สรรพากรยึด
ซื้อทรัพย์ได้จากกรมบังคับคดี ชำระเงินครบเรียบร้อย และได้รับเอกสารเตรียมที่จะไปโอนกรรมสิทธิ์ เมื่อไป ถึงที่สำนักงานที่ดิน โอนไม่ได้ แต่กลับได้รับการแจ้งว่าที่ดินดังกล่าวถูกกรมสรรพากรอายัด จะดำเนินการอย่างไร กรณีนี้ กรมสรรพากรมีอำนาจอายัดซ้อนได้หรือไม่
ตอบ การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาล ซึ่ง ป . วิ. แพ่ง มาตรา 290 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า " เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ห้ามมิให้เจ้าหนี้ ตามคำพิพากษาอื่นยึด หรืออายัดทรัพย์สินซ้ำอีก..." หมายความว่า เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียึดหรืออายัดทรัพย์สินใดของลูกหนี้ตาม คำพิพากษาแล้ว ห้ามเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีก แต่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นต้องยื่นขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการ ขายทอดตลาดทรัพย์สินนั้นต่อศาล หากมีการยึดหรืออายัดซ้ำ การบังคับคดีดังกล่าวย่อมต้องห้ามตามกฎหมายไม่มีผลบังคับ ส่วนการยึด หรืออายัดทรัพย์สินของกรมสรรพากรเป็นการดำเนินการเพื่อนำทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาชำระค่า ภาษีอากร ซึ่งกรมสรรพากรสามารถทำได้โดยอาศัยอำนาจแห่งบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 แต่การยึดหรืออายัดทรัพย์สินของกรมสรรพากร ก็อยู่ภายใต้บังคับแห่ง ป. วิ. แพ่ง มาตรา 290 วรรคหนึ่ง เช่นกันกล่าวคือ ไม่ว่ากรมสรรพากรจะได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตาม คำพิพากษาก่อนหรือหลังที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำการยึดทรัพย์สินนั้น การยึดหรืออายัดของกรมสรรพากรก็ไม่ผูกพันเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมสรรพากรต้องไปดำเนินการร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ศาลตาม ป. วิ. แพ่ง มาตรา 290 วรรคสาม กรณีตามคำถาม การที่สำนักงานที่ดิน ไม่ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้ อาจเป็นเพราะติดขัดในระเบียบปฏิบัติของทางกรมที่ดินเอง ซึ่งแนวทางในการแก้ปัญหาตามคำถามของ กองจำหน่ายทรัพย์สิน กรมบังคับคดีคือ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทำหนังสือยืนยันให้สำนักงานที่ดินโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ แต่หากสำนักงานที่ดินได้รับหนังสือยืนยันแล้วยังไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อ ผู้ซื้อจะต้องไปยื่นเรื่องขอให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ กรุงเทพมหานคร สาขา ที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่ มีหนังสือแจ้งถอนการอายัดไปยังสำนักงานที่ดิน
ลงนัด 7 วัน ตรวจสอบผลการปิดประกาศ / แจ้งการยึด ที่ปรากฏในรายงานการยึดอสังหาริมทรัพย์ หมายความว่าอย่างไร โจทก์ตั้งเรื่องบังคับคดีเองโดยยึดอสังหาริมทรัพย์ ณ ที่ทำการ ต้องไปพบเจ้าพนักงานบังคับคดีในอีก 7 วันหรือไม่ และขั้นตอนต่อไปของการบังคับคดีจะดำเนินการอย่างไร
ตอบ การลงนัด 7 วัน เพื่อตรวจสอบผลการปิดประกาศ, แจ้งการยึด ที่ปรากฏในรายงานการยึดอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นแนวทาง ปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อตรวจสอบผลการยึดทรัพย์ ซึ่งจะต้องแจ้งการยึดทรัพย์ให้ผู้มีส่วนได้เสียในคดี เช่น จำเลย เป็นต้น ทราบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304 โจทก์ได้ตั้งเรื่องยึดทรัพย์ ณ ที่ทำการไว้ หากได้แถลงส่งเอกสาร ครบถ้วนแล้ว ก็ไม่ต้องมาพบเจ้าพนักงานบังคับคดีแต่อย่างไร ขั้นตอนต่อไปหากตรวจสอบแล้วปรากฏว่าได้แจ้งการยึดทรัพย์ให้ ผู้มีส่วนได้เสียทราบชอบด้วยกฏหมายแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะรายงานศาลเพื่อขออนุญาตขายทอดตลาดที่ยึดไว้ต่อไป
นอนป่วยพิการแท้ๆสรรพากรทวงภาษี
โดย ข่าวสด วัน เสาร์ ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 08:24 น.
โวยสรรพากรเล่นบทโหด แจ้งเก็บภาษีย้อนหลังคนงานก่อสร้างนอนป่วยร่างกายพิการครึ่งซีก นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานเกือบปี จู่ๆ ดันมีจดหมายส่งมาทวงเงินภาษีแสนกว่าบาท อ้างค้างชำระไว้ตั้งแค่ปี41 แถมยังยึดอายัดเงินในบัญชีธนาคารไว้ทั้งหมด ทั้งที่มีอยู่แค่ 600 บาท สรรพากรมาตลอดโดยอ้างเหตุผลว่าค้างชำระภาษี ซึ่งประชาชนได้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวเป็นจำนวนมาก แต่ผู้เกี่ยวข้องต่างปฏิเสธ และยืนยันว่าไม่เคยมีการอายัดบัญชีของประชาชน
บีโอไอแนะนักลงทุน 100 ราย ฟ้องศาลภาษีชี้ขาด
หากกรมสรรพากรยืนยันใช้ประมวลรัษฎากรเก็บภาษีย้อน
หลังพร้อมค่าปรับ 4 พันล้านบาท
ช่วยด้วยค่ะ..สรรพากรขูดรีด
ถ้าเกิดว่า เราถูกประเมินภาษีอากร เเล้วเจ้าหน้าที่ประเมินก้อมาประเมิน (แบบมั่วๆ) เลย) เราเห็นว่ามันเป็นจำนวนที่เยอะเกินไป และหนังสือที่ส่งมาจากสรรพากรนั้นลงวันที่ล่วงหน้าเกือบ10วัน พอวันที่เราได้รับหนังสือก็หมดระยะเวลาคัดค้านเเล้ว พอติดต่อไปที่สรรพากรจังหวัด เขาก็บอกว่า มันหมดเวลาที่จะอุทธรณ์ขอลดยอดปรับเเล้ว คุณไม่รักษาเวลาเอง ช่วยไม่ได้ เเล้วก้อบอกกับเราว่า ไม่ต้องยื่นอุทธรณ์หรอก ยื่นไปก็เสียเวลาเปล่า (นี่หรอ..คำพูดของข้าราชการที่มีหน้าที่ต้องช่วยเหลือประชาชน)
อีกอย่างค่ะ สรรพากรเขาได้อ้างประมวลรัษฏากรมาตรา 12 ว่าเขาสามารถทำได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องขอหมายจากศาลแต่อย่างใด
คำพิพากษาฎีกาที่ 4629/2533
นางพิศวง โรจนภักดี ....................................โจทย์
กรมสรรพากร .............................................จำเลย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา12 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271
การยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 บัญญัติว่า "คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดี (เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ภายในสิบปีนับแต่วันมี คำพิพากษาหรือคำสั่ง" ดังนั้นการใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา12 จึงต้องใช้ภายในกำหนดเวลาสิบปีนับแต่วันที่จะใช้อำนาจตามมาตรานี้ได้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าเจ้าพนักงานของจำเลยได้แจ้งการประเมินให้โจทก์ทราบ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2517 จำเลยมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของโจทก์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2530 อันเป็นเวลาที่ล่วงพ้นกำหนดระยะเวลาสิบปีที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 12 การยึดของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจึงเป็นการไม่ชอบ
การฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดมิใช่กรณีการฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมิน จึงไม่จำต้องอุทธรณ์การประเมิน โจทก์มีอำนาจฟ้อง
http://www.rd.go.th/publish/17373.0.html
มาตรา 12 ภาษีอากรซึ่งต้องเสียหรือนำส่งตามลักษณะนี้เมื่อถึงกำหนด ชำระแล้ว ถ้ามิได้เสียหรือนำส่งให้ถือเป็นภาษีอากรค้าง
เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้าง ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและ การขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากร หรือนำส่งภาษี อากรได้ทั่วราชอาณาจักร โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง อำนาจ ดังกล่าวอธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้
ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนาย อำเภอมีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีตามวรรคสอง ภายในเขตท้องที่จังหวัด หรืออำเภอนั้น แต่สำหรับนายอำเภอนั้นจะใช้อำนาจสั่งขายทอดตลาดได้ ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัด
วิธีการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน ให้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม ส่วนวิธีการอายัดให้ปฏิบัติตามระเบียบ ที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี
เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าวให้หักค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย ในการยึดและขายทอดตลาดและเงินภาษีอากรค้าง ถ้ามีเงินเหลือให้คืนแก่ เจ้าของทรัพย์สิน ผู้ต้องรับผิดชอบเสียภาษีอากรตามวรรคสองให้หมายความรวมถึงผู้เป็น หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลด้วย
หมายเหตุมาตรา 12 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพรก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2525
มาตรา 12 วรรคหก เพิ่มเติมโดยพรก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2526
มาตรา 12ทวิ เมื่อได้มีคำสั่งยึดหรืออายัดตาม มาตรา 12 แล้ว ห้ามผู้ใด ทำลาย ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่บุคคลอื่นซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึด หรืออายัดดังกล่าว
หมายเหตุมาตรา 12ทวิ เพิ่มเติมโดยพรก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2525
มาตรา 12ตรี เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตาม มาตรา 12 ให้ผู้มี อำนาจตาม มาตรา 12 หรือ สรรพากรจังหวัดมีอำนาจ
(1) ออกหมายเรียกผู้ต้องรับผิดชำระภาษีอากรค้างและบุคคลใดๆ ที่มีเหตุสมควรเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากรค้างมาให้ ถ้อยคำ
(2) สั่งบุคคลดังกล่าวใน (1) ให้นำบัญชี เอกสาร หรือหลักฐาน อื่นอันจำเป็นแก่การจัดเก็บภาษีอากรค้างมาตรวจสอบ
(3) ออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานสรรพากรทำการตรวจค้น หรือยึดบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นของบุคคลดังกล่าวใน (1)
การดำเนินการตาม (1) หรือ (2) ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า เจ็ดวัน นับแต่วันได้รับหมายเรียกหรือคำสั่งการออกคำสั่งและทำการตาม (3) ต้องเป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด
หมายเหตุมาตรา 12ตรี เพิ่มเติมโดยพรก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ.2525
ประมวลกฎหมายรัษฎากรประมวลกฎหมายรัษฎากร
คำพิพากษาฎีกาที่4862/2543 |
|
กรมสรรพากร | โจทก์ |
นาย เปลิ้ม ศรีหมอก | จำเลย |
เรื่อง การยึดทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 | |
ลายมือชื่อในช่องผู้ชำระภาษีอากรตามเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 46 ที่โจทก์อ้างว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยนั้นไม่มีคำว่า “ นาย ” นำหน้า เมื่อพิจารณาหมายเปรียบเทียบกับลายมือชื่ออื่น ๆ ของจำเลย ปรากฏว่า ในการลงลายมือชื่อของจำเลยทุกครั้งจำเลยจะใช้คำว่า “ นาย ” นำหน้าชื่ออันเป็นการลงลายมือชื่อด้วย ดังปรากฏตามลายมือชื่อของจำเลยในใบรับลงทะเบียนเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 9 ด้านหลัง และคำให้การตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11 ถึง 13 ข้ออ้างของโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง น่าเชื่อว่า จำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ชำระภาษีอากรในเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 46 จำเลยได้ชำระภาษีจำนวน 2,043.50 บาท เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2529 อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงในวันดังกล่าว แต่เมื่อนับถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2540 และวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีอากรโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11 ถึง 13 เป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้ว คดีของโจทก์ในส่วนนี้จึงขาดอายุความ แต่ที่จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าภาษีอากรโจทก์ หนังสือดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้รับสภาพความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/28 วรรคสอง ซึ่งมีผลให้สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่จำเลยรับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวมีกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/35 ดังนั้น เมื่อจำเลยลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพความรับผิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2540 ตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 12 และ 13 กับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ตามเอกสารหมาย จ.4 แผ่นที่ 11 นับจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2540 ถึงวันฟ้องวันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยังไม่เกิน 2 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ อายุความจะสะดุดหยุดลงได้ก็เมื่อมีกรณีต้องด้วยมาตรา 193/14 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การยึดทรัพย์สินของจำเลยตามประมวลรัษฎากรเพื่อชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้าง หาได้เป็นการกระทำอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงไม่ |
คำพิพากษาฎีกาที่7192/2547 |
|
กรมสรรพากร | โจทก์ |
นายตระกูล อังสนันรัตนา | จำเลย |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 และมาตรา 30 | |
การแจ้งการประเมินภาษีให้ทราบ เท่ากับเป็นการสั่งให้ชำระค่าภาษีอากรประเมินตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติให้อำนาจไว้ มิฉะนั้นอาจถูกยึดทรัพย์สินนำมาขายทอดตลาดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 และมาตรา 30 ในการบังคับชำระหนี้ต้องดำเนินการภายใน 10 ปี นับแต่วันที่เกิดสิทธิตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์แจ้งการประเมินภาษีให้จำเลยทราบเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2530 จำเลยมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน โจทก์สามารถดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อชำระหนี้ภาษีอากรค้างเมื่อล่วงเลยระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันดังกล่าว การที่โจทก์นำหนี้ภาษีอากรมาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2541 จึงเป็นการล่วงเลยระยะเวลาที่โจทก์มีสิทธิบังคับชำระหนี้แล้ว ส่วนการที่จำเลยได้ขอผ่อนชำระหนี้และชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนภายในกำหนดเวลาที่โจทก์ยังมีสิทธิบังคับชำระหนี้จึงเป็นเพียง ขั้นตอนในการบังคับชำระหนี้และวิธีการในการชำระหนี้เท่านั้น มิได้มีผลให้ระยะเวลาในการบังคับชำระหนี้ของโจทก์ขยายออกไปแต่อย่างใด |
|
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/5816 |
วันที่ | : 28 มิถุนายน 2545 |
เรื่อง | : ภาษีอากรค้าง กรณีการยึด อายัด ทรัพย์สินของผู้ค้าง |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 |
ข้อหารือ | : สำนักงานสรรพากรภาคได้หารือปัญหาข้อกฎหมาย กรณีการยึด อายัด ทรัพย์สินของผู้ค้าง ซึ่งมี |
แนววินิจฉัย | : กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นหนี้ภาษีอากรและสามีเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ หากข้อเท็จจริง |
เลขตู้ | : 65/31765 |
เลขที่หนังสือ | : กค 0706/พ./7337 |
วันที่ | : 30 กรกฎาคม 2546 |
เรื่อง | : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการยึดหรืออายัดทรัพย์สิน |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 |
ข้อหารือ | : สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงว่า นาย ป. ได้นำรายรับส่วนที่เกิน 1,200,000 |
แนววินิจฉัย | : กรณีสำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้มีหนังสือแจ้งการค้างชำระภาษีให้ผู้ค้างภาษีอากรชำระภาษีตาม |
เลขตู้ | : 66/32585 |
คำพิพากษาฎีกาที่ 1019/19 |
|
นายเฮงซั้ง แซ่จัง | โจทก์ |
นายจรินทร์ นุชอนงค์กับพวก | จำเลย |
เรื่อง เจ้าพนักงานที่จะเรียกเก็บภาษีอากรค้างโดยสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาด |
|
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง บุริมสิทธิค่าภาษีอากร,สิทธิคนภายนอก,เฉลี่ยทรัพย์,ประมวลรัษฎากรบังคับคดี | |
ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 เป็นกฎหมายพิเศษให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานที่จะเรียกเก็บภาษีอากรค้างโดยสั่งยึดและสั่งขายทอดตลาดได้เอง ไม่จำต้องนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล สิทธิของผู้ร้องตามประมวลรัษฎากรจึงถือได้ว่าเป็นสิทธิอื่น ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตาม ป.ว.พ. มาตรา 287 ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องก็มีสิทธิจะขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดได้ แต่จะอ้างบุริมสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 253 ได้เฉพาะที่ค้างชำระอยู่ในปีปัจจุบันและก่อนนั้นขึ้นไปอีกปีหนึ่งตามมาตรา 256 การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเฉลี่ย เมื่อเกินกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าหนี้บุริมสิทธ์ |
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/7405 |
วันที่ | : 26 กรกฎาคม 2544 |
เรื่อง | : ภาษีอากรค้าง กรณีการอายัดเงินค่าจ้าง |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 |
ข้อหารือ | : บริษัท ธ. จำกัดถูกสำนักงานสรรพากรจังหวัดแพร่ประเมินภาษีอากร จำนวน |
แนววินิจฉัย | : 1 พิจารณาตามประมวลรัษฎากร |
เลขตู้ | : 64/30706 |
| เลขที่หนังสือ | : กค 0811/ก.130 |
| |
| วันที่ | : 6 สิงหาคม 2544 |
| |
| เรื่อง | : การเร่งรัดภาษีอากรค้าง ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร |
| |
| ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12, มาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080, มาตรา 715, มาตรา 289,มาตรา 702 |
| |
| ข้อหารือ | : จังหวัดภูเก็ตได้หารือปัญหาการเร่งรัดภาษีอากรค้าง ดังนี้ |
| |
| แนววินิจฉัย | : 1. กรณีตามข้อ 1 ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีหนี้ภาษีอากรค้างที่เกิดขึ้นก่อนที่หุ้นส่วนผู้จัดการคนเก่า |
| |
| เลขตู้ | : 64/30767 |
| |
คำพิพากษาฎีกาที่9934/2539 |
| |||
นายวิวัฒน์ บุญมาเลิศ | โจทก์ | |||
กรมสรรพากร | จำเลย | |||
เรื่อง ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด | ||||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ.2525 และระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร พ.ศ.2532 ข้อ 7 ข. | ||||
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2523 จำเลยได้ยึดที่ดินของโจทก์รวม 20 โฉนด เพื่อนำไปขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้าง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ต่อมาจำเลยได้ตั้งคณะกรรมการจัดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ ส่วนการขายทอดตลาดจำเลยได้แจ้งเรื่องขายทอดตลาดทรัพย์สินให้โจทก์ทราบ โดยวิธีประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ คณะกรรมการดังกล่าวได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ดินโจทก์ไป 18 โฉนด เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2533 เป็นเงินทั้งสิ้น 2,647,000 บาท ซึ่งการขายทอดตลาดเป็นไปโดยมิชอบ เพราะคณะกรรมการมิได้ส่งประกาศเรื่องขายทอดตลาดทรัพย์สินและและแจ้งกำหนดวันเวลาและสถานที่ขายทอดตลาดให้โจทก์ทราบตามระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษี พ.ศ.2532 ข้อ 7 ข. ซึ่งกำหนดว่าจะต้องส่งประกาศเรื่องขายทอดตลาด (ภ.ส.19) ให้แก่ผู้ค้างภาษีอากร หรือผู้มีส่วนได้เสียทราบ ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2533 แล้วให้จำเลยดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ใหม่ จำเลยให้การว่า จำเลยดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย ตามระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร พ.ศ.2532 ส่งประกาศให้เรื่องขายทอดตลาดทรัพย์สินให้โจทก์ทราบ โดยวิธีประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ "รายวันสยาม" ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2533 และปิดประกาศขายทอดตลาด ณ ที่ทำการกรมสรรพากรกรุงเทพมหานคร และตามที่ต่างๆ หลายแห่ง จึงถือว่าโจทก์ทราบประกาศเรื่องขายทอดตลาดทรัพย์สินแล้ว ก่อนประกาศขายทอดทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยตรวจสอบภูมิลำเนาของโจทก์จากสำนักงานกลางทะเบียนราษฎร์ กระทรวงมหาดไทยพบว่า โจทก์มีชื่ออยู่ในทะเบียนคนบ้านกลาง ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2530 ซึ่งทางราชการถือว่าเป็นทะเบียนที่ใช้สำหรับลงรายการของบุคคลที่ถูกแจ้งย้ายโดยไม่ทราบที่อยู่ หรือบุคคลที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน แต่บ้านถูกจำหน่ายไปแล้ว จำเลยจึงไม่อาจส่งประกาศเรื่องการขายทอดตลาดทรัพย์สินให้ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ได้ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กรณีจึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะฟ้องบังคับให้เพิกถอนการขายตลาด ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา บริษัท เอ็ม.เอ.ที.เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม โดยอ้างว่าเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์รายนี้ได้จากการขายทอดตลาดของจำเลยจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ตามกฎหมายในผลแห่งคดี ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้น พิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ และให้จำเลยดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ใหม จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาว่า ในการขายทอดตลาดคณะกรรมการดังกล่าวได้ประกาศโฆษณาแจ้งกำหนดวันเวลาและสถานที่ขายทอดตลาดในหนังสือพิมพ์รายวัน "รายวันสยาม" ฉบับวันที่ 10 ธันวาคม 2533 โดยมิได้ส่งประกาศเรื่องการขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวให้โจทก์ทราบ ตามระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ตามมาตรา 12 พ.ศ.2525 ข้อ 10 และระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร พ.ศ.2532 ข้อ 7 ตามเอกสารหลักฐาน โจทก์เคยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 50 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ต่อมาบ้านเลขที่ดังกล่าวถูกรื้อไป จึงย้ายเข้าทะเบียนตนบ้านกลาง ต่อมาย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 60/3 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2533 ก่อนวันที่ 18 ธันวาคม 2533 อันเป็นวันทอดตลาดที่ดินของโจทก์เป็นเวลานานถึง 4 เดือน 4 วัน จำเลยมิได้แจ้งการกำหนดวันเวลาและสถานที่ขายทอดตลาดไปยังภูมิลำเนาโจทก์ที่บ้านเลขที่ดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถรักษาสิทธิของโจทก์ในการขายทอดตลาด ทำให้ขายทรัพย์สินของโจทก์ไปในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง ที่ดินของโจทก์มีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดราคาไร่ละ 1,000,000 บาท โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะไม่สามารถชำระหนี้แก่จำเลยได้ครบถ้วน ตามระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร พ.ศ.2532 ข้อ 7 ข.วรรคสาม กำหนดว่า "การส่งประกาศเรื่องการขายทอดตลาดทรัพย์สินให้ปฏิบัติตามระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งประกาศการยึดทรัพย์สินโดยอนุโลม" และตามระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ตามมาตรา 12 พ.ศ.2525 ข้อ 10 กำหนดว่า "วิธีการส่งคำสั่งยึดทรัพย์สิน และประกาศยึดทรัพย์สินให้ปฏิบัติดังนี้ (1) ให้ส่งคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์สิน ณ ภูมิลำเนา หรือสำนักทำการงานของผู้ค้างภาษีอากร ฯลฯ " โจทก์มีภูมิลำเนาตามที่อยู่ดังกล่าวข้างต้นโดยมีนายประเสริฐ โตเจริญ ผู้อำนวยการเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ยืนยันรับรองข้อเท็จจริงนี้ ส่วนจำเลยและจำเลยร่วมมิได้นำสืบหักล้างข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อโจทก์มีที่อยู่เป็นที่แน่นอน จำเลยก็มีหน้าที่ต้องส่งประกาศแจ้งกำหนดวันเวลาและสถานที่ขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ให้โจทก์ทราบ โดยต้องส่งให้โจทก์ ณ ภูมิลำเนาของโจทก์ดังกล่าว ซึ่งถ้าไม่สามารถส่งได้ จำเลยจึงจะส่งด้วยวิธีอื่นหรือประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายเป็นปกติในท้องที่นั้นได้ ดังนั้น การที่จำเลยแจ้งเรื่องการ ขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ให้โจทก์ทราบโดยวิธีประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ให้ทำได้นั้น จึงถือไม่ได้ว่า จำเลยได้ส่งประกาศแจ้งกำหนดวันเวลาและสถานที่ขายทอดตลาดทรัพย์สินให้โจทก์ทราบโดยชอบ การขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ ที่จำเลยดำเนินการไปจึงไม่ชอบด้วยระเบียบ กรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ.2525 และระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร พ.ศ.2532 คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น ประเด็นข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ | ||||
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/3519 | ||||||
วันที่ | : 3 พฤษภาคม 2543 | ||||||
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีภาษีที่ค้างชำระจากแบบแสดงรายการตามประมาณการกำไรสุทธิ (ภ.ง.ด.51) | ||||||
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 67 ทวิ, มาตรา 12 | ||||||
ข้อหารือ | : บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) สำหรับ | ||||||
แนววินิจฉัย | : บริษัทฯ มีหน้าที่ยื่นรายการพร้อมกับชำระภาษีภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบ | ||||||
เลขตู้ | : 63/29245 | ||||||
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/5214 | ||||||
วันที่ | : 12 มิถุนายน 2545 | ||||||
เรื่อง | : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการบังคับจำนองที่ดินที่จดจำนองเป็นประกันการผ่อนชำระ | ||||||
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 | ||||||
ข้อหารือ | : 1. กรณีผู้ค้างภาษีอากรนำทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนมาจดจำนองเป็นประกันการชำระ | ||||||
แนววินิจฉัย | : กรณีผู้ค้างภาษีอากรนำทรัพย์สินของตนหรือของบุคคลอื่นมาจดจำนองเป็นประกันการชำระ | ||||||
เลขตู้ | : 65/31525 | ||||||
คำพิพากษาฎีกาที่1196/2539 |
| ||||||
นายสมาน สวัสดิ์นาวิน | โจทก์ | ||||||
กรมสรรพากร | จำเลย | ||||||
เรื่อง ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ | |||||||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ปวิธีพิจารณาความแพ่ง คำสั่งระหว่างพิจารณา (มาตรา 226) ประมวลรัษฎากร (มาตรา 12, 19, 20, 30, 76 ทวิ วรรคสาม) พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ (มาตรา 7(3)) | |||||||
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยทำงานอยู่กับสำนักงานกฎหมายชื่อ ห้างหุ้นส่วน สามัญนิติบุคคลติลลิกี แอนด์ กิบบินส์ ระหว่างที่โจทก์ทำงานอยู่กับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลดังกล่าว บริษัทรีนา แวร์ ตีสทริบิวเตอร์ส พีทีวาย จำกัด ได้เข้ามาเปิดสำนักงานสาขาในประเทศไทย และขอความช่วยเหลือในด้านกฎหมายจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลดังกล่าว โดยให้เป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนสาขาต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์บริษัทรีนาแวร์ ดิสทริบิวเดอร์ส พีทีวาย จำกัด ขอให้โจทก์ลงชื่อเป็นผู้จัดการสาขาเพื่อให้สามารถทำการจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนดังกล่าวได้ เมื่อปี 2534 โจทก์ได้ไปยื่นคำร้องเพื่อจดทะเบียนนิติกรรมโอนที่ดินที่สำนักงานที่ดินเขตราษฎร์บูรณะเจ้าพนักงานที่ดินไม่ยอมจดทะเบียนให้โดยแจ้งว่าจำเลยได้มีคำสั่งยึดที่ดินดังกล่าว อ้างว่าโจทก์เป็นผู้ทำการแทนบริษัทรีนาแวร์ ดิสทริบิวเตอร์ส พีทีวาย จำกัด ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2534 โจทก์จึงได้รับประกาศยึดทรัพย์สินของโจทก์ ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2534 การยึดทรัพย์ดังกล่าวได้กระทำโดยจำเลยรู้อย่างแจ้งชัดว่าทรัพย์สินที่ถูกยึดมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท รีนา แวร์ ดีสทริบิวเดอร์ส พีทีวาย จำกัด ผู้ถูกประเมินภาษีขอให้เพิกถอนคำสั่งประกาศยึดทรัพย์ที่ บร. 1913/2534 ฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2534และเพิกถอนการอายัดรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด ฟัลคอนหมายเลขทะเบียน 8 ก-5835 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ยี่ห้อมาสด้า หมายเลขทะเบียน5 ห-2110 กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน1,163600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น จำเลยให้การว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมิน ยึด อายัด ทรัพย์สินของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และบริษัทมิได้อุทธรณ์การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย บริษัทจึงหมดสิทธินำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลจึงได้ขอถอนฟ้องคดีที่ฟ้องจำเลยไว้และศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความคดีถึงที่สุดแล้ว ปรากฏตามคดีหมายเลขแดงที่ 115/2535 ของศาลภาษีอากรกลางโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะกล่าวอ้างอีกต่อไปว่าการประเมินไม่ถูกต้อง อีกทั้งได้แจ้งเตือนไปยังโจทก์ถึง 2 ครั้ง เมื่อโจทก์ได้รับทราบแล้วกลับเพิกเฉยจำเลยจึงได้ใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ยึดทรัพย์สินของโจทก์ ในการดำเนินการยึดทรัพย์เป็นอำนาจของจำเลยโดยเฉพาะไม่จำเป็นต้องเรียกโจทก์ไปไต่สวนก่อนแต่อย่างใด แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้เรียกโจทก์ไปไต่สวนแล้วแต่โจทก์เองกลับบิดพลิ้วและไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้น โจทก์จะอ้างเหตุว่า การยึดทรัพย์ของจำเลยกระทำไปโดยไม่มีอำนาจหาได้ไม่ และฟ้องของโจทก์ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากร ขอให้ยกฟ้อง ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของโจทก์ตามประกาศยึดทรัพย์ที่ บร. 1913/2534 ลงวันที่ 1 ดุลาคม 2534 คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ''มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ คำสั่งงดสืบพยานของศาลภาษีอากรกลางชอบหรือไม่ และโจทก์ต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรรายนี้ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่ สำหรับในประเด็นข้อแรกนั้น จำเลยอุทธรณ์ว่า เมื่อบริษัทรีนา แวร์ ดิสทริบิวเดอร์ส พีทีวาย จำกัด มิได้อุทธรณ์การประเมิน ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง และโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนก็ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องด้วย แม้ปัญหานี้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์มิใช่ขอให้เพิกถอนการประเมินซึ่งจะต้องอุทธรณ์การประเมินตามมาตรา 30 แห่ง ประมวลรัษฎากรโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์คดีนี้ต่อศาลภาษีอากรกลางนั้น เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยเห็นว่าโจทก์จะต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรค้างที่พิพาท แต่โจทก์ไม่ชำระ จำเลยจึงได้ยึดทรัพย์สินของโจทก์ตามอำนาจในมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากรแต่โจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรค้างรายนี้ จำเลยไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สินของโจทก์ ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งจะต้องพิจารณาและวินิจฉัยว่าโจทก์จะต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรค้างรายนี้หรือไม่ จึงเป็นคดีที่พิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากรซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7(2) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์คดีนี้ต่อศาลภาษีอากรกลาง อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ข้อต่อมาว่า คำสั่งงดสืบพยานของศาลภาษีอากรกลางชอบหรือไม่ปรากฏจากถ้อยคำสำนวนว่า เมื่อสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนไปแล้ว 1 ปาก ได้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อพอถึงวันนัดศาลภาษีอากรกลางได้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ไปอีกเพื่อนัดพร้อมสอบถามคู่ความเกี่ยวกับข้อเท็จจริงบางประการ และเมื่อถึงวันนัดพร้อมคือวันที่ 23 ธันวาคม 2536 ศาลภาษีอากรกลางจึงได้สอบถามข้อเท็จจริงบางประการจากคู่ความทั้งสองฝ่าย แล้วศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 29 ธันวาคม 2536 และศาลภาษีอากรกลางก็ได้พิพากษาคดีในวันที่ 29 ธันวาคม 2536 โดยนำข้อเท็จจริงจากการสอบถามคู่ความมาวินิจฉัยชี้ขาดคดี ดังนี้ คำสั่งงดสืบพยานของศาลภาษีอากรกลางในกรณีนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากคู่ความจะอุทธรณ์ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ แต่ปรากฏว่าจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว ทั้งๆ ที่มีเวลาโต้แย้งได้เพราะนับจากวันที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งจนถึงวันที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาคดีห่างกันถึง 6 วัน จำเลยจึงต้องห้าม อุทธรณ์คำสั่งนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนอุทธรณ์ข้อสุดท้ายที่ว่า โจทก์ต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรรายนี้หรือไม่นั้นเห็นว่า แม้จะฟังว่าโจทก์เป็นลูกจ้าง ผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการของบริษัท รีนา แวร์ ดีสทริบิวเดอร์ส พีทีวาย จำกัด ในประเทศไทยซึ่งต้องรับผิดเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ ดังจำเลยอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าเจ้าพนักงานประเมินยังมิได้เรียกโจทก์มาไต่สวนและแจ้งการประเมินภาษีอากรรายนี้ไปยังโจทก์ผู้ซึ่งต้องรับผิดเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรมาตร 19,20 คงประเมินภาษีอากรรายนี้ไปยังนายเดวิด ไลแมน ผู้จัดการบริษัทดังกล่าวเท่านั้นทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสอุทธรณ์การประเมินตามมาตรา 76 ทวิ วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากรเมื่อยังมิได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้ให้ครบถ้วนจำเลยจึงยังไม่มีอำนาจยึดทรัพย์สินของโจทก์ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากรที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของโจทก์จึงชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน (นิเวศน์ คำผอง - จรัญ หัตถกรรม - ชลอ บุณยเนตร) | |||||||
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/5666 |
| |||||
วันที่ | : 5 มิถุนายน 2544 |
| |||||
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการบริจาคที่ดินให้แก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชน |
| |||||
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 ตรี แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2522 |
| |||||
ข้อหารือ | : บริษัทฯ มีความประสงค์จะบริจาคที่ดินให้แก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ซึ่งจัดตั้งขึ้น |
| |||||
แนววินิจฉัย | : 1. หากบริษัทฯ เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน กรณีบริษัทฯ |
| |||||
เลขตู้ | : 64/30568 |
| |||||
คำพิพากษาฎีกาที่ 586/2544 |
|
| |||||
กรมสรรพากร | โจทก์ |
| |||||
บริษัท ยูไนเต็ดเทรดดิ้ง ขอนแก่น จำกัด | จำเลย |
| |||||
| |||||||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป.รัษฎากรฯ (มาตรา 12) | |||||||
โจทก์ฟ้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย (พีรพล จันทร์สว่าง - พิชัย เตโชพิทยากูล - วัฒนชัย โชติชูตระกูล) | |||||||
คำพิพากษาฎีกาที่5551/2541 |
| ||||||
กรมสรรพากร | โจทก์ | ||||||
กรมสรรพากร | เจ้าหนี้ | ||||||
บริษัทสหมิตรร่วมกิจพืชผล จำกัด | จำเลย | ||||||
เรื่อง เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ค่าภาษีอากรจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ | |||||||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป.รัษฎากร (มาตรา 12, 27 ทวิ) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.65/2539 (ข้อ1(3) | |||||||
ป. รัษฎากร มาตรา 27 ทวิ วรรคแรก กำหนดให้ถือว่าเงินเพิ่มตามมาตรา 27 เป็นเงินภาษี และมาตรา 12 วรรคแรก กำหนดว่าภาษีอากรซึ่งต้องเสียหรือนำส่ง เมื่อถึงกำหนดชำระแล้ว ถ้ามิได้เสียหรือนำส่งให้ถือเป็นภาษีอากรค้าง ดังนั้น การที่ลูกหนี้ค้างชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี 2528 รวมทั้งเงินเพิ่มเนื่องจากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดและเงินเพิ่มใหม่ จึงถือเป็นหนี้ภาษีอากรค้างตามความหมายของมาตรา 12 วรรคแรกทั้งสิ้น การที่กรมสรรพากรเจ้าหนี้นำเงินฝากในธนาคารอันเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ไปหักออกจากหนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลจึงเป็นการกระทำเพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับชำระภาษีอากรค้างตามมาตรา 12 วรรคสองนั่นเอง หาใช่เป็นการขัดต่อบทบัญญัติแห่ง ป. รัษฎากรแต่อย่างใดไม่ แม้เจ้าหนี้จะอ้างคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.65/2539 เรื่อง การชำระภาษี เงินเพิ่มและหรือเบี้ยปรับบางส่วน ข้อ 1(3) ที่ระบุว่า การชำระภาษีและเงินเพิ่มต้องมีการเฉลี่ยตามสัดส่วนของจำนวนภาษีและเงินเพิ่มนั้น ก็เป็นเพียงคำสั่งภายในของกรมสรรพากรเจ้าหนี้ที่แจ้งให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติ ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีมาชำระหนี้ เงินเพิ่มและหรือเบี้ยปรับตาม ป.รัษฎากรบางส่วน มิได้ชำระให้ครบถ้วนตามแบบแจ้งการประเมินภาษีเท่านั้น มิใช่กฎหมายที่ใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไป ดังนั้น จึงไม่อาจใช้บังคับแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ต้องดำเนินตาม | |||||||
| คำพิพากษาฎีกาที่ 4540/2528 |
|
| ||||
| นายชัย ชัยแจ่มเลิศ ที่ 1 | โจทก์ |
| ||||
| นายรุ่งโรจน์ แซ่อุ่ย ที่ 2 |
|
| ||||
| กรมสรรพากร | จำเลย |
| ||||
|
|
| |||||
| โจทก์ซื้อที่ดินจากบริษัท บวรนคร จำกัด แล้ว ไม่สามารถทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้ เพราะที่ดินพิพาทถูกจำเลยใช้อำนาจยึดไว้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 12 เนื่องจากบริษัท บวรนคร จำกัด ค้างชำระภาษีอากร คดีมีปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยถอนการยึดที่ดินพิพาทหรือไม่ |
| |||||
|
|
| |||||
คำพิพากษาฎีกาที่ 4538/2533
กรมสรรพากร กับพวก ................................................โจทย์
นายไกรวุฒิ วสุนิรชร ..................................................จำเลย
เรื่อง ฝากทรัพย์ไม่มีบำเหน็จ
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง แพ่ง ฝากทรัพย์ไม่มีบำเหน็จ (ม.659) วิธีพิจารณาความแพ่ง อำนาจฟ้อง (ม.55) พระราชบัญญัติ ประมวลรัษฎากร (ม.2, 12)
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โจทก์ที่ 2 เป็น หัวหน้าเขตบางเขน (ตำแหน่งเดียวกับนายอำเภอ) มีร้อยตรีวิจิต เวชรังษี เป็นหัวหน้าเขตโจทก์ที่ 3 รับราชการในตำแหน่งสมุห์บัญชี เขตบางเขน บริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง(1980) จำกัด ได้ค้างชำระ ภาษีการค้าโจทก์ที่ 1 จำนวน 3,748,771.70 บาท โจทก์ที่ 2 อาศัย อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร จึงมีคำสั่งยึดทรัพย์และ ประกาศยึดทรัพย์ที่ 115/2524 และ 116/2524 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2524แต่งตั้งให้โจทก์ที่ 3 และนายอาคม คุ้มทอง ไปทำการยึดทรัพย์ ของบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980) จำกัด ต่อมาวันที่ 26 มิถุนายน 2524 โจทก์ที่ 3 และนายอาคมได้นำประกาศยึดทรัพย์ดังกล่าวไปทำการ ยึดทรัพย์ของบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง(1980) จำกัด รวม 57 รายการ ในวันเดียวกันนั้น จำเลยได้ทำสัญญารับฝากทรัพย์โดยเป็นผู้ดูแลรักษา ทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ภายในอาคารที่ทำการบริษัทดังกล่าวทั้งหมด รวม 56 รายการ เป็นราคาทั้งสิ้น 1,274,425 บาท โดยไม่คิดค่าดูแลรักษาทรัพย์ ในระหว่างอายุสัญญาฝากทรัพย์ จำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังสงวน ทรัพย์สินที่รับฝากดังกล่าวเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง เป็นเหตุให้ทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสามฝากไว้สูญหาย 40 รายการ รวมราคา 638,375 บาท ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 2528 โจทก์ที่ 3 ได้บอกเลิกสัญญา และแจ้งให้จำเลยนำส่งทรัพย์สินที่จำเลยรับฝากไว้หรือชำระราคาต่อ โจทก์ทั้งสาม แต่จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้พิพากษาบังคับจำเลยคืนหรือ ใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 638,375 บาท แก่โจทก์ทั้งสาม พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่าเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2524 โจทก์ที่ 3 และนายอาคมได้มาทำการยึดทรัพย์สินของบริษัท เสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980) จำกัด ขณะนั้นกรรมการผู้มีอำนาจของ บริษัทไม่อยู่ไม่มีใครที่จะเซ็นรับหมายไว้ โจทก์ที่ 3 และนายอาคมจึงแจ้ง ให้จำเลยซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายทั่วไปเป็นพนักงานฝ่ายทั่วไปเป็นผู้รับหมาย ประกาศยึดทรัพย์ไว้แทนบริษัท เพื่อที่จะนำไปให้กรรมการผู้มีอำนาจของ บริษัทต่อไปในครั้งแรกจำเลยไม่ยอมเซ็นชื่อ แต่โจทก์ที่ 3 และนายอาคม แจ้งแก่จำเลยว่าเป็นเพียงการรับหมายไว้แทนเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดชอบ ใด ๆทั้งสิ้นเพราะไม่มีค่ารับฝาก เมื่อกรรมการผู้มีอำนาจมาก็นำหมายให้ ความรับผิดชอบต่าง ๆ บริษัทจะเป็นผู้ดูแลเอง จำเลยจึงยอมเซ็นชื่อตาม บันทึกข้อความเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 โดยโจทก์ที่ 3 หรือนาย อาคมเป็นผู้เขียนข้อความเองทั้งหมด จำเลยไม่ทราบว่าบัญชีทรัพย์สิน ต่อท้ายประกาศยึดทรัพย์จะมีอะไรบ้างและมีราคาเท่าใด เพราะโจทก์ที่ 3 มิได้ให้จำเลยตรวจดูหรือมีการตีราคากันแต่อย่างใด จำเลยมิได้มี เจตนาจะเป็นผู้รับฝากทรัพย์ สัญญาฝากทรัพย์จึงเป็นโมฆะต่อมาเมื่อ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980) จำกัด มาที่บริษัท จำเลยก็ได้มอบหมายประกาศยึดทรัพย์และคำสั่งยึดทรัพย์ ให้ไป หลังจากนั้น กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทก็จัดการดูแล โดยปิด ประตูใส่กุญแจอาคารที่ถูกยึด และบรรดาทรัพย์สินภายในอาคารนั้น ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์2525 จำเลยได้รับแจ้งจากบริษัทว่าทรัพย์สิน ถูกโจรกรรมไปหลายรายการ และได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อไว้แล้วจำเลยจึงได้แจ้งให้โจทก์ที่ 3 ทราบ โจทก์ที่ 3 แนะนำให้จำเลยทำหนังสือถึงหัวหน้าเขตบางเขน ดังนั้น ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2525 จำเลยจึงได้ทำหนังสือแจ้งให้หัวหน้า เขตบางเขนทราบและให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเฝ้ารักษาทรัพย์เอง แต่หัวหน้า เขตบางเขนเพิกเฉยหากศาลฟังว่าจำเลยได้รับฝากทรัพย์จริง จำเลย ก็ไม่ต้องรับผิด เนื่องจากจำเลยได้รักษาทรัพย์อย่างดีแล้วเสมือนเป็น ทรัพย์จริง จำเลยก็ไม่ต้องรับผิด เนื่องจากจำเลยได้รักษาทรัพย์อย่างดี แล้วเสมือนเป็นทรัพย์ของตนเอง ทรัพย์สินหายไปโดยเกิดจากการ โจรกรรม และได้ร้องทุกข์ตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้น พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามโจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันและไม่โต้ เถียงกันฟังได้ว่าบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980) จำกัด ค้างชำระ ภาษีการค้าแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 3 ล้านบาทเศษ ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 โจทก์ที่ 3 ในฐานะสมุห์บัญชีเขตบางเขนมีหนังสือแจ้งให้บริษัท ดังกล่าวนำเงินภาษีที่ค้างมาชำระ ตามเอกสารหมาย ป.จ.2 แต่บริษัท ไม่ยอมชำระ โจทก์ที่ 3 จึงทำบันทึกข้อความเสนอหัวหน้าเขตบางเขน (โจทก์ที่ 2) และได้รับอนุมัติให้ดำเนินการยึดทรัพย์ของบริษัทดังกล่าว ขายทอดตลาดใช้ค่าภาษี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ตามเอก สารหมาย ป.จ.3 ต่อจากนั้นได้มีการไปสำรวจทรัพย์สินของบริษัทนี้ และ บันทึกไว้ตามเอกสารหมาย ป.ล.1 ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2524 โจทก์ที่ 2 ได้มีคำสั่งยึดทรัพย์และประกาศยึดทรัพย์ โดยตั้งให้โจทก์ ที่ 3 และนายอาคม คุ้มทอง ผู้ช่วยสมุห์บัญชีเขตบางเขนเป็นผู้ไปทำการ ยึดทรัพย์ตามเอกสารหมาย ป.จ.4 ครั้นวันที่ 26 มิถุนายน 2524 โจทก์ที่ 3 และนายอาคมจึงไปทำการยึดทรัพย์ของบริษัทเสกสรรเทป แผ่นเสียง(1980) จำกัด ณ ที่ทำการบริษัทแต่ไม่พบผู้จัดการบริษัท พบแต่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายทั่วไปของบริษัท โจทก์ที่ 3 ได้มอบ ประกาศยึดทรัพย์ ฉบับลงวันที่ 25 มิถุนายน 2524 พร้อมบัญชีทรัพย์ ที่ยึดให้จำเลย และทำบันทึกข้อความให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้ โดยมี ข้อความสำคัญว่า "ข้าฯ ได้รับหมายประกาศฉบับดังกล่าวนี้แล้ว ขอรับว่าจะนำไปมอบให้คณะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทฯ ได้ รับทราบต่อไป และทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ภายในอาคารนั้น ทางข้าฯ จะ รักษาทรัพย์ให้เสมือนของบริษัทฯ เองจะช่วยรักษาทรัพย์ที่ยึดไว้ โดยไม่คิดค่ารักษาดูแล...." ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ.5 ทรัพย์ ที่ยึดในวันดังกล่าวมี 56 รายการ รวมราคา 1,274,245 บาท ตาม เอกสารหมาย ป.จ.6 เมื่อทราบถึงการยึดทรัพย์แล้วไม่กี่วันบริษัท เสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980) จำกัด ได้ปิดกิจการ เลิกจ้างพนักงาน ทั้งหมดรวมทั้งจำเลยอาคารบริษัทซึ่งเป็นที่เก็บทรัพย์ที่ยึด ผู้จัดการปิด ใส่กุญแจไว้ และถือกุญแจไว้เอง ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2525 และ วันที่ 21 สิงหาคม 2525 มีผู้แทนของบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980) จำกัด ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อว่าทรัพย์สิน ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรยึดไว้นั้น ได้สูญหายไปบางส่วนปรากฏตาม รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 จำเลยเอง ก็ได้มีหนังสือถึงหัวหน้าเขตบางเขนว่า ทรัพย์สินหลายอย่างถูกโจรกรรม ไป ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.ล.2 โจทก์ที่ 3 จึงได้ไปสำรวจทรัพย์สิน ที่หายไปและบันทึกไว้ตามเอกสารหมาย ป.จ.7 และแจ้งให้จำเลยส่ง ทรัพย์สินหรือใช้ราคา ตามเอกสารหมาย ป.จ.9 และ ป.จ.10 จำเลยมี หนังสือตอบไปว่า ได้รักษาทรัพย์เสมือนเป็นทรัพย์ของจำเลยเองแล้ว แต่ถูกโจรกรรมไป ไม่สามารถคืนให้ได้ ปรากฏตามเอกสารหมาย ป.ล.3 คดีมีปัญหาขึ้นสู่ศาลฎีกา ตามฎีกาของโจทก์ทั้งสาม 2 ประเด็น คือ
1. โจทก์ที่ 2 และที่ 3 มีอำนาจฟ้องหรือไม่
2. จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด
สำหรับประเด็นข้อ 1 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ที่ 2 เป็นหัวหน้า เขตบางเขน เป็นผู้ออกคำสั่งยึดทรัพย์สินของบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980) จำกัด เพื่อดำเนินการขายทอดตลาดเอาเงินไปชำระค่าภาษีอากร ค้าง ซึ่งโจทก์ที่ 2 มีอำนาจทำได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ประ กอบด้วยมาตรา 2ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น โจทก์ที่ 3 เป็นสมุห์บัญชี เขตบางเขน เป็นผู้ออกไปยึดทรัพย์สินของบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980) จำกัด ตามคำสั่งของโจทก์ที่ 2 และในการยึดนั้นโจทก์ที่ 3 ได้มอบทรัพย์สินที่ยึดไว้กับจำเลย โดยทำบันทึกให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้ ตามเอกสารหมาย ป.จ.5 ซึ่งโจทก์ทั้งสามถือว่า การปฏิบัติเช่นนี้เป็น การฝากทรัพย์ ศาลฎีกาเห็นว่า การปฏิบัติดังกล่าวของโจทก์ที่ 3 นอกจากจะเป็นการกระทำการแทนโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาแล้ว ยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของโจทก์ที่ 2 ในนามของตนเอง ซึ่งต้องรับผิดชอบเองอยู่ในตัวด้วย เพราะการที่โจทก์ที่ 3 มอบทรัพย์สิน ที่ยึดไว้กับจำเลยนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เป็นส่วนหนึ่งของการยึด ทรัพย์สินตามคำสั่งของโจทก์ที่ 2 นั่นเอง ฉะนั้นเมื่อจำเลยไม่ยอมคืน ทรัพย์ดังกล่าว โจทก์ที่ 3 ย่อมไม่สามารถเสนอต่อโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ บังคับบัญชาให้ดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดไว้นั้นได้ และ โจทก์ที่ 2 ก็ต้องเสียหายด้วยที่ไม่อาจขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ออก คำสั่งยึดไว้แล้วเพื่อเอาเงินชำระค่าภาษีอากรค้างตามอำนาจที่มีอยู่ดังนี้ ทั้งโจทก์ที่ 2 ในฐานะหัวหน้าเขต และโจทก์ที่ 3 ในฐานะสมุห์บัญชี เขตผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าเขต ต่างถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว จึงมี อำนาจฟ้องคดีนี้ได้ตามฐานะของตน ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ไม่มีอำนาจฟ้องและศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสามในข้อนี้ฟังขึ้น
ส่วนประเด็นข้อ 2 ที่ว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หลังจากได้รับคำสั่งจากโจทก์ที่ 2 แล้ว โจทก์ที่ 3 กับ นายอาคม คุ้มทอง ได้ออกไปยึดทรัพย์สินของบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980) จำกัด ในการยึด โจทก์ที่ 3 ได้มอบประกาศยึดทรัพย์พร้อม ด้วยบัญชีทรัพย์ที่ยึดให้จำเลยซึ่งเป็นพนักงานฝ่ายทั่วไปของบริษัท กับ ทำบันทึกให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้ โดยมีข้อความว่าจำเลยรับทราบหมาย ประกาศยึดทรัพย์ และรับจะนำไปมอบให้คณะกรรมการผู้มีอำนาจของ บริษัทต่อไป ทั้งรับว่าทางจำเลยจะรักษาทรัพย์นั้นไว้ เสมือนเป็นของ บริษัทเอง โดยไม่คิดค่ารักษาดูแลปรากฏตามเอกสารหมาย ป.จ.5 ต่อมาเมื่อทรัพย์สินที่ถูกยึดถูกโจรกรรม ทางบริษัทแจ้งความไว้ที่สถานี ตำรวจนครบาลบางซื่อ จำเลยก็ได้หนังสือแจ้งหัวหน้าเขตบางเขตทราบ ตามเอกสารหมาย ป.ล.2 เมื่อโจทก์ที่ 3 ทวงถามให้จำเลยส่งทรัพย์สิน ที่รับฝากไว้คืน จำเลยก็มีหนังสือตอบไปว่า ได้รักษาทรัพย์ไว้เสมือนเป็น ทรัพย์ของตนเองแล้ว แต่ถูกโจรกรรมไป จึงไม่สามารถคืนให้ได้จาก พฤติการณ์ที่โจทก์ที่ 3 ปฏิบัติต่อจำเลย และที่จำเลยปฏิบัติต่อโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ดังกล่าวแล้ว ฟังได้ว่า โจทก์ที่ 3 ยึดทรัพย์สินของบริษัท เสกสรรเทปแผ่นเสียง(1980) จำกัด แล้วฝากให้จำเลยดูแลรักษาไว้ โดยไม่มีบำเหน็จ และจำเลยก็ตกลงรับฝากตามนั้น เมื่อทรัพย์ที่รับฝาก ไว้บางส่วนหายไปโดยถูกโจรกรรม จำเลยจะแก้ตัวว่าไม่ได้รับฝากเพียง แต่รับคำสั่งยึดทรัพย์ไปมอบให้แก่คณะกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท เท่านั้น หาได้ไม่ เมื่อจำเลยเป็นผู้รับฝากทรัพย์ไว้โดยไม่มีบำเหน็จเช่นนี้ จำเลยก็จำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินที่ฝากนั้นเหมือนเช่นเคย ประพฤติในกิจการของตนเอง ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 659 ในข้อนี้โจทก์เหมือนเช่นทรัพย์สินของจำเลยเอง โดยเมื่อบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง (1980)จำกัด ปิดกิจการ เลิกจ้าง พนักงานทั้งหมด เป็นเหตุให้ตัวจำเลยและพนักงานอื่นไม่สามารถเข้าไป ในตัวอาคารได้ จำเลยควรจะแจ้งให้โจทก์ทราบ เพื่อโจทก์จะได้นำ ทรัพย์สินที่ยึดไปเก็บรักษาไว้เอง แต่จำเลยก็เพิกเฉยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ จนเป็นเหตุให้ทรัพย์สินถูกโจรกรรมสูญหายไป และกรณีมิใช่เป็นเหตุสุด วิสัยจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ พิเคราะห์ฎีกาของโจทก์ทั้งสามใน ข้อนี้แล้ว เห็นว่าจำเลยเป็นพนักงานฝ่ายทั่วไปของบริษัทที่ถูกยึดทรัพย์ มีอายุ 40 ปี จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีหน้าที่ในบริษัทคือ ติดต่อนักร้องและนักดนตรีกับทำงานอื่นตามที่ผู้จัดการมอบหมาย ซึ่งโจทก์ที่ 3 รู้ฐานะของจำเลยแล้วก็ยังมอบให้จำเลยแล้วก็ยังมอบให้ จำเลยเป็นผู้รับฝากทรัพย์นั้น เมื่อทางบริษัทสั่งปิดกิจการและเลิกจ้าง พนักงานทั้งหมดแล้วผู้จัดการได้ปิดตัวอาคารบริษัทซึ่งเก็บทรัพย์ที่ยึด ลั่นกุญแจ และถือลูกกุญแจไว้พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้จำเลยซึ่ง เป็นผู้มีความรู้น้อยและมีฐานะเป็นเพียงพนักงานผู้น้อย เข้าใจว่า ผู้จัดการได้ให้ความร่วมมือในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่โจทก์ที่ 3 ฝากไว้เป็นอย่างดีแล้ว และคงจะเห็นว่า วิธีการเก็บรักษาเช่นที่กล่าวนั้น สามารถให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินเหล่านั้นอย่างเพียงพอแล้วไม่ จำเป็นต้องแจ้งให้โจทก์ที่ 3 ทราบ เพื่อนำไปเก็บรักษาไว้เอง อนึ่ง โดย ที่จำเลยมิใช่ผู้มีอำนาจในบริษัท แต่ผู้จัดการเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจในบริษัท ถ้าหากว่าจำเลยจะต้องทรัพย์สินของจำเลยเองไว้ในตัวอาคารบริษัท ให้ได้รับความปลอดภัยแล้ว จำเลยก็จำต้องพึ่งพาความร่วมมือของผู้ จัดการเช่นเดียวกัน การที่บริษัทปิดกิจการเลิกจ้างพนักงานทุกคนรวม ทั้งจำเลย และผู้จัดการปิดอาคารบริษัทปิดกิจการเลิกจ้างพนักงานทุก คนรวมทั้งจำเลย และผู้จัดการปิดอาคารบริษัทซึ่งเก็บทรัพย์ที่ยึดลั่น กุญแจไว้ แต่จำเลยยังคงปล่อยให้ทรัพย์ที่ยึดคงอยู่ในอาคารนั้นโดยไม่ ได้แจ้งโจทก์ที่ 3 ผู้ฝากทรัพย์ทราบเพื่อนำไปเก็บรักษาไว้เองนั้น จึงเป็น พฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินฝาก เหมือนเช่นที่เคยประพฤติในกิจการของตนเองและนับว่าจำเลยได้ปฏิบัติ หน้าที่ผู้รับฝากด้วยความระมัดระวังตามสมควรแก่ฐานะของจำเลยแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ทรัพย์ที่สูญหายไปจะมีราคาเท่าไรจึงไม่จำ เป็นต้องวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย"
พิพากษายืน
(สวิน อักขรายุธ เธียร ยูงทอง ประคนธ์ พันธุ์วิชาติกุล
คำพิพากษาฎีกาที่ 2023/2538 |
| |||
นายสุชัย ตียหิรัญวัฒนา | โจทย์ | |||
กรมสรรพากร กับพวก | จำเลย | |||
เรื่อง เพิกถอนคำสั่งอายัดที่ดินพิพาท | ||||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป.รัษฎากร (มาตรา 12) วิธีพิจารณาความแพ่ง โต้แย้งสิทธิ (มาตรา 55) | ||||
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับผิดชอบราชการในจังหวัดเชียงใหม่ มีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีกรมสรรพากรตามประมวลรัษฎากร โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 34168 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2530 จำเลยที่ 2 ในฐานะปฏิบัติราชการแทนจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวมีคำสั่งอายัดที่ดินพิพาทของโจทก์ ถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และมิใช่เป็นผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรจำเลยที่ 2 กระทำโดยไม่สุจริตและไม่มีอำนาจตามกฎหมายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองถอนคำสั่งอายัดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 34168 ภายใน7 วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายวันละ 300 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะเพิกถอนคำสั่งอายัด จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทที่แท้จริงเนื่องจากโจทก์ได้รับโอนที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตเป็นการฉ้อฉล จำเลยที่ 2 สั่งอายัดที่ดินพิพาทตามอำนาจหน้าที่ตามประมวลรัษฎากรโดยสุจริต มิได้กระทำในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ออกคำสั่งอายัดดังกล่าว โจทก์กล่าวอ้างว่าเสียหายวันละ 300 บาท ไม่เป็นความจริง โจทก์ทราบเหตุคดีนี้เกินกว่า 1 ปี โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนคำสั่งอายัด ห้ามทำนิติกรรมใด ๆในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 34168 ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง คำขออื่นให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมที่ดินพิพาทซึ่งถูกจำเลยที่ 2 มีคำสั่งอายัดโดยอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 เป็นของนายสนธยา อินตายนต์ ผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรแก่จำเลยที่ 1 นายสนธยาได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2529 ในวันที่ 14เมษายน 2530 จำเลยที่ 2 มีคำสั่งอายัดที่ดินพิพาทไปยังเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ห้ามจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินพิพาทโดยอ้างเหตุว่าโจทก์รับโอนที่ดินพิพาทโดยการฉ้อฉล จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับนายสนธยา ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ระหว่างฎีกา ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งสองข้อแรกมีว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 หรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ที่ขอให้จำเลยทั้งสองเพิกถอนคำสั่งอายัดที่ดินพิพาทของโจทก์มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหาย จึงไม่ตกอยู่ในอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งสองข้อต่อไปมีว่า จำเลยที่ 2 มีอำนาจสั่งอายัดที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า ตามคำสั่งอายัดของจำเลยที่ 2 เอกสารหมาย จ.2 จำเลยที่ 2 อ้างอาศัยอำนาจตามประมวลรัษฎากรมาตรา 12 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2525 และความตามบทบัญญัติ ดังกล่าววรรคสองบัญญัติว่า เพื่อให้ได้รับชำระภาษีอากรค้างให้อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรได้ทั่วราชอาณาจักร โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง อำนาจดังกล่าว อธิบดีจะมอบให้รองอธิบดีหรือสรรพากรเขตก็ได้ และในวรรคสามของมาตราดังกล่าวบัญญัติให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจเช่นเดียวกับอธิบดีตามวรรคสองตามบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ชัดว่ากฎหมายให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรเท่านั้น เมื่อโจทก์มิใช่ผู้ที่ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรของนายสนธยา จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจอายัดที่ดินพิพาทของโจทก์ตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าได้มีการฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนโดยฉ้อฉลระหว่างโจทก์กับนายสนธยาแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่าผลคดีถึงที่สุดได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนแล้ว เมื่อปัจจุบันโจทก์ยังเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามกฎหมายอยู่ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจอายัดที่ดินพิพาทของโจทก์ได้แม้จำเลยที่ 1 จะได้ยื่นฟ้องโจทก์และนายสนธยาขอให้เพิกถอนการโอนโดยฉ้อฉลไว้แล้วก็ตาม เพราะไม่มีบทกฎหมายสนับสนุนให้อำนาจำเลยที่ 2 กระทำได้ คำสั่งอายัดที่ดินพิพาทของโจทก์ตามเอกสารหมายจ.2 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน สำหรับปัญหาตามฎีกาจำเลยทั้งสองที่ว่า ที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เพิกถอนคำสั่งอายัดด้วยเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้สั่งอายัดที่พิพาทจึงไม่ชอบที่จะให้จำเลยที่ 1 เพิกถอนคำสั่งอายัดของจำเลยที่ 2 ด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยที่ 1 เพิกถอนคำสั่งอายัดนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 (ปราโมทย์ ชพานนท์ - อุระ หวังอ้อมกลาง - เสริม บุญทรงสันติกุล) | ||||
| เลขที่หนังสือ | : กค 0811/1433 |
| |
| วันที่ | : 18 กุมภาพันธ์ 2545 |
| |
| เรื่อง | : ขอพระราชทานพระมหากรุณา |
| |
| ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12, มาตรา 30 |
| |
| ข้อหารือ | : นาง ส. ได้นำที่ดินอยู่อาศัยและทำกิน น.ส.3 ก. เนื้อที่ 43-0-63 ไร่ ซึ่งติดจำนอง |
| |
| แนววินิจฉัย | : ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร ราย นาง ส. มีดังนี้ |
| |
| เลขตู้ | : 65/31266 |
| |
| เลขที่หนังสือ | : กค 0811/ก.592 |
| |
| วันที่ | : 18 กันยายน 2543 |
| |
| เรื่อง | : การยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร |
| |
| ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 |
| |
| ข้อหารือ | : การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ |
| |
| แนววินิจฉัย | : กรณีผู้ค้างฯ ได้ทำหนังสือสัญญายกที่ดินให้สร้างวัด ณ ที่ว่าการอำเภอ ถือว่าผู้ค้างฯ ได้แสดง |
| |
| เลขตู้ | : 63/29814 |
| |
คำพิพากษาฎีกาที่ 7729/2540 |
|
นายสาธิต สยามรัตนกิจ | โจทก์ |
กรมสรรพากร กับพวก | จำเลย |
เรื่อง งดการขายทอดตลาดที่ดินในระหว่างพิจารณาคดี | |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีพิจารณาความแพ่ง ขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา (มาตรา 264), | |
ป.รัษฎากร (มาตรา 12) คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ที่ไม่อนุมัติให้โจทก์ขยายกำหนดเวลาการยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า และขอให้มีคำสั่งขยายระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในกรณีฉุกเฉิน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ต่อมาโจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้คุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณา ความว่า จำเลยที่ 1ได้ยึดทรัพย์คือที่ดินของโจทก์รวม 22 โฉนด และได้ขายทอดตลาดไปแล้ว 5 โฉนด ทั้งกำลังจะขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวที่เหลือต่อไปทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้เพิกถอนการยึดหรือให้จำเลยที่ 1 งดการขายทอดตลาดที่ดินของโจทก์ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด |
คำพิพากษาฎีกาที่8296/2543 |
| |||
นายธนากร เกียรติเลิศพงศา | โจทก์ | |||
กรมสรรพากร | จำเลย | |||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป.รัษฎากรฯ (มาตรา 12,30 (2),31) พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ (มาตรา 8) | ||||
โจทก์ฟ้องต่อศาลว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ให้ยึดและอายัดทรัพย์สินของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการยึดและอายัดทรัพย์ของโจทก์ซึ่งไม่มีกฎหมายระบุให้ต้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อนฟ้องคดีเหมือนการฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษี ซึ่งโจทก์จะฟ้องได้ก็ต่อเมื่อมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ ประกอบมาตรา 30 (2) แห่ง ป.รัษฎากรฯ การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าเป็นการข้ามขั้นตอนจึงไม่ถูกต้องและไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์แล้ว ศาลฎีกาสามารถวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน โจทก์ฟ้องว่าคำสั่งของจำเลยที่ให้ยึดและอายัดทรัพย์สินของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยอ้างแต่เพียงว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้มีเงินได้ตามการประเมินเท่านั้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้ข้อยุติเพราะยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แต่ตามมาตรา 31 แห่ง ป.รัษฎากรฯ นั้น การอุทธรณ์ไม่เป็นการทุเลาการเสียภาษีอากร ดังนั้น เมื่อปรากฏจากคำฟ้องว่าโจทก์ไม่ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามการประเมินภายในกำหนดเวลา ค่าภาษีดังกล่าวจึงถือเป็นภาษีอากรค้างตามมาตรา 12 อธิบดีของจำเลยย่อมมีอำนาจสั่งยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของโจทก์ได้ตามมาตรา 12 วรรคสอง แห่ง ป.รัษฎากรฯ การที่จำเลยสั่งให้เจ้าพนักงานของจำเลยยึดและอายัดทรัพย์สินของโจทก์ตามฟ้อง จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว | ||||
| เลขที่หนังสือ | : กค 0811(กม)/452 |
| |
| วันที่ | : 25 มีนาคม 2542 |
| |
| เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีธนาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอายัด |
| |
| ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12, มาตรา 35 ทวิ |
| |
| ข้อหารือ | : กรณีธนาคารไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอายัด ราย บริษัท ก จำกัด สรุปข้อเท็จจริงได้ดังนี้ |
| |
| แนววินิจฉัย | : ภาระผูกพันตามเงื่อนไขสัมปทานระหว่างบริษัท ก จำกัด กับ กรมป่าไม้ เป็นข้อตกลง |
| |
| เลขตู้ | : 62/27736 |
| |
คำพิพากษาฎีกาที่3691/2545 |
|
กรมสรรพากร | โจทก์ |
ห้างหุ้นส่วนจำกัด จิรสินทรัพย์ ที่ 1 กับพวก | จำเลย |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 65/2539 | |
หนี้ภาษีมูลค่าเพิ่ม เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับ ต่างก็เป็นภาษีอากรค้างตามความหมายของประมวลรัษฎากร มาตรา 12 วรรคแรก และการที่นำเงินฝากในธนาคารอันเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ไปหักออกจากหนี้ภาษีมูลค่าเพิ่มก็เป็นการกระทำเพื่อให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระภาษีอากรค้างตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 วรรคสอง นั่นเอง แต่เมื่อหนี้ภาษีอากรค้างดังกล่าวมีหลายจำนวนและกรณีที่มีข้อสงสัยว่าจะต้องนำเงินตามบัญชีเงินฝากไปชำระหนี้ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือเงินเพิ่ม หรือเบี้ยปรับ กรณีจึงตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ผู้ซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 ด้วยการนำเงินฝากดังกล่าวไปหักหนี้ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มก่อน ส่วนที่โจทก์อ้างว่าการชำระภาษีและเงินเพิ่มต้องมีการเฉลี่ยตามสัดส่วนของจำนวนภาษี เงินเพิ่ม และเบี้ยปรับ ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 65/2539 เรื่องการชำระภาษี เงินเพิ่ม และหรือเบี้ยปรับบางส่วนตามข้อ 1 (3) นั้น คำสั่งดังกล่าวมิใช่กฎหมายที่ใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไป เป็นเพียงคำสั่งภายในของโจทก์แจ้งให้เจ้าพนักงานสรรพากรถือเป็นแนวทางปฏิบัติในกรณี ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมาชำระภาษี เงินเพิ่ม และหรือเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากรบางส่วน โดยมิได้ชำระให้ครบถ้วนตามแบบแจ้งการประเมินเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่อาจใช้บังคับแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกให้ต้องดำเนินการ |
เลขที่หนังสือ | : กค 0706/6982 |
วันที่ | : 22 กรกฎาคม 2547 |
เรื่อง | : การอายัดเงินค้ำประกันสัญญาจ้าง |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 |
ข้อหารือ | : ขอหารือเรื่องส่งคำสั่งอายัดทรัพย์สินให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อนำส่งเงินค้ำประกัน |
แนววินิจฉัย | : เงินค้ำประกันของห้างฯ ที่มอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดน่านครอบครองเป็นประกันความ |
เลขตู้ | : 67/33049 |
คำพิพากษาฎีกาที่445/2549 |
| |||||||||||||||||||
นางสาวสุขสันติ โกศัยเสวี | โจทก์ | |||||||||||||||||||
กรมสรรพากร | จำเลย | |||||||||||||||||||
เรื่อง ภาษีธุรกิจเฉพาะ | ||||||||||||||||||||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) , มาตรา 12 , มาตรา 48 (4) , มาตรา 91/2 (6) พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ฯ (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 ประกอบ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดี ภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 | ||||||||||||||||||||
เจ้าพนักงานฯ ได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2536 และภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับเดือนภาษีกันยายน 2536 กรณีที่โจทก์ขายที่ดิน โจทก์อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางอันเป็นการปฏิบัติตามมาตรา 30 (2) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ระหว่างพิจารณาคดีของศาลภาษีอากรกลาง โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเกี่ยวกับการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ และศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ดังนั้น การ ถอนฟ้องย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้อง ทำให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลยตามมาตรา 176 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 จึงมีผลเท่ากับโจทก์มิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 30 (2) แห่งประมวลรัษฎากร คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับภาษีธุรกิจเฉพาะจึงเป็นยุติ โจทก์จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าว เจ้าพนักงานฯ ได้เรียกให้โจทก์ชำระภาษีแล้ว โจทก์ไม่ชำระจึงถือว่าเป็นภาษีอากรค้าง เจ้าพนักงานฯ จึงมีอำนาจยึดที่ดินของโจทก์ขายทอดตลาดเพื่อชำระภาษีธุรกิจเฉพาะดังกล่าวได้ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เพราะศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ใน คำพิพากษาฎีกาที่ 8321/2543 ว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาทโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ศาลเห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับข้อวินิจฉัยของศาลฎีกาดังกล่าว เพราะในคำพิพากษาฎีกาที่ 8321/2543 ศาลวินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์ได้ที่ดินพิพาทมาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ซึ่งมีผลทำให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้จากการขายที่ดินดังกล่าว มีสิทธิเลือกเสียภาษีโดยไม่ต้องนำเงินได้จากการขายที่ดินดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษีกับเงินได้อื่น สำหรับปีภาษีนั้นตามมาตรา 48 (4) แห่งประมวลรัษฎากร เท่านั้น หาได้วินิจฉัยว่ากรณีการขายที่ดินพิพาทของโจทก์ไม่ใช่เป็นในทางค้าหรือหากำไรที่จะไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/2(6) แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด ทั้งยังได้วินิจฉัยต่อไปอีกว่า การขายอสังหาริมทรัพย์หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร(ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์ ขายที่ดินพิพาท ย่อมต้องถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม ก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะทั้งสิ้น เว้นแต่เข้าข้อยกเว้นที่ไม่ให้ถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน | ||||||||||||||||||||
|
| |||||||||||||||||||
คำพิพากษาฎีกาที่5279/2548 |
|
| ||||||||||||||||||
กรมสรรพากร | โจทก์ |
| ||||||||||||||||||
นางสมพร ชลสิทธิ์ ที่ 1 กับพวก รวม 5 คน | จำเลย |
| ||||||||||||||||||
เรื่อง กองมรดก |
| |||||||||||||||||||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 1629 1635 คดีก่อนอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว เป็นคดีที่นายสมบูรณ์เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลย ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณา กับขอให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่หักไว้ ณ ที่จ่ายเกิน และยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเป็นประเด็นที่ศาลในคดีดังกล่าว ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541 ส่วนคดีนี้แม้โจทก์จะนำหนี้ภาษีอากรค้างในคดีดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งห้าให้รับผิด แต่คำฟ้องของโจทก์ยกข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า หนี้ภาษีอากรค้างที่นายสมบูรณ์เป็นหนี้อยู่แก่โจทก์ในคดีดังกล่าวนั้น นายสมบูรณ์ยังไม่ได้ชำระแก่โจทก์โดยครบถ้วน และนายสมบูรณ์ถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมบูรณ์มีหน้าที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวของนายสมบูรณ์แก่โจทก์ โดยจะต้องนำทรัพย์สินกองมรดกของนายสมบูรณ์ที่ตกทอดแก่จำเลยทั้ง 5 มาชำระหนี้แก่โจทก์ ประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องในคดีนี้จึงมีว่าจำเลยทั้ง 5 ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมของนายสมบูรณ์มีหน้าที่ต้องรับผิดชำระหนี้ค่าภาษีอากรของนายสมบูรณ์แก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับในคดีก่อน จริงอยู่แม้จำเลยทั้ง 5 อยู่ในฐานะผู้สืบสิทธิของนายสมบูรณ์ผู้ตายดังความเห็นของศาลภาษีอากรกลางก็ตาม แต่สภาพแห่งคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 5 ในฐานะทายาทผู้รับมรดกของนายสมบูรณ์และรับผิดในหนี้ที่นายสมบูรณ์มีอยู่แล้ว แก่โจทก์ซึ่งเป็นความรับผิดของทายาทโดยเฉพาะต่อกองมรดกที่ตกทอดให้แก่ตนตามประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 และมาตรา 1600 กรณีเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยมาแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันจะเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ที่ ประชุมใหญ่ ของศาลฎีกายังเห็นต่อไปว่าแม้คดีที่นายสมบูรณ์เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยดังกล่าว ศาลภาษีอากรกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19672541 ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางและให้งดเบี้ยปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าให้แก่นายสมบูรณ์โจทก์ในคดีแล้วทั้งหมด อันมีผลให้หนี้ภาษีอากรดังกล่าวเป็นหนี้ภาษีอากรค้าง ซึ่งอธิบดีโจทก์มีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดมาขายทอดตลาดทรัพย์สินของนายสมบูรณ์ได้เองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 วรรคสอง โดยไม่ต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่งก็ตาม แต่บทบัญญัติ ดังกล่าวก็เป็นเพียงมาตรการทางกฎหมายหนึ่งที่บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีโจทก์ไว้เป็นพิเศษเพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร ให้เป็นไปโดยด้วยความรวดเร็วโดยไม่ต้องนำคดีมาสู่คืน อำนาจของอธิบดีโจทก์เช่นว่านี้แม้จะมีลักษณะเสมือนเป็นสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แต่ก็หามีผลทำให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ภาษีอากรค้างกลับกลายเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไปไม่ ทั้งการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้ง 5 ในฐานะทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายสมบูรณ์เช่นนี้ก็เพื่อให้ความรับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรค้างของนายสมบูรณ์ที่จำเลยทั้ง 5 ต้องรับผิดแก่โจทก์เป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 ดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง 5 เป็นคดีนี้ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 5 ให้รับผิดในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์เจ้ามรดก และหนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้ง 5 รับผิด เป็นหนี้ค่าภาษีอากรที่เจ้าพนักงานได้ประเมินให้นายสมบูรณ์ชำระ นายสมบูรณ์ได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้ว นายสมบูรณ์ก็ได้อุทธรณ์ต่อศาลภาษีอากรกลางโดยฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยขอให้ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1697/2541 หนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวจึงเป็นหนี้ภาษีอากรค้างที่นายสมบูรณ์เป็นผู้หน้าที่ต้องรับผิดเสียภาษีอากรดังกล่าวโดยเด็ดขาดแล้ว และคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดย่อมมีความผูกพันโจทก์คดีนี้และนายสมบูรณ์ซึ่งเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาในคดีนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 นายสมบูรณ์จึงไม่อาจรื้อฟื้นโต้แย้งต่อโจทก์เกี่ยวกับการประเมินภาษีอากรดังกล่าวได้อีก และในกรณีเช่นนี้จำเลยทั้ง 5 ในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์ซึ่งต้องรับไปซึ่งทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ อันเป็นกองมรดกของผู้ตายและอยู่ในฐานะผู้สืบสิทธิในกองมรดกของนายสมบูรณ์ก็ไม่มีสิทธิโต้แย้งเกี่ยวกับการประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานของโจทก์ดุจเดียวกัน เมื่อคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 กับคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยที่ 3 ที่ 5 ล้วนเป็นข้อต่อสู้เกี่ยวกับการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินทั้งสิ้น การที่จำเลยทั้ง 5 ไม่มีสิทธิยกเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีนี้จึงไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นแห่งคดีที่จำเลยทั้ง 5 จะโต้เถียงให้ฟังแปรเปลี่ยนไปเป็นประการอื่นได้ เมื่อจำเลยทั้ง 5 เป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนายสมบูรณ์ผู้ตายซึ่งต้องรับไปทั้งทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของนายสมบูรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้ง 5 ในฐานะทายาทของนายสมบูรณ์ให้รับผิดในหนี้ของนายสมบูรณ์ได้ดังที่วินิจฉัยมาแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่ากองมรดกของนายสมบูรณ์จะมีทรัพย์สินหรือไม่ มากน้อยเพียงใดหรือจำเลยทั้ง 5 ในฐานะทายาทจะได้รับมรดกมาแล้วหรือไม่ และถึงแม้โจทก์ได้ใช้อำนาจสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของนายสมบูรณ์ชำระหนี้ไปบ้างแล้วและมีจำนวนเพียงพอชำระหนี้ของนายสมบูรณ์หรือไม่ เป็นเรื่องที่จำเลยทั้ง 5 อาจโต้แย้งได้ในชั้นบังคับคดีต่อไป จำเลยทั้ง 5 จึงต้องรับผิดชำระหนี้ของนายสมบูรณ์แก่โจทก์ตามฟ้อง จำเลยทั้ง 5 ในฐานะของนายสมบูรณ์จึงต้องร่วมกันชำระเงินให้กับโจทก์ ทั้งนี้ความรับผิดของจำเลยทั้ง 5 ไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดให้แก่ตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601. . |
| |||||||||||||||||||
| เลขที่หนังสือ | : กค 0706/4886 |
| |||||||||||||||||
| วันที่ | : 14 มิถุนายน 2548 |
| |||||||||||||||||
| เรื่อง | : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีบุคคลภายนอกคัดค้านการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน
|
| |||||||||||||||||
| ประเด็นปัญหา | : มาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร
|
| |||||||||||||||||
|
| นางสาว พ. ค้างชำระภาษีที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา เป็นจำนวนเงิน 198,000 บาท (รวมเงินเพิ่มตามกฎหมาย) และจากการเร่งรัดภาษีอากรกรมสรรพากรได้มีคำสั่ง ยึดกรรมสิทธิ์ในที่ดินของนางสาว พ. โฉนดเลขที่ 225086 เลขที่ 1623 หน้าสำรวจ 29252 ตั้งอยู่ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยมีนาย ป. และนาง บ. ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ต่อมาผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมได้ยื่นคำร้องคัดค้านการยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สิน โดยแจ้งว่าการค้างชำระภาษีอากรของนางสาว พ. ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมมิได้รู้เห็นและมีผลประโยชน์ส่วนร่วมแต่อย่างใด
|
| |||||||||||||||||
| แนววินิจฉัย | การยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุคคลอื่น กรมสรรพากรสามารถยึดและขายทอดตลาดได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 7(1)(ก) ของระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2545 และข้อ 14(7) ของระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร พ.ศ. 2545
|
| |||||||||||||||||
| เลขตู้ | : 68/33453 |
| |||||||||||||||||
| เลขที่หนังสือ | : กค 0811(กม)/937 |
| |
| วันที่ | : 20 พฤษภาคม 2541 |
| |
| เรื่อง | : ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กรณีการเร่งรัดภาษีอากรค้าง |
| |
| ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 |
| |
| ข้อหารือ | : การเร่งรัดภาษีอากรค้าง รายห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. โดยนาย ข. หุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นหนี้ |
| |
| แนววินิจฉัย | : การอายัดบัญชีเงินฝากดังกล่าว แม้ว่า ธนาคารฯ อ้างว่าได้อายัดเงินฝากดังกล่าวไว้เต็ม |
| |
| เลขตู้ | : 61/26677 |
| |
คำพิพากษาฎีกาที่ 2230/2544 |
| |||
กรมสรรพากร | โจทก์ | |||
นายนพพล หรือเล็ก มณีคุ้ม | จำเลย | |||
| ||||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12, 30 | ||||
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรโจทก์ และเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย | ||||
คำพิพากษาฎีกาที่ 136/2540 |
| |
นายสุนันท์ ประเสริฐสม | โจทก์ | |
กรมสรรพากร กับพวก | จำเลย | |
| ||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12, 30 | ||
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14, 77, 91, 135(3), 135(4),136 มูลหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของแต่ละปีเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีถัดไป ส่วนมูลหนี้ค่าภาษีการค้าเกิดขึ้นทุกเดือนภาษี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลาให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีการค้า การประเมินภาษีอากรแจ้งให้โจทก์ทราบ เป็นเรื่องให้โจทก์ชำระค่าภาษีอากรที่เกิดขึ้นให้ครบถ้วนถูกต้อง หาใช่มูลหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าเพิ่งเกิดขึ้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2526 จำเลยประเมินภาษีอากร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2526 และ 15 สิงหาคม 2527 และมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายโจทก์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 มูลหนี้ค่าภาษีอากรจึงเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ถือว่าจำเลยไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด | ||
คำพิพากษาฎีกาที่ 7939/2542 |
| |
กรมสรรพากร | โจทก์ | |
บริษัทโฟร์โก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยนายนำพล ทองศรี | จำเลย | |
ในฐานะผู้ชำระบัญชี | ||
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล | ||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีพิจารณาความแพ่ง หน้าที่นำสืบ (มาตรา 84) ป.รัษฎากรฯ (มาตรา 12, 27, 30, | ||
71 (1) ) โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 89,547,903 บาทแก่โจทก์ และให้จำเลยรับผิดในเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีจำนวน 53,288,899.20 บาท นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ไม่เกินค่าภาษีค้าง | ||
คำพิพากษาฎีกาที่ 4143/2532 |
|
|
กรมสรรพากร | โจทก์ |
|
บริษัท ภัทรกิจ จำกัด กับพวก | จำเลย |
|
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1069 |
| |
จำเลยเป็นนิติบุคคล ค้างชำระภาษีเงินได้ โจทก์จึงฟ้องจำเลยและผู้ถือหุ้นให้ร่วมกันชำระเงิน โดยผู้ถือหุ้นร่วมรับผิดเพียงไม่เกินเงินที่แต่ละคนส่งใช้ไม่ครบมูลค่าหุ้นที่แต่ละคน เป็นผู้ถือหุ้น มีข้อโต้แย้งเรื่องอายุความ เห็นว่าเมื่อแจ้งการประเมินแล้ว หากจำเลยผู้รับแจ้งไม่นำเงินไปชำระ กฎหมายถือว่าเป็นภาษีอากรค้าง เจ้าพนักงานมีอำนาจสั่งยึดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยได้โดยไม่ต้องฟ้องศาลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 การประเมินจึงมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับ การฟ้องคดี ดังนั้น การแจ้งประเมินย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 |
|
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/03667 | ||
วันที่ | : 22 เมษายน 2542 | ||
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีอากรค้าง กรณีการโอนสิทธิเรียกร้อง | ||
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 | ||
ข้อหารือ | : กรณีการโอนสิทธิเรียกร้อง ปรากฏรายละเอียด ดังนี้ | ||
แนววินิจฉัย | : กรณีตามข้อเท็จจริงแยกพิจารณาได้ ดังนี้ | ||
เลขตู้ | : 62/27767 | ||
คำพิพากษาฎีกาที่ 1306/2530 |
| ||
นางมณี อภิรัตนวุฒิฯ | โจทก์ | ||
กรมสรรพากรกับพวก | จำเลย | ||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 | |||
ส. เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดเพียงคนเดียวของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฮ. จึงต้องรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วน ซึ่งย่อมรวมถึงหนี้ภาษีอากรโดยไม่จำกัดจำนวนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1077 (2) เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด ฮ. ผิดนัดไม่ชำระหนี้ภาษีอากรค้างแก่จำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ ส. ชำระหนี้ดังกล่าวได้ตามมาตรา 1070 ประกอบด้วยมาตรา 1080 แต่เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ฮ. ต้องเลิกกันโดยผลของกฎหมาย เพราะการตายของ ส. ทรัพย์สินกองมรดกของ ส. จึงตกเป็นทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 วรรคสอง อันเป็นเรื่องที่สืบเนื่องต่อกันมาตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ.ดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องมีบทบัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรโดยเฉพาะอีก การยึดทรัพย์ของจำเลยชอบแล้ว | |||
| เลขที่หนังสือ | : กค 0811/5213 | |
| วันที่ | : 12 มิถุนายน 2545 | |
| เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการร้องคัดค้านการขายทอดตลาด | |
| ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12 | |
| ข้อหารือ | : สำนักงานสรรพากรจังหวัดได้หารือกรณีนาง จ. ได้มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมและให้งด | |
| แนววินิจฉัย | : เนื่องจากปรากฏหลักฐานของทางราชการว่านาย ป. หุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ท. | |
| เลขตู้ | : 65/31524 | |
เลขที่หนังสือ | : กค 0811/17426 |
วันที่ | : 25 ธันวาคม 2541 |
เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีการขอให้ถอนการอายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร |
ข้อกฎหมาย | : มาตรา 12, มาตรา 31 |
ข้อหารือ | : บริษัท ก. จำกัด ได้เช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อปลูกสร้างอาคารและจัดหา |
แนววินิจฉัย | : กรณีตามข้อเท็จจริงบริษัทฯ ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินแต่ไม่ได้ยื่นขอทุเลาการชำระ |
เลขตู้ | : 61/27370 |
คำพิพากษาฎีกาที่ 3046/2535
นางภาวิณี สว่างเรือง................................................... โจทย์
นายบัณฑิต บุณยะปานะ จำเลย ในฐานอธิบดีกรมสรรพากร...จำเลย
เรื่อง ภาษีอากร
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป. รัษฎากร มาตรา 12 แพ่ง มาตรา 420
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของตึกแถว 2 ชั้น เลขที่ 580/27 พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 87614 แขวงห้วยขวาง (สามเสนนอกฝั่งเหนือ) เขตห้วยขวาง (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2533 จำเลยใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 สั่งยึดทรัพย์สินของโจทก์ดังกล่าวโดยไม่ชอบเพราะโจทก์มิใช่ผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากร โจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ไม่แจ้งคำวินิจฉัยข้อคัดค้านให้โจทก์ทราบ ต่อมาวันที่ 6 กันยายน 2534 จำเลยได้ประการขายทอดตลาดทรัพย์ ขอให้พิพากษาว่าประกาศยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยเป็นโมฆะ และเพิกถอนประกาศ
ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "ตามคำฟ้องคดีนี้เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ตามอำนาจของจำเลยว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์และประการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าว มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากรดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 ศาลภาษีอากรกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ชอบแล้ว..."
พิพากษายืน
(เพ็ง เพ็งนิติ - ก้าน อันนานนท์ - ประจักษ์ พุทธิสมบัติ)
คำพิพากษาฎีกาที่ 3056/2535
นางภาวิณี สว่างเรือง.................................................... โจทย์
นายบัณฑิต บุณยะปานะ จำเลย ในฐานอธิบดีกรมสรรพากร...จำเลย
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ป. รัษฎากร มาตรา 12 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าประกาศยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์โจทก์ของจำเลย โดยใช้อำนาจตาม ป.ร.ก. มาตรา 12 เป็นโมฆะและขอให้เพิกถอน เพราะโจทก์มิใช่ผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากร เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ตามอำนาจของจำเลยว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์และประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับภาษีอากรดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากร ฯ ดังนั้น ศาลภาษีอากรกลางไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา
| เลขที่หนังสือ | : กค 0811/1093 |
| |
| วันที่ | : 5 กุมภาพันธ์ 2542 |
| |
| เรื่อง | : ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย ของสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ |
| |
| ข้อกฎหมาย | : มาตรา 39 |
| |
| ข้อหารือ | : สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ |
| |
| แนววินิจฉัย | : สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติพัฒนา |
| |
| เลขตู้ | : 62/27501 |
| |
คำพิพากษาฎีกาที่950/2541 |
| |||
นายจันทร์ สุวรรณวงศ์ | โจทก์ | |||
นายอำเภอโนนสะอาด | จำเลย | |||
นายสมชาย แสงศิริไพศาล | จำเลยร่วม | |||
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 | ||||
จำเลยร่วมเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัด น. ผู้ค้างภาษีอากร จำเลยได้ใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ยึดที่ดินซึ่งมีชื่อจำเลยร่วมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์พร้อมบ้านไม้ 2 หลังบนที่ดินดังกล่าว เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ภาษีอากรค้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด น. แต่ปรากฏว่าที่ดินแปลงดังกล่าวทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับกันบางส่วนระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วม ซึ่งเป็นการไม่ชอบและจะต้องถูกเพิกถอนในภายหลังก็ตาม แต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเพียงหลักฐานเบื้องต้นที่แสดงว่าใครเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ฉะนั้นจึงไม่สามารถใช้ยันเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินซึ่งมีสิทธิครอบครองที่ดินตามความเป็นจริงได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินที่จำเลยมีคำสั่งให้ยึดขายทอดตลาด โจทก์เป็นผู้ครอบครองไม่ใช่จำเลยร่วมเป็นผู้ครอบครองทั้งแปลง ที่ศาลทั้งสองพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้ยึดที่ดินบางส่วนจึงชอบแล้ว | ||||
คำพิพากษาฎีกาที่ 1281/2525 |
|
ธนาคารเอเซียทรัสท์ จำกัด | โจทก์ |
กรมสรรพากรกับพวก ผู้ร้อง บริษัท รวมมิตรอิควิปเม้นท์ซัพพลาย | จำเลย |
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง แพ่ง อายุความ (ม. 167, 173) หุ้น และผู้ถือหุ้น (ม. 1120) | |
เมื่อผู้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการการค้าเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา 84 และ มาตรา 85 ทวิ แสดงรายรับขาดไปเกินกว่าร้อยละยี่สิบห้าของยอดรายรับที่แสดงไว้ในแบบแสดงรายการการค้า และบางเดือนก็มิได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้า เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีการค้าได้ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้าตามมาตรา 88 ทวิ (2) ไม่ใช่ 5ปี ตามมาตรา 88 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากรเมื่อเจ้าพนักงานตรวจสอบภาษีเชื่อว่า ผู้เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการไว้ไม่ครบถ้วนเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการนั้นมาตรวจสอบไต่สวนได้ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นรายการแล้ว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 และ 23ส่วนการประเมินตามมาตรา 20 ไม่จำต้องประเมินภายในกำหนด 5 ปีนับแต่วันยื่นรายการดังนั้น เมื่อนับจากวันที่ผู้เสียภาษียื่นรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ถึงวันที่เจ้าพนักงานประเมินประเมินให้เสียภาษีเพิ่มเติมยังไม่เกิน 10 ปี สิทธิเรียกร้องเก็บภาษีของเจ้าพนักงานประเมินจึงยังไม่ขาดอายุความเมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินภาษีที่ชำระขาดให้จำเลยทราบภายใน10 ปีแล้วจึงมีผลอย่างเดียวกับการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้ตามที่เรียกร้อง ย่อมเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าพนักงานยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินได้เองโดยไม่ต้องนำคดีฟ้องต่อศาล ดังนั้น แม้กรมสรรพากรผู้ร้องจะมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและไม่เป็นหนี้บุริมสิทธิ ก็ขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ยึดไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 ได้เงินค่าหุ้นของบริษัทจำเลยที่ผู้ถือหุ้นยังชำระไม่ครบมูลค่าและจำเลยยังไม่ได้เรียกเก็บถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยอันจะยึดมาชำระหนี้ได้ ทั้งยังไม่แน่นอนว่าผู้ถือหุ้นเหล่านั้นจะสามารถชำระค่าหุ้นที่ค้างนั้นได้ จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องไม่สามารถเอาชำระจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยได้ |