Honda JAZZ 2008-2009 1.5 i-VTEC 5AT : Sub-Compact Hatchback ที่ดีที่สุดในตลาด?
crudid
ความคิดเห็น
crudid
Review by J!MMY - B-segment 1300-1500 cc
เขียนโดย J!MMY
วันอาทิตย์ที่ 06 กันยายน 2009 เวลา 17:51 น.
ในวันว่าง อันหมายถึงวันว่างจริงๆ ชนิดไม่มีอะไรทำ (ซึ่งจะว่าไป ก็ไม่ค่อยมีช่วงเวลาแบบนี้
เท่าใดนักในพักหลัง) นอกเหนือจากกิจกรรมต่างๆที่รออยู่ เยอะแยะแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผม
มักจะทำก็คือ การนำรีวิวเก่าๆ กลับมานั่งอ่านทวน อีกครั้ง เพื่อดูว่า ตัวเองได้ทำอะไรผิดพลาด
พลั้งเผลอเรอหลงลืม บ้างหรือเปล่า
ระยะหลังๆมา ก็มีพบบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก หนึ่งในรีวิวที่ผมพบ ก็คือ บรรดารถยนต์รุ่นยอดนิยมทั้งหลาย
ซึ่งบางที อาจจะมีการลืมใส่ ประเด็นนั้นบ้าง ประเด็นนี้บ้าง ลืมเขียนตรงนั้นบ้าง ต้องปรับแก้ไขตรงนี้บ้าง
crudid
รีวิว Honda Jazz 2008-2009 ใหม่ นี่ก็เป็นอีก 1 รีวิว ที่ผมมองว่า หลังจากวันที่ปล่อยรีวิวนี้ออกไป
ก็น่าจะถึงเวลาอัพเดทแก้ไขข้อมูลบางอย่าง ให้ตรงกับสภาพความเป็นจริง โดยเฉพาะในวันนี้
Honda City 2008 ก็คลอดออกมา จะครบ 1 ปีกันในอีก 4 วันข้างหน้า หากเรายึดตามวันที่ รีวิว
Jazz ที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้ ถูกเผยแพร่ออกไปบน เว็บ Headlightmag.com ของเรา
มีข้อมูลบางจุดที่สมควรจะอัพเดทเพิ่มเติม ทั้งเรื่อง ตารางเปรียบเทียบ เรื่องของสมรรถนะด้านต่างๆ
แม้จะมีรายละเอียดให้อัพเดทกันเล็กน้อย ไม่มากนัก แต่ก็ต้องอัพเดท
เพราะจุดประสงค์หลักของการทำรีวิวนี้ ก็คือ ในเมื่อ เจ้าของเว็บเก่า ไม่ยอมให้ผมนำรีวิว เดิม
มาโพสต์ลงไปใหม่ ในเว็บของผมเองทั้งดุ้น ทั้งที่พวกเขา ไม่เคยออกเงินค่าใช้จ่ายใดๆให้กับผมเลย
หากแต่ ชุบมือเปิบไปง่ายๆ แบบนี้ แล้วก็ยังคงเอาไปบ่น เอาไปก่นด่า ว่าผมรับเงินจากค่ายนั้นค่ายนี้
ต่างๆนาๆ ซึ่งคุณๆ ที่ติดตามอ่านรีวิวที่ผมทำมาตลอด ก็คงทราบกันอยู่แล้วว่า มันเป็นคำโกหกพกลม
เพื่อใส่ร้ายป้ายสีให้เรา ดูแปดเปื้อน ไม่ต่างจากตัวคนกล่าวหา (ซึ่งได้ยินมาว่าไปก่อเรื่องสร้างราว ไว้แยะอยู่)
ขนาดผมเขียนชี้แจง อย่างตรงไปตรงมาเป็นบทความกัน เล่าเรื่องจริงให้อ่าน ในบทความว่า
"รีวิวของผม ไม่ได้มีไว้ขายให้ใคร" ก็ยังจะเอาสีข้างเข้าแถกตะแบงด่าผมกันต่อไป
แถมหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้พื้นที่สื่อ"ของคนอื่น" และของ"ตนเอง"
ดังนั้น ผมจึงคิดว่า เสียเวลาที่จะต่อปากต่อคำ ให้เปลืองเซลส์สมอง ให้ตัวเองถูกมองว่า
ลดเกรด ไปยุ่งกับพวก ปากตลาด พยายามจะไม่ตอบโต้ แต่เอาเวลามานั่งทำบทความใหม่ๆ
แล้วโพสต์ขึ้นเว็บของเราเองกันต่อไป เพื่อคุณผู้อ่านของเราทุกๆคน น่าจะดีกว่า
crudid
ถ้าจะพูดถึง Honda Jazz ใหม่แล้ว คงต้องย้อนรอยเท้าความ กันไป ถึงวินาทีแรก
ที่ผมได้ไปเห็นตัวจริงง ไปลองผุดลุกผุดนั่ง ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ เมื่อ 24 ตุลาคม 2007
อันเป็นวันแรกที่ฮอนด้าเริ่มเผยโฉมคันจริงต่อสาธารณะชน
crudid
จนกระทั่ง ได้มีโอกาสทดลองขับ เวอร์ชันญี่ปุ่น รุ่น 1.5 RS 4WD ซึ่งเรียกได้ว่า มีสเป็กใกล้เคียงกับ
เวอร์ชันที่จะทำตลาดในเมืองไทยมากที่สุด บนถนนเมืองไทย เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2008
crudid
ขับเรียงแถวกันไป ตามสภาพการจราจรในเมือง มีผู้คนให้ความสนใจ ชี้ชวนกันดูบ้าง
แต่ตอนนั้น ก็ไม่มากนัก (โปรดสังเกตไฟท้ายของรุ่น RS เวอร์ชันญี่ปุ่นนั้น จะเป็นแบบนี้)
crudid
ครั้งนั้น ยังจำได้ว่า ผมจับคู่บัดดี้ กับ พี่แมน ทัศไนย ไรวา และยังจำได้ดีเลยว่า
วันนั้น คือวันที่ผมกับพี่แมน รู้จักกัน "อย่างเป็นทางการ ครั้งแรก"
crudid
เย็นวันนั้น จากร้านอาหาร ในซอยสุขุมวิท 39 ขับวนขึ้นทางด่วน
โผล่ไปเข้าสาทร หน้าตาเฉย วนไปวนมา ก็กลับเข้ามายังโรงแรม
Grand Millennium สุขมวิท ตรงอโศก นั่นเอง ยังมีคำถามที่คาในความคิด
อยู่เยอะอย่าง ทั้ง พวงมาลัยที่เหมือนว่าน้ำหนักเบาไปไหม ทำไมมันอืดจัง
อ้อ ใช้ เป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อนี่นา มันก็อืดว่ารุ่นขับล้อหน้า เป็นเรื่องธรรมดา
หนะสิ ฯลฯ อีกมากมาย
crudid
พอถึงวันเปิดตัว เวอร์ชันไทย ที่ทำตลาดในชื่อ Jazz ต่อเนื่องจากรุ่นเดิม
เมื่อ 24 มีนาคม 2008 ที่ เซ็นทารา เซ็นทรัลเวิล์ด...แม้ว่า จะได้เห็นคันจริง
สีเดียวกันกับที่เคยเห็น บนแท่นหมุนในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ไม่มีผิดเพี้ยนก็ตาม...
crudid
ก็กลายเป็นว่า มาริโอ เมาเร่อ พรีเซ็นเตอร์หนุ่มน้อย คนนั้น
มาแย่งความสนใจของข้าพเจ้า จากเจ้าแจ้สน้อย ไปเสียดื้อๆ......
บางคนแซวว่า นั่นเขา มาริโอ แต่ผมหนะ มาริอ้วน...อ้วนจนต้องรีบไปเข้า มารี ฟรานซ์ ได้แล้ว
อืมม เนาะ คนพูดก็ช่างคิดได้
crudid
ทิ้งช่วงไปอีก 2 เดือน เวลาที่ผ่านไป
นานพอจะทำให้ผมเริ่มสังเกตตัวเองว่า
เริ่มมีเค้าโครงใบหน้า คล้ายกับพระสังกะจาย เข้าไปทุกที
จนดูอ้วนพี เหมือนเจ้าแจ้สน้อยหนูผีรุ่นใหม่นี้
ในที่สุด ก็ถึงเวลาที่เราจะได้ลองขับกันเสียที
เหตุที่ใช้เวลานานกว่าที่จะได้ลองขับกัน นั่นเพราะว่า
ในตอนนั้น แม้จะเปิดตัวตอนปลายเดือนมีนาคม แต่กว่าฮอนด้า
จะเริ่มปล่อยรถออกจากสายการผลิต
ณ โรงงานของตน ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ
พระนครศรีอยุธยา ก็ปาเข้าไปช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นี้เอง!
เรียกได้ว่า พอทำคลอดจากโรงงานเสร็จปุ๊บ
รถล็อตแรก ถูกนำมาให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับไปก่อน
ฮอนด้า จัดทริปออกต่างจังหวัดกันราวๆ 5-6 ทริป
แต่ ดีใจอยู่นิดๆ ที่เขามิได้เชิญไปร่วมเดินทางไปแม้แต่ทริปเดียว
เพราะทีมพีอาร์ฮอนด้า ผู้น่ารัก รู้ดีว่า
ข้าพเจ้าไม่ปลื้ม การเดินทางแบบยกโขยง อย่างนั้นสักเท่าใดนัก
เนื่องจากว่า ลองรถ ก็ลองได้ไม่เต็มที่ เท่าที่ใจต้องการ
สู้ รอให้ทางฮอนด้า ปล่อยรถให้เอาไปทดลองเองเลยดีกว่า
อยากขับไปไหน ไปเลย ถึงเวลาเอามาคืนก็พอ แบบนั้น หรรษากว่าเป็นไหนๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ แจ้สน้อย คันสีขาว จึงมาอยู่กับผมในเช้าวันศุกร์
ที่แดดยามสาย ถูกกลบรัศมีด้วยพายุฝน โหมเทกระหน่ำยามเที่ยง
อย่างไม่เบี่ยงบ่ายทิศทาง
ก่อนจะเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก เป็นรีวิว เก่า ในเว็บเก่าให้ได้อ่านกัน
. . . . . . . . . .
crudid
หลังจากที่ห่างหายจากแจ้สไป นาน เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องเปิดเว็บไซต์ของตัวเองแห่งนี้ในที่สุด
หนึ่งในรีวิว ที่คิดเอาไว้ว่า จะต้องนำกลับมาทำใหม่อย่างแน่นอน ก็คงจะหนีไม่พ้น บรรดา
รถยนต์ยอดฮิตในตลาดทั้งหลาย และ แน่นอน แจ้ส คือ หนึ่งในนั้น
ตอนแรก ยังไม่แน่ใจ ว่าจะทำรีวิว ใหม่ อีกรอบ ดีหรือไม่
แต่หลังจาก ที่ทางฮอนด้า อยากให้ผมไปพักผ่อน รีแลกซ์ กับเขา เสียบ้าง ด้วยการส่งเทียบเชิญ
ให้ไปร่วมงาน เทศกาลดนตรี Honda Music Festival ไกลถึงหัวหิน ช่วงวันที่ 2 พฤษภาคม
ที่ผ่านมา และด้วยความใจดี ของ ทางทีมพีอาร์ ฮอนด้า ซึ่ง จัด เจ้าแจ้สน้อย คันสีขาว
คันเดิมเดียวกับที่ผมเคยทำรีวิวนั่นละ มาให้ใช้เป็นพาหนะ ก็ทำให้ผม ได้มีโอกาส ขับ รถคันนี้
เดินทางไกล จนได้เห็นถึงทั้งข้อดี และข้อที่ควรปรับปรุง เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย
ผมถึงคิดได้ว่า ถึงเวลาที่ควรจะนำ Jazz กลับมาทำรีวิวใหม่กันอีกรอบ ได้สักที
เพื่อที่ใคร ซึ่งรู้จักกับเรา ใหม่ๆ จะได้อ่านเพลินๆมันๆ
ส่วนใครที่คุ้นเคยกัน ก็จะได้รับทราบ เพิ่มเติมกันเสียทีว่า
แจ้สใหม่ มันดีอย่างที่ นิตยสารรถยนต์ในญี่ปุ่นหลายฉบับ
ถึงขนาดยกให้มันเป็น "รถยนต์ซับ-คอมแพกต์ แฮตช์แบ็ก ที่ดีที่สุดในตลาดญี่ปุ่น" จริงหรือเปล่า?
แล้วเวอร์ชันไทยละ?
จะขับดีเทียบเคียงกับเวอร์ชันญี่ปุ่นได้ไหม?
และที่สำคัญ เมื่อเจ้าแจ้สน้อย สีฟ้า ผ่านมือไม้ผู้คนมามากมาย
จนเลขไมล์ ปาเข้าไป 20,700 กิโลเมตร รวมทั้ง เจ้าคันสีขาว
ที่ผ่านมือผู้คนมา หลัก หมื่นกว่าๆ กิโลเมตร ที่ผมจำตัวเลขได้ไม่แน่ชัด
สภาพของมัน ยังสบายดีอยู่ไหม?
crudid
Fit / Jazz ใหม่ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในญี่ปุ่นเมื่อ 18 ตุลาคม 2007 ที่ผ่านมา ช่วงเดียวกับที่ผม เอาร่างอ้วนๆ
ไปเดินเล่นอยู่ที่ งาน โตเกียวมอเตอร์โชว์ 2007 ตามคำเชิญของทางฮอนด้า ในตอนนั้น พอดีๆ และรถรุ่นใหม่นี้
ก็ต้องรับบทหนัก ในการสานต่อความสำเร็จที่รถรุ่นเดิมทำเอาไว้
เพราะนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 21 มิถุนายน 2001 เป็นต้นมา ฟิต/แจ้ส รุ่นแรก ก็กลายเป็น
1 ใน 5 รถยนต์รุ่นสำคัญ จากแผนยุทธศาสตร์ของฮอนด้าเพื่อการบุกตลาดทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
ไปโดยปริยาย และอย่างไม่ได้ตั้งใจนัก ถามว่าทำไมดูเหมือนไม่ตั้งใจ อ่านต่อไป เดี๋ยวก็รู้ครับ
แน่ละ ฟิต/แจ้ส เป็นรถยนต์นั่งของฮอนด้า เพียงรุ่นเดียว ที่สร้างสถิติยอดขายมากที่สุด
เป็นประวัติการณ์ ในชั่วระยะเวลาทำตลาดเพียง 1 รุ่นตัวถัง
มาดูตัวเลขทางสถิติกันหน่อยดีกว่า Fit / Jazz ที่คลอดออกมาจาก โรงงานฮอนด้า
6 แห่ง ใน 5 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทย ถูกส่งถึงมือลูกค้าในกว่า 115 ประเทศ
ด้วยตัวเลขยอดขายสะสม ทั่วโลกมากเกินกว่า 2 ล้านคัน!!
- แบ่งออกเป็นยอดขายในญี่ปุ่น 961,522 คัน
(นับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงเดือนมิถุนายน 2007 ที่ผ่านมา)
- สหรัฐอเมริกา 77,000 คัน (เฉพาะเมื่อเริ่มทำตลาด ในปี 2006 เป็นต้นมา)
- เอเซีย นับตั้งแต่ปี 2002 รวมมากถึง 230,000 คัน
- ทวีปยุโรป รัสเซีย และแอฟริกา รวมกันมากถึง 417,000 คัน
- ขณะที่ในจีน ซึ่งเริ่มผลิตขายจากโรงงานที่นั่น เมื่อปี 2004 รวม 173,000 คัน
- และทวีปอเมริกาใต้ 151,000 คัน
เห็นยอดขายทั้งหมดนี้ ก็คงพอจะรู้ได้แล้วกระมังว่า ทีมวิศวกร ของรถรุ่นใหม่ ภายใต้หัวหน้าโครงการ
(ฮอนด้าเรียกว่า LPL : LARGE PROJECT LEADER) ที่ชื่อ ฮิโตมิ โคเฮอิ (HITOMI KOHEI)
จะต้องแบกรับความคาดหวังของลูกค้า ผู้คนในฮอนด้าทั่วโลก ไปจนถึงสื่อมวลชนทั่วสารทิศ มากมายแค่ไหน
crudid
ความสำเร็จของ ฟิต/แจ้ส รุ่นแรก ชวนให้เรานึกถึงอดีตอันหอมหวานของฮอนด้า
ในตลาดรถยนต์ซับ-คอมแพกต์ ในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อครั้งที่เคยประสบความสำเร็จ
ถึงขีดสุดในทันทีที่ เปิดตัว CITY Hatchback 3 ประตู รุ่นแรก (คนละตระกูลกับซิตี้ในบ้านเรา)
เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1981 และเพียง 2 เดือนแรก ยอดขายก็ร้อนแรงทันที
ในระดับ 20,000 คัน ก่อนจะพุ่งพรวดพราดขึ้นไปถึงระดับ 120,000 คัน ในปี 1982
แซงหน้าคู่แข่งทั้ง Toyota Starlet และ Nissan March จนขาดลอย หลังจากนั้น
ก็มีรุ่นแปลกๆตามมา ทั้งรุ่น Turbo-II ไปจนถึงรุ่นเปิดประทุน Cabriolet อย่างไรก็ตาม
เมื่อเวลาผ่านไป ก็เป็นเรื่องปกติ ที่ตัวเลขยอดขาย จะค่อยๆเริ่มลดลงเรื่อยๆ ตาม
อายุตลาด ที่ยิ่งนาน รถก็ยิ่งถูกผู้คนมองอย่างเบื่อขี้หน้า แล้วคิดว่า เมื่อไหร่
รุ่นใหม่จะออกมาซะที
จนกระทั่ง City รุ่นที่ 2 คลานตามออกมาในปี 1986 ด้วยการพลิกแนวทางจากเดิม
ด้วยการสร้างตัวรถให้แบนและเตี้ยลง มองสู่เทรนด์อนาคตในยุค 1990
แต่ทำตัวเลขสมรรถนะออกมา ไม่ได้ร้อนแรงเท่ากับคู่แข่ง ทำให้ตัวเลข
ยอดขายเริ่มมีแต่ทรงกับทรุด และต้องถอนออกจากตลาดไป
ฮอนด้าตัดสินใจ หวนกลับมาหยั่งเชิงตลาดกลุ่มนี้อีกครังในปี 1996 ด้วยการ
เปิดตัว แฮตช์แบ็กรุ่นโลโก (Logo) ทั้ง 3 และ 5 ประตู แม้จะมีหน้าตาเจี๋ยมเจี้ยม
จืดชืด เหมือนกับเป็น Stalet Reflet copycat และไมได้ประสบความสำเร็จ
ด้านยอดขายมากนัก แม้จะส่งไปขายในยุโรปบางประเทศด้วยก็ตาม
แต่ คุณงามความดีข้อหนึ่งของ Logo คือ เป็นรถยนต์ที่ช่วยให้ฮอนด้าเก็บข้อมูล
ความต้องการของผู้บริโภค ที่มองหาความคุ้มค่า จากรถยนต์ในตลาดกลุ่มนี้
ในช่วงรอยต่อศตวรรษมาได้เหลือเฟือ จนฮอนด้าสามารถกลับมาสร้างปาฏิหารย์
ได้อีกครั้งกับ Fit/Jazz รุ่นแรก ในที่สุด
crudid
เจเนอเรชันที่ 2 ของ ฟิต/แจ้ส ใหม่ ยังคงถูกพัฒนาขึ้น บนพื้นตัวถัง GLOBAL SMALL PLATFORM
ซึ่งเป็นพื้นฐานให้กับรถยนต์ขนาดกระทัดรัดรุ่นใหม่ๆในโครงการที่ชื่อ SMALL MAX
ตลอดช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา โดยยังคงวางตำแหน่งถังน้ำมัน ไว้ตรงกลางคันรถ ใต้
เบาะคู่หน้าเหมือนเดิม
เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมแล้ว ฟิต/แจ้สใหม่ จะยาวขึ้นกว่าเดิม 3,830 เป็น 3,900 มิลลิเมตร
กว้างขึ้นจาก 1,675 เป็น 1,695 มิลลิเมตร สูงเท่ารุ่นเดิม 1,525-1,550 มิลลิเมตร
และระยะฐานล้อยาวขึ้นจากเดิม 2,450 เป็น 2,500 มิลลิเมตร แต่ห้องโดยสาร
ยังคงมีความยาวเท่ากับรถรุ่นเดิม
crudid
แต่คราวนี้ เห็นได้ชัดว่า ความสำเร็จของรถรุ่นเดิม มีส่วนทำให้รุ่นใหม่ของฟิต/แจ้ส
ไม่อาจฉีกหนีจากแนวทางเดิมได้มากนัก จึงไม่น่าแปลกใจที่เส้นสายตัวถังยังคง
ไม่แตกต่างจากรุ่นเดิมมากเท่าที่ควร ทีมออกแบบใช้วิธี เพิ่มแนวเส้นเหลี่ยมสัน ให้ตัวรถดูเฉียบคม
ขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะด้านหน้ารถ
แถมคราวนี้ ฮอนด้ายังขยายความยาวของเสาหลังคาคู่หน้า A-PILLAR ให้ยื่นล้ำขึ้นมาข้างหน้าอีก
ในสไตล์ SUPER FORWARDING CABIN FORM เน้นช่วงหน้ารถที่สั้นยิ่งกว่าเดิม
ทำให้กระจกหูช้าง ที่คั่นกลางระหว่างเสาหลังคาคู่หน้าและประตูคู่หน้า ต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น
เพื่อหวังเพิ่มทัศนวิสัยด้านหน้า ให้ดีขึ้น 30% จากการคำนวนของฮอนด้าเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อน
crudid
เวอร์ชันไทยของ Jazz จะมีให้เลือก 3 ระดับการตกแต่งหลัก คือ รุ่น S รุ่น V และ SV
โดยในรุ่น S และ V จะใช้ชุดเปลือกกันชนหน้า พร้อมกระจังหน้าในตัว แบบมาตรฐาน
รุ่น S แปะฝาครอบล้อลายเหมือนเวอร์ชันญี่ปุ่นมาให้ ส่วนรุ่น V ติดตั้งล้ออัลลอย 15 นิ้ว
แบบ 5 ก้าน
แต่ในรุ่น SV อันเป็นตัวท็อปที่เห็นอยู่นี้ จะเปลี่ยนมาใช้ชุดเปลือกกันชนพร้อมกระจังหน้า
ที่มีลวดลายรังผึ้ง ล้องกรอบล่างด้วยโครเมียม ให้ดูสปอร์ตขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะมีสปอยเลอร์
ที่ชุดใต้กันชนในตัว และนั่นทำให้ต้องมีสเกิร์ตด้านข้าง และด้านหลัง เสริมมาให้ เพื่อ
ความสวยงามและต่อเนื่องกัน แถมด้วยไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง และล้ออัลลอย 16 นิ้ว
ลายเดียวกับ รุ่น RS (Road Sailing) ในญี่ปุ่น
หากมองจากภายนอกแล้ว ถ้าเปรียบเทียบรุ่น SV เวอร์ชันไทย กับเวอร์ชันญี่ปุ่นแล้ว
ความแตกต่างประการสำคัญ นอกเหนือจาก โลโก้ ป้ายชื่อรุ่น ก็คงจะอยู่ที่ ชุดไฟท้าย
เพราะเวอร์ชันญี่ปุ่นนั้น เป็นชุดไฟท้าย แบบ พื้นใส พร้อมหลอด LED...
แต่เวอร์ชันไทย เป็นชุดไฟท้ายแบบธรรมดา เช่นเดียวกันกับเวอร์ชันมาตรฐานของทุกรุ่น
เมื่อดูภายนอก ของเวอร์ชันไทยกับญี่ปุ่น แล้ว หากมองแต่ภาพรวมแล้ว
จะแตกต่างกันก็แค่ชุดไฟท้าย และป้ายโลโก้รอบคัน ที่จะต้องใช้ชื่อ FIT
ส่วนคำถามที่ว่า แล้วเวอร์ชันญี่ปุ่น มีรายละเอียดการตกแต่งภายในห้องโดยสาร
ต่างจากเวอร์ชันไทย มากน้อยแค่ไหน เราลองเปิดประตูเข้าไปดูให้เห็นกับตากันเลยดีกว่า
crudid
guest
แหม..เป็นแฟนพันธุ์แท้ ฮอนด้าแจ๊ส จริง ๆ เลยนะครับ ยอดจัง ข้อมูลครบถ้วนทุกด้านเลยนะครับ
ถ้ามีเงินมากๆ เหลือใช้แล้วจะซื้อไว้ขับอีกสักคันหนะ ครับ
ประกาศล่าสุดในบอร์ดเดียวกัน
ลงโฆษณา/ติดต่อเจ้าหน้าที่
© 2550-2563 BKK.social