กระเจี๊ยบแดง
รายงานวิจัยล่าสุดจากการสำรวจสภาวะสุขภาพอนามัยของประชาชนไทย โดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 3
ของ
สํานักงานการสํารวจสภาวะสุขภาพอนามัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
พบว่า คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มมากขึ้น ถ้าย้อนไปปี พ.ศ.๒๕๓๒
การสำรวจประชากรไทยทั้งหมดพบว่า
คนไทยไม่ค่อยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเท่าไรนัก นับได้แค่ ๕ % เท่านั้น
แต่มาปี พ.ศ.๒๕๔๖ – ๒๕๔๗ คนไทยเป็นโรคความดันสูงถึง ๒๒.๑% หมายถึงคนไทย
๑๐๐ คนมีผู้ที่ความดันโลหิตสูง ๒๒ คน
ลองสำรวจด้วยตัวคุณเองก็ได้ว่าผลสำรวจนี้จริงหรือเท็จ
แค่หันไปถามคนรอบข้าง ถามญาติพี่น้องเพื่อนร่วมงานจะพบว่า
ปัจจุบันมีคนใกล้ตัวกำลังเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้น ที่น่าตกใจคือ
แต่ก่อนเป็นกันในวัยใกล้ๆ เกษียณและหลังเกษียณ
ถัดมาเริ่มพบในวัยเลขห้าต้นๆ แต่เวลานี้มีกลุ่มสามสิบปลายๆ สี่สิบต้นๆ
เป็นโรคความดันโลหิตสูงกันแล้ว เพราะพฤติกรรมของเราเปลี่ยนไป
เริ่มตั้งแต่รักสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ค่อยได้ใช้แรงและออกกำลังกาย
ดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้นติดอันดับโลก กินอาหารรสเค็มเพิ่มขึ้น
และความเครียดในจิตใจที่ไม่รู้จักปล่อยวาง
ดังนั้นวิธีรับมือกับความดันโลหิตสูงที่ดีที่สุดคือ ปรับ
ปรุงพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดเลิกให้ได้
และจัดสรรเวลาอันยุ่งเหยิงหันมาออกกำลังกายครั้งละ ๒๐ – ๓๐ นาที สัปดาห์ละ
๓ ครั้ง
การออกกำลังกายสยบความดันโลหิตไม่ได้พูดลอยๆ
มีการศึกษาวิจัยกันชัดเจนมากมาย เช่น
การศึกษาชิ้นหนึ่งนำชายวัยทำงานที่นั่งติดแหมะกับโต๊ะ ๖๒ คน อายุเฉลี่ย ๖๐
ปี และแน่นอนคนเหล่านี้มีความดันโลหิตสูง พอจับให้ออกกำลังกาย ๔
วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลา ๑๒ สัปดาห์ และวัดความดันทุกๆ ๒ สัปดาห์ พบว่า
ความดันโลหิตของอาสาสมัครเหล่านี้ลดลง
และประสบการณ์ตรงจากประธานมูลนิธิสุขภาพไทยซึ่งเป็นนายแพทย์แผนปัจจุบัน
ยังออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อแก้ปัญหาความดันโลหิตสูงของตนเองอย่างได้ผล
มาถึงสมุนไพรช่วยเสริมพลังในการลดความดันโลหิตสูง มีการศึกษาวิจัยอยู่ ๒
เรื่องที่อยากนำมาเล่าสู่กันฟัง
เรื่องแรกฝรั่งเขาจัดให้เป็นกลุ่มของอาหารที่มีเส้นใยสูง(High fiber food)
เช่น
ข้าวโอ๊ต ผลไม้ และผักต่างๆ
พอฝรั่งเข้าทำการวิจัยเพื่อดูว่าเส้นใยอาหารจะช่วยลดความดันโลหิตได้จริง
หรือไม่ ฝรั่งผมทองก็เลือก(ลูก)ฝรั่ง (guava) เป็นอาหารให้อาสาสมัครรับประทาน ลูกฝรั่งที่คนฝรั่งกินนั่นก็คือฝรั่งที่อีสานบ้านเราเรียกบักสีดาคือกันนั่นเอง
การศึกษาแยกผู้เป็นความดันโลหิตสูงชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุออกเป็น ๒ กลุ่ม
กลุ่มแรกกินฝรั่งก่อนมื้ออาหารเป็นเวลานาน ๑๒ สัปดาห์
พบความแตกต่างกับอีกกลุ่มหนึ่งอย่างชัดเจน นอกจากความดันโลหิตลดลงแล้ว ระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดยังลดลงอีกด้วย การ
ศึกษาครั้งนี้ไม่ได้เน้นสรรพคุณทางยาสมุนไพรของฝรั่ง
แต่ใช้ประโยชน์จากใยอาหารที่มีอยู่มากในผลฝรั่ง ท่านใดที่ไม่ชอบกินฝรั่ง
แต่ขอให้เข้าใจหลักการกินใยอาหารให้มากๆ เข้าไว้
แล้วเลือกกินผักผลไม้ชนิดอื่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ลูกเดือย ฯลฯ
ก็จะช่วยลดระดับความดันโลหิตของท่านได้
สำหรับการศึกษาเรื่องที่ ๒ เกี่ยวข้องกับสมุนไพรกับการลดความดันโลหิตสูง
ปัจจุบันมีการศึกษากันมากขึ้น
และทางมูลนิธิสุขภาพไทยเคยนำเสนอสมุนไพรไปหลายตำรับแล้ว
ในครั้งนี้ต้องการเสนอสมุนไพรพื้นบ้าน
หาง่ายเข้าถึงคนทุกระดับและมีการวิจัยรองรับอย่างน่าสนใจ คือต้นกระเจี๊ยบแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hibiscus sabdariffa L. ฝรั่งเรียกง่ายๆ ว่า Roselle หรือ Jamica Sorrel คนไทยเรียกกระเจี๊ยบเฉยๆ บางครั้งเรียกกระเจี๊ยบเปรี้ยว
การทดลองกระเจี๊ยบแดงนั้น ศึกษาตั้งแต่ในหนูทดลอง เช่น
มีการเหนี่ยวนำหรือทำให้หนูขาวมีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นเวลานาน ๖ สัปดาห์
แล้วแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกพอขึ้นสัปดาห์ที่ ๖ – ๑๔
ให้สารสกัดน้ำกระเจี๊ยบแดง ขนาด ๒๕๐ มก./ กก./ วัน วัดความดันโลหิตทุกวัน
พบว่าความดันโลหิตของหนูทุกตัวลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
เมื่อเปรียบเทียบกับอีกกลุ่มหนึ่ง
เมื่อทดลองในสัตว์ได้ผลดี
ก็มาทางทดลองในมนุษย์ซึ่งมีการศึกษาหลายชิ้น
ขอยกมาเพียงรายงานหนึ่งที่นำผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงจำนวน ๓๑ คน
ซึ่งมีค่าความดันที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าค่าบนสูง ๑๖๐ – ๑๘๐ มม.ปรอท
และมีค่าความดันค่าล่างสูงระหว่าง ๑๐๐ – ๑๑๔ มม.ปรอท แล้วแบ่งออกเป็น ๒
กลุ่ม กลุ่มแรกกินชาชงกระเจี๊ยบแดง ๒ ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ ๑ แก้ว (๒๕๐ ซีซี)
ผ่านการต้มนาน ๒๐-๓๐ นาที อาสาสมัครอีกกลุ่มหนึ่งกินแต่น้ำธรรมดา
แล้ววัดความดันในวันที่ ๔, ๘, ๑๒, ๑๕ ของการทดลอง ผลปรากฏว่า
กลุ่มที่ดื่มชาชงกระเจี๊ยบแดง มีระดับความดันโลหิตลดลง ดังนี้
ค่าตัวบนลงลด ๑๑.๒% ค่าตัวล่างลดลง ๑๐.๗% ในวันที่ ๑๒
ของการกินชาชงกระเจี๊ยบ
กระเจี๊ยบแดงที่หาได้ง่ายๆ ในท้องตลาดนี้
จึงเป็นทางเลือกหรือกำลังเสริมให้กับผู้ที่กำลังประสบปัญหาความดันโลหิตสูง
ได้เป็นอย่างดี
เครื่องดื่มกระเจี๊ยบที่มีสรรพคุณทางยาแบบนี้ต่างจากร้านขายน้ำหวานทั่วไป
หากต้องการปรุงเป็นยาควรจะใช้กระเจี๊ยบแห้งบดผงชงน้ำร้อนๆ ดื่ม
ไม่ควรแต่งด้วยน้ำตาล หากยังไม่ถูกปากจริงๆ ขอให้แต่งรสหวานเพียงเล็กน้อย
แล้วดื่มกินชาชงกระเจี๊ยบเป็นประจำจึงจะเกิดผลดี
อ้างอิงจากเว็บ http://learning.eduzones.com/sippa/489