นผืนแผ่นดินไทย
รักและรับรู้...ว่าเราเป็น "แผ่นดินเดียวกัน"
แสงเทียนที่เราชาวไทยตั้งใจร่วมจุดให้เกิดแสงสว่างไสวไปทั่วพื้นแผ่นดินไทย
นับล้านเปลวกระพริบระยับในความมืด
ขอเพียงจุด...พร้อมกับจิตสำนึก...ว่าเราจะทำอะไรเพื่อพ่อหลวงที่ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อพวกเรา
สำหรับฉัน...ฉันเคยดีใจมาเสมอว่า
ฉันได้เกิดเป็น คน สิ่งมีชีวิตเดียวในโลกที่มีสิทธิ์เลือกได้ที่จะทำดี
จนถึงวันนี้สิ่งที่ฉันดีใจยิ่งกว่า
คือ ฉันได้เกิดมาในแผ่นดินไทย
แผ่นดินที่ร่มเย็นด้วยความรักของพระองค์
ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ