Deus Caritas Est: พระเจ้าคือความรัก - พระสมณสาสน์ฉบับแรกของ Pope เบเนดิกต์ ที่ 16

caicomputer profile image caicomputer
Deus Caritas Est: พระเจ้าคือความรัก - พระสมณสาสน์ฉบับแรกของ Pope เบเนดิกต์ ที่ 16

"พระเจ้าคือความรัก" - DEUS CARITAS EST
พระสมณสาสน์ฉบับแรกของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16

ท่านสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่นี่

อารัมภบท
ภาค 1 ประกอบด้วย
เอกภาพของความรักในการสร้างและในประวัติศาสตร์แห่งการไถ่กู้
- ปัญหาเรื่องภาษา
- "Eros" และ "Agape" ต่างกันแต่เป็นหนึ่งเดียวกัน
- ความใหม่แห่งความเชื่อในพระคัมภีร์
- พระเยซูคริสตเจ้า - องค์ความรักอวตารของพระเจ้า
- รักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์

ภาค 2
การปฏิบัติความรักของพระศาสนจักรในฐานะที่เป็น "ชุมชนแห่งความรัก"
- กิจเมตตาธรรมของพระศาสนจักรในฐานะที่เป็นการแสดงออก
ซึ่งความรักแห่งพระตรีเอกภาพ
- เมตตากิจในฐานะที่เป็นความรับผิดชอบของพระศาสนจักร
- ความยุติธรรมและเมตตาธรรม
- โครงสร้างหลากหลายของงานเมตตาธรรมในบริบทสังคมปัจจุบัน
- ความแตกต่างในกิจเมตตาธรรมของพระศาสนจักร
- ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่องานเมตตาธรรมของพระศาสนจักร

สรุป
พระเจ้า คือ ความรัก - Deus Caritas Est

ภารกิจแห่งรัก

Deus Caritas Est: พระเจ้าคือความรัก - พระสมณสาสน์ฉบับแรกของ Pope เบเนดิกต์ ที่ 16

ความคิดเห็น
caicomputer profile caicomputer

อารัมภบท
"พระเจ้าคือความรัก" - DEUS CARITAS EST

1. " พระเจ้าคือความรัก ผู้ที่ดำรงอยู่ในความรักก็ดำรงอยู่ในพระเจ้า
และพระเจ้าก็ดำรงอยู่ในผู้นั้น" (1 ยน 4:16) คำกล่าวจากจดหมายฉบับที่หนึ่งของนักบุญยอห์นนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงแก่นแท้ของความเชื่อคริสตชน: เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้า ซึ่งสืบเนื่องต่อไปถึงภาพลักษณ์และเป้าหมายสุดท้ายของมนุษย์ ในประโยคเดียวกันนี้ นักบุญยอห์นยังกล่าวสรุปถึงชีวิตคริสตชนด้วยว่า :
"เราได้เข้ามารู้จักและเชื่อในความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา"

เราเชื่อในความรักของพระเจ้า : คำกล่าวประโยคนี้คริสตชนสามารถแสดงออกถึงการตัดสินใจที่สำคัญในชีวิต การที่เราเป็นคริสตชนไม่ใช่เพราะผลแห่งการเลือกหรือเพราะความคิดเลอเลิศอะไรของเราเอง แต่เป็นการเผชิญกับเหตุการณ์หรือบุคคลซึ่งเปิดมิติใหม่และแนวทางที่แน่นอนใหม่แห่งชีวิตให้แก่เรา
พระวรสารของนักบุญยอห์นอธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยคำพูดที่ว่า "พระเจ้าทรงรักโลกถึงกับประทานพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ เพื่อคนที่เชื่อในพระองค์ สมควรที่จะ...มีชีวิตนิรันดร์" (3:16) ในการยอมรับแก่นแท้แห่งความรัก ความเชื่อคริสตชนยึดถือแก่นความเชื่อของชนชาติอิสราเอล ในขณะเดียวกันก็ให้ความหมายที่ลุ่มลึกและกว้างขึ้น ชาวยิวที่มีใจศรัทธาจะสวดทุกวันด้วย
พระวาจาจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ (Deuteronomy) ซึ่งไขแสดงหัวใจในการมีชีวิตของพวกเขา: " จงฟังเถิด ชนชาติอิสราเอลเอ๋ย พระเจ้าของเรามีพระเจ้าเดียว เจ้าจงรักพระเจ้าของเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ สิ้นสุดวิญญาณและสิ้นสุดกำลังของเจ้า"
(6:4-5) พระเยซูทรงรวมบัญญัติที่ให้รักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์
เป็นหนึ่งเดียวกันดังที่ปรากฎในหนังสือ เลวีนิติ (Leviticus):
" ท่านจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง" (19:18; เทียบ มก 12:29-31) เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงรักเราก่อน (เทียบ ยน 4:10)
รักจึงไม่เป็นเพียงแค่ "คำสั่ง" แต่เป็นการตอบสนองต่อความรัก
ที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ชิดกับเรา
(มีต่อ...)
caicomputer profile caicomputer

(อารัมภบท)
พระเจ้าทรงเป็นความรัก: Deus Caritas Est ...ต่อ

+++
ในโลกของเราที่พระนามของพระเจ้าบางครั้งถูกนำเอาไปเชื่อมโยงเข้ากับการแก้แค้น ความเกลี่ยดชัง และการใช้ความรุนแรง สาสน์นี้ถือว่า เหมาะแก่กาลเวลาและมีความสำคัญยิ่ง ด้วยเหตุนี้ ในสมณสาสน์ฉบับแรกเราจึงอยากกล่าวถึงความรักที่พระเจ้าประทานอย่างท่วมท้นมายังเรา และเราจะต้องแบ่งปันความรักนี้กับผู้อื่นด้วย
นี้คือเรื่องใหญ่ ใจความที่สมณสาสน์สองภาคฉบับนี้กล่าวถึง
และเอกสารทั้งสองภาคนี้มีความเกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้งด้วย

ภาคแรกของสมณสาสน์ค่อนข้างจะเจาะจงเพราะในวาระเริ่มต้นสมณสมัยของเรา เราต้องการชี้ให้เห็นความจริงสำคัญอย่างชัดเจน
เกี่ยวกับความรักที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์อย่างเร้นลับและแบบให้เปล่า อีกทั้งการเชื่อมโยงภายในระหว่างความรักนั้นกับความรัก
ของมนุษย์

ภาคสองของสมณสาสน์จะเป็นรูปธรรมมากกว่า เพราะมีการพูดถึง
การปฏิบัติของพระศาสนจักรในเรื่องพระบัญญัติของความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ ประเด็นนี้ค่อนข้างซับซ้อนและมีข้อโต้เถียงกันมาก
ซึ่งหากจะพูดกันให้ยืดเยื้อแล้ว ก็คงจะเลยกรอบสมณสาสน์ฉบับนี้
เราต้องการเน้นปัจจัยพื้นฐานเพียงบางประเด็นเท่านั้น เพื่อเป็น
การเรียกร้องให้โลกฟื้นฟูพลังและปณิธานขึ้นใหม่ที่จะตอบสนอง
ต่อความรักของพระเจ้า
info: http://www.vatican.va/holy_father/ben... 25 · XII · 2005 IPSE DIXIT · Joseph Ratzinger ·23 · IV · 2008 ipse dixit · roberto de domenico · music: "Da pacem" ,, coro de monjes del monasterio benedictino de santo domingo de silos
caicomputer profile caicomputer

พระเจ้าทรงเป็นความรัก: Deus Caritas Est
+++
ภาค 1
เอกภาพของความรักในการสร้างและในประวัติศาสตร์แห่งการไถ่กู้

ปัญหาเรื่องภาษา
2.
ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรามนุษย์เป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานสำหรับชีวิตเรา ซึ่งความรักนี้ก่อให้เกิดมีคำถามสำคัญว่า พระเจ้าเป็นใคร และเราเป็นใคร เมื่อพูดกันถึงประเด็นนี้เกิดมีปัญหาเรื่องภาษาขึ้นมาทันที
ทุกวันนี้คำว่า "รัก" กลายเป็นคำที่มักจะใช้กันบ่อยที่สุด และใช้กันอย่างผิดๆ มากที่สุดเช่นกัน เพราะเป็นคำที่เราตีความไม่เหมือนกัน แม้ว่า สมณสาสน์ฉบับนี้จะพูดถึงความรักตามความเข้าใจและการปฏิบัติ ที่มีอยู่ในพระคัมภีร์และขนบธรรมเนียมปฏิบัติของพระศาสนจักรเป็นหลัก เราก็ไม่สามารถที่จะตัดความหมายของคำๆ นี้ออกไป จากความหมายที่วัฒนธรรมต่าง ๆ ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ได้

ก่อนอื่น เราต้องคำนึงถึงความหมายต่างๆ ของคำว่า "รัก" เราพูดถึงความรักต่อประเทศชาติ ความรักต่ออาชีพ ความรักระหว่างเพื่อน
ความรักต่องาน ความรักระหว่างบิดามารดกับบุตร ความรักระหว่างสมาชิกในครอบครัว ความรักต่อเพื่อนบ้าน และความรักของพระเจ้า ท่ามกลางความหมายที่หลากหลายเหล่านี้ มีความรักอยู่อย่างหนึ่งที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ นั่นคือ ความรักระหว่างชายและหญิง ซึ่งกายและวิญญาณรวมเป็นหนึ่งเดียวกันจนไม่สามารถแยกออกจากกัน และมนุษย์สองคนนี้ดูเหมือนมีแรงผลักดันจนห้ามใจไม่ได้ที่จะมีความสุขร่วมกัน ความรักนี้ดูเหมือนจะเป็นบทสรุปความรัก ทำให้ความรักแบบอื่นๆ ที่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ดูจะจืดจางและด้อยลงไป ดังนั้น เราจำเป็นต้องถามว่า ความรักในรูปแบบต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ โดยพื้นฐานแล้ว
เป็นความรักอันเดียวกันหรือเปล่า เพื่อว่า ความรักที่มีการแสดงออก
ในรูปแบบต่าง ๆ นั้น ในที่สุดแล้ว ก็คือ ความจริงสิ่งเดียวกัน หรือว่า เราเพียงแต่ใช้คำคำเดียวกันเพื่อหมายถึง ความจริงมากมาย
ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง?

caicomputer profile caicomputer

พระเจ้าทรงเป็นความรัก: DEUS CARITAS EST
"Eros" และ " Agape" ต่างกันแต่เป็นหนึ่งเดียวกัน
3.
ความรักระหว่างชายหญิงซึ่งอาจไม่ได้มีการวางแผนหรือตั้งใจมาก่อน แต่ถูกบังคับให้เกิดขึ้นกับมนุษย์นั้น ชาวกรีกโบราณเรียกว่า Eros
ขอให้เราตั้งข้อสังเกตไว้แต่เบื้องแรกว่า พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมฉบับภาษากรีกที่ใช้คำ eros เพียงสองครั้งเท่านั้น ส่วนพันธสัญญาใหม่นั้นไม่มีการใช้คำว่า "รัก" แบบนี้เลย สำหรับภาษากรีกที่ใช้กันอยู่ 3 คำ ซึ่งได้แก่ eros (ความรักแบบชาย-หญิง), philia(ความรักแบบมิตรภาพ) และ agape (ความรักบริสุทธิ์ต่อเพื่อนมนุษย์)

ผู้นิพนธ์พันธสัญญาใหม่นิยมใช้คำสุดท้าย ซึ่งมีปรากฎให้เห็นไม่สู้บ่อยนักในภาษากรีก ส่วนคำว่า philia ที่มีความหมายถึงความรัก
ระหว่างเพื่อนฝูงนั้น มีการใช้โดยการเพิ่มความหมายให้มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นในพระวรสารนักบุญยอห์น เพื่อเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูกับสานุศิษย์ของพระองค์ ที่พยายามเลี่ยง
ใช้คำ eros พร้อมกับความหมายในมิติใหม่ของคำ agape บ่งให้เห็นชัดเจนถึงความหมายใหม่ในความเข้าใจของคริสตชนที่เกี่ยวกับคำว่า "รัก" สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความหมายใหม่ของคำว่า
"รัก" ในมุมมองของคริสตชนต่างพากันโจมตีว่า มันก่อให้เกิดผล
ในเชิงลบมากกว่า ตามความเห็นของนักปรัชญาชาวเยอรมันที่ชื่อ
Friedrich Nietzsche วิพากษ์ว่า คริสตศาสนาเอายาพิษไปใส่
ความหมายของคำ eros ซึ่งในตัวของมันเองไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ไปผลักให้มันกลายเป็นเรื่องต่ำช้าจนกลายเป็นเรื่องของกิเลส
เขาสนับสนุนความเข้าใจที่มีอยู่อย่างกว้างขวางด้วยการกล่าวว่า
พระศาสนจักรซึ่งมีทั้งออกบัญญัติและห้ามโน่นห้ามนี่ มิได้เปลี่ยนไปเป็นศัตรูกับสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตดอกหรือ?
ทำไมพระศาสนจักรจึงออกมาเป่านกหวีดห้าม ในเมื่อความชื่นชนยินดีอันเป็นพระพรของพระผู้สร้างนั้น มอบความสุข ซึ่งในตัวมันเองเป็นการลิ้มรสล่วงหน้าถึงความสุขที่จะมาจากพระเจ้า?

caicomputer profile caicomputer

I've been looking for this video for 7 years now :) Thanks for uploading it. It's the first time I saw Gen Congress video, and it convinced me that I had to go to the next one. Uno Siempre! thole 3 months ago
caicomputer profile caicomputer

พระเจ้าทรงเป็นความรัก : DEUS CARITAS EST
4.
แต่คำวิพากษ์นี้ตรงประเด็นแล้วหรือ? คริสตศาสนาทำลาย eros จริงหรือ? ขอให้เราลองมาพิจารณากันถึงโลกยุคก่อนที่คริสตศาสนาจะเกิดขึ้น พวกกรีกก็เช่นเดียวกันกับวัฒนธรรมอื่นๆ มีความเห็นว่า eros คือสิ่งมอมเมาชนิดหนึ่ง เป็นเหตุผลอันทรงพลัง
จาก "ความบ้าคลั่งของเทพเจ้า" ที่ดึงดูดมนุษย์ให้หลุดพ้นจาก
ขอบเขตจำกัด และในขณะที่กำลังถูกพลังของเทพครอบงำนั้น
ก็ยกฐานะมนุษย์ให้สามารถมีประสบการณ์กับความสุขสูงส่งและสูงสุดได้ อำนาจทั้งหลายทั้งปวงทั้งในสวรรค์และแผ่นดิน ล้วนเป็นเรื่องรอง " Omnia vincit amor " -ความรักชนะทุกอย่าง ดังที่เวอร์ยิลกล่าวไว้ใน Bucolics และยังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า " et nos cedamus amori " - ขอให้เราจงได้จำนนต่อความรัก ในเรื่องของศาสนา ทัศนคตินี้จะพบได้ในพิธีกรรมที่ต้องการมีบุตร ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการล่วงประเวณี "ศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งแพร่หลายในวิหารหลายแห่ง
จึงมีการเฉลิมฉลอง eros ในฐานะที่มัน คือ อำนาจของเทพ ในฐานะที่เป็นสิ่งสัมพันธ์กับเทพเจ้า

พระคัมภีร์เก่าต่อต้านศาสนาในรูปแบบนี้อย่างจริงจัง มันเป็นกลลวงร้ายกาจมากต่อความเชื่อที่นับถือพระเจ้าแต่องค์เดียว ถึงกับโจมตีว่า มันเป็นศาสนาที่บิดเบือนและมัวเมาในกิเลสตัณหา
แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ eros ในตัวของมันเอง มีแต่ประกาศสงครามกับรูปแบบที่บิดเบือนและทำลายล้างของมัน เพราะว่า การทำ eros เป็นพระเท็จเทียมนั้น ทำลายศักดิ์ศรีของมันและทำให้ความเป็นมนุษย์ของคนไร้ค่า

ที่จริงแล้ว โสเภณีในวิหารที่ยอมถูกมอมเมาว่า เกี่ยวโยงกับเทพนั้น
ไม่ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์หรือเยี่ยงบุคคล แต่ถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือในการปลุกเร้า "ความบ้าของเทพเจ้า"  โสเภณีพวกนั้น
ไม่ใช่เป็นเทพเจ้า เป็นเพียงมนุษย์ที่ถูกหลอกและถูกเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้น eros ที่ถูกมอมเมาอย่างไร้ระเบียบและไร้การควบคุม
มิได้นำพามนุษย์ให้เข้าไปในความ "บรมสุข" ที่นำไปสู่พระเจ้า
แต่เป็นการทำให้มนุษย์ทำผิดและตกต่ำลง จึงเป็นสิ่งแน่ชัดว่า
eros จำเป็นต้องมีกฎระเบียบ และมีการชำระให้สะอาด หากไม่ต้องการที่จะให้มันเป็นแค่ความสุขชั่วแล่น แต่เป็นการลิ้มรสบางอย่าง
แห่งความสุขสุดยอดในการมีชีวิตของเรา ลิ้มรสกับบุญลาภที่
ความเป็นมนุษย์ของเราใฝ่หา
caicomputer profile caicomputer

พระเจ้าทรงเป็นความรัก : Deus Caritas Est
+++
5.
มีสองมิติด้วยกันที่เผยออกมาให้เราเห็นจากการพิจารณาคำ eros
ทั้งในอดีตและปัจจุบันกาล
มิติแรก มีความเกี่ยวโยงกันบางอย่างระหว่างความรักและพระเจ้า
ความรักให้สัญญาว่า จะไม่มีวันสิ้นสุด มีความเป็นนิจนิรันดร์ เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า และเป็นสิ่งที่อยู่เหนือโดยสิ้นเชิงจากการมีอยู่แบบประจำวันของเรา แต่เราก็ได้เห็นแล้วว่า วิธีที่จะได้มาซึ่งเป้าหมายนี้ไม่ได้อยู่ที่การปล่อยตัวเองไปตามสัญชาติญาณ
มีการเรียกร้องให้มีการชำระล้างและเติบโตขึ้นในวุฒิภาวะ และสิ่งดังกล่าวจำต้องผ่านหนทางแห่งการปฏิเสธตน มันไม่ได้เป็นการปฏิเสธหรือ"วางยาพิษ" ให้แก่ eros เลย มันเป็นการรักษาและฟื้นฟูมันให้สู่ความสง่างามที่แท้จริงของมันต่างหาก

ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะความจริงมีอยู่ว่า มนุษย์ประกอบด้วยร่างกาย
และวิญญาณ มนุษย์เป็นตัวตนเองเมื่อกายและวิญญาณของเขาเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างใกล้ชิด การท้าทายไปในทางเสื่อมของ eros กล่าวได้ว่า พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงหากมนุษย์สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ระหว่างกายและวิญญาณ หากมนุษย์ตั้งหน้าตั้งตารังแต่จะแสวงหาความบริสุทธิ์ฝ่ายวิญญาณ แล้วปล่อยปะละเลยกายไว้ตามลำพัง ค่าที่มันมีธรรมชาติของสัตว์ ทั้งวิญญาณและกายของผู้นั้นจะสูญเสียศักดิ์ศรีไปทั้งสองฝ่าย
ในทางตรงข้าม หากเขาปฏิเสธเรื่องของจิตวิญญาณ แล้วสาละวน
เอาแต่เรื่องวัตถุ ถือว่า เขามีแต่กายอย่างเดียว เขาก็จะสูญเสียความยิ่งใหญ่ของตนเองไปด้วยเช่นกัน

Gassendi อาจารย์ท่านหนึ่งที่ชอบกินชอบดื่มมักจะท้าทาย Descartes นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงด้วยอารมณ์ขันว่า
" โอ้วิญญาณ !" แล้ว Descartes ก็จะตอบว่า "โอ้ เนื้อหนังมังสา!"

แต่ก็ไม่ใช่จิตวิญญาณหรือกายแต่เพียงลำพังที่รัก เป็นคนที่รัก
เป็นบุคคลที่รัก เป็นสัตว์ที่ประกอบด้วยกายและวิญญาณที่รัก
มีแต่เมื่อสองมิตินี้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น ที่มนุษย์จะสามารถ
บรรลุถึงสภาพแห่งความเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์ มีแต่วิธีนี้วิธีเดียวที่เป็นความรัก eros สามารถเติบโตมีวุฒิภาวะและบรรลุถึง
ความงามสง่าที่แท้จริงได้

ทุกวันนี้ ศาสนาคาทอลิกในยุคอดีตมักโดนตำหนิว่า เป็นปฎิปักษ์ต่อร่างกาย และก็เป็นความจริงว่า แนวโน้มไปในทำนองนี้ยังคงเหลืออยู่ แต่วิธียกย่องกายในยุคร่วมสมัยนี้ ก็เป็นสิ่งหลอกลวงด้วย
เช่นกัน eros ถูกจัดให้เป็นเพียง "เรี่องเพศ" แต่เพียงอย่างเดียว
เพศกลายเป็นเสมือนสินค้าหรือเครื่องอำนวยความสะดวก เป็น
เพียง "สิ่ง" หนึ่งที่ซื้อขายได้ หรือมิฉะนั้นมนุษย์ก็กลายเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้เช่นกัน การทำเช่นนี้เท่ากับถือว่า ร่างกายและการมั่วสุม
ในเรื่องเพศของเขา เป็นเพียงส่วนหนึ่งของด้านวัตถุของตัวเขา
ที่จะใช้หรือทำอย่างไรก็ได้ตามใจ เขาจะไม่มองว่า ร่างกายของเขา
เป็นสนามประลองเสรีภาพของตน เห็นเป็นเพียงวัตถุที่พยายาม
ทำให้มันเกิดมีความสนุก และไม่เกิดอันตรายตามแต่ใจตนเองจะชอบ ณ จุดนี้ เรากำลังพูดกันถึงด้านต่ำของร่างกายมนุษย์ ซึ่งมักไม่ประสานกลมกลืนเข้าไปในกระบวนการเสรีภาพที่เรามีอยู่เลย
และไม่ได้เป็นการแสดงออกซึ่งความเป็นมนุษย์ของเราทั้งครบ
มันเป็นแค่ลดขั้นลงไปอยู่ในบริบทของมิติชีววิทยาล้วนๆ
การเทิดทูนร่างกายอาจเปลี่ยนไปและกลายเป็นความจงเกลียดจงชังกายตนเองได้อย่างรวดเร็ว ในอีกมุมมองหนึ่ง ความเชื่อแบบคริสตชนถือเสมอว่า มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวในสองมิติ เป็นความจริง
ที่จิตและวัตถุรวมเป็นสิ่งเดียวกัน และในความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ของสองสิ่งนี้ทำให้แต่ละสิ่งมีสถานภาพสูงส่งขึ้น
eros ที่ถ่องแท้มุ่งสู่ที่สูงแห่ง "บรมสุข" อันนำไปสู่พระเจ้า
นำพาเราไปสู่ที่สูงเหนือตัวเราเอง และเพราะเหตุนี้เอง มันจึงเรียกร้องให้เราเดินในหนทางที่จะทำให้เราขยับสูงขึ้น ให้รู้จักปฏิเสธตัวเอง ให้รู้จักชำระตัวเองให้สะอาด และให้มีการบำบัดรักษา
Dan - mv ภาษามือ เพลงเสียงในความเงียบ Love is hear concert!
caicomputer profile caicomputer


พระเจ้า คือ ความรัก : DEUS CARITAS EST
6.
หากจะพูดกันแบบรูปธรรม หนทางที่จะทำให้เราสูงขึ้นและการชำระล้างให้บริสุทธิ์นั้น หมายความถึงอะไรบ้าง? จะต้องมีประสบการณ์กับความรักอย่างไร? เพื่อที่จะได้บรรลุถึงคำมั่นสัญญาในมิติแห่ง
ความเป็นมนุษย์และมิติแห่งพระเจ้า?
ประการแรกเราอาจพบเบาะแสในบทเพลงหนังสือพระธรรมเก่า
อันเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ฤาษีชีไพร ตามที่มีการอธิบายกันทั่วไป
ในสมัยนี้นั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพลงรักๆ ใคร่ๆ ซึ่งคงจะแต่งไว้สำหรับพิธีแต่งงานของชาวยิว โดยมุ่งที่จะยกย่องความรักของคู่บ่าวสาว ในกรอบของบทเพลงเหล่านี้ ขอให้ตั้งข้อสังเกตดีๆ ว่า
มีการใช้ศัพท์ภาษาฮีบรูอยู่สองคำที่มีความหมายแตกต่างกันซึ่งใช้
แสดงถึง "ความรัก"

คำแรก คือ dodim เป็นคำพหูพจน์อันหมายถึง ความรักที่ยังไม่มีความมั่นคง ยังไม่ตายตัวและยังมีการค้นหากันอยู่ ต่อมามีคำ ahaba มาแทน ซึ่งพระธรรมเก่าฉบับภาษากรีกแปลในความหมายที่ใกล้เคียงกับคำ agape ดังที่เราเห็นแล้วว่า เป็นการแปลแบบที่มี
ความหมายในพระคัมภีร์ของคำว่า "รัก" ตรงกันข้ามกับความรักที่ยัง
ไม่ตายตัวหรือที่ยังมีการค้นหากันอยู่ คำนี้แสดงถึงประสบการณ์ของความรัก ที่รวมถึงการค้นพบอีกฝ่ายหนึ่งที่แท้จริง เป็นการขับเคลื่อนออกไปจากการเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นลักษณะเด่นในตอนแรก
ความรักตอนนี้กลายเป็นความห่วงใยและการดูแลเอาใจใส่อีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ได้เป็นการแสวงหาตนเองอีกต่อไป เป็นการจมอยู่ในความมึนเมาแห่งความสุข ความรักนี้มุ่งแสวงหาแต่ความดีของผู้ที่เขารัก
กลายเป็นการปฏิเสธตนเอง เตรียมพร้อม และแม้กระทั่งเต็มใจ
สำหรับการเสียสละและการบูชา

ส่วนหนึ่งแห่งการเจริญเติบโตสู่ความสูงส่งขึ้นและการชำระจิตภายในให้สะอาดนี่เองที่เป็นความหมายที่ถูกต้อง และการที่จะบรรลุสิ่งนี้ได้ก็ด้วยสองสิ่งด้วยกัน นั้นคือ ความเป็นส่วนตัวจำเพาะ (บุคคลนี้เท่านั้น) และ "ความยั่งยืนถาวร"

ความรักจะต้องครอบคลุมทุกมิติรวมถึงมิติแห่งกาลเวลาด้วย
จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เนื่องจากว่า สัญญาแห่งรักนั้นมุ่งไปที่เป้าหมายที่มีลักษณะแห่งความหมายที่จำกัดนี้ นั่นคือ ความรักมุ่งสู่
ความเป็นนิรันดร์ ความรักเป็น "บรมสุข" แท้จริง ไม่ใช่ในความหมายชั่วแล่นแห่งความมัวเมา แต่เป็นการเดินทางต่อเนื่องที่ต้อง
พยายามออกไปจากความเป็น "อัตตา" แล้วเข้าสู่ความเป็นอิสระ
โดยอาศัยการมอบตนเองแก่ผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เกิดมีการค้นพบตนเอง อันยังจะเป็นผลให้ได้พบพระเจ้าด้วย

" ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น
และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้" (ลก 17:33)

และพระเยซูก็ได้กล่าวในทำนองนี้ไว้มากมายในพระวรสาร
(เทียบ มธ 10:39; 16:25; มก 8:35; ลก 9:24; ยน 12:25)
ในคำกล่าวต่าง ๆ เหล่านั้น พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นถึง
หนทางของพระองค์ซึ่งจะนำพาเราไปสู่การกลับเป็นขึ้นมา
โดยอาศัยไม้กางเขน เป็นหนทางแห่งเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ตกลง
ไปยังพื้นดินแล้วตายไป จึงเกิดผลมากมาย อาศัยการเริ่มจาก
ความล้ำลึกแห่งการบูชาของพระองค์และความรักที่บรรลุถึง
ความสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงแสดงออกด้วยคำกล่าวเหล่านั้น
ถึงแก่นแท้แห่งความรักและแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ด้วย

caicomputer profile caicomputer

พระเจ้าทรงเป็นความรัก - Deus Caritas Est
+++
7.
โดยอาศัยเหตุผลภายในตัวมันเอง คำกล่าวที่มีเชิงปรัชญาเบื้องต้น
ชวนให้คิดเกี่ยวกับความรักเหล่านี้นำเราเข้าสู่ธรณีประตูความเชื่อแห่งพระคัมภีร์ เราเริ่มด้วยการถามว่า ความหมายของคำว่า "รัก" นั้น ถึงแม้จะมีความหมายที่แตกต่างกัน หรือแม้กระทั่งขัดแย้งกัน
นำเราไปสู่ความเป็นเอกภาพที่ล้ำลึก หรือว่า ต้องแยกออกจากกัน
ให้เป็นคนละเรื่อง ที่สำคัญยิ่ง  คือ เราสงสัยว่า ความหมายของความรักที่พระคัมภีร์และความเชื่อตามขนบธรรมเนียมประเพณีของพระศาสนจักรนั้นมีความเชื่อมโยงกันกับประสบการณ์ดังกล่าว ประเด็นนี้ทำให้เราต้องหันกลับไปพิจารณากันถึงคำที่เป็นพื้นฐานอยู่สองคำ คือ eros ในความหมายที่เป็นเรื่องของความรักทางโลก และคำ agape อันหมายถึงความรักที่มีพื้นฐานและหล่อหลอมขึ้นโดยอาศัยความเชื่อ ความหมายทั้งสองบ่อยครั้งดูเหมือนกับอยู่คนละข้างดุจความรักที่ "สูงส่ง" และ "ต้อยต่ำ"

นอกนั้น ยังมีคำจำกัดความอื่นๆ อีก เช่น ความรักที่เอาแต่ได้กับความรักที่มอบให้ผู้อื่น (amor concupiscentiae - amor benevolentiae) ซึ่งบางครั้งมีการเพิ่มความรักขึ้นมาอีกชนิดหนึ่ง
คือ ความรักที่แสวงหาแต่ผลประโยชน์แห่งตน

ในแวดวงวิวาทะของปรัชญาและเทววิทยา ความแตกต่างของความหมายสองคำนี้ มีการเสนอให้ตั้งทฤษฎีให้ชัดเจนว่า มันอยู่กันคนละซีก ความรักแบบ agape คือ ความรักแบบคริสตชนที่ทำให้ชีวิตสูงส่งขึ้น ส่วนความรักแบบ eros นั้น เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นความรักของคนที่ไม่ใช่คริสตชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัฒนธรรมของชาวกรีก หากจะยึดถือเอาทฤษฎีสุดขั้วของความรักทั้งสองแบบกันอย่างจริงจังแล้ว แก่นแท้ของคริสต์ศาสนาคงจะต้องแยกออกจากความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานที่มีความสำคัญมากทีสุดในการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ออกไป คงจะกลายเป็นเรื่องของโลกที่อยู่กันคนละซีก อาจเป็นสิ่งน่าพิศวง แต่หลุดออกไปอย่างสิ้นเชิง
จากองค์ประกอบที่สานทอไว้อย่างสวยงามในชีวิตมนุษย์ แต่ eros และ agape ไม่อาจที่จะแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงอย่างเด็ดขาด ยิ่งความรักทั้งสองรูปแบบในมุมมองที่ต่างกันนั้น จะหันเข้าหาเป็นหนึ่งเดียวกันในความจริงแห่งความรักมากเท่าใด ธรรมชาติที่แท้จริงของความรักโดยทั่วไปก็ยิ่งจะประสบความบริบูรณ์เพิ่มขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ eros จะดูเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวในขั้นแรก และค่อยสูงส่งขึ้น ซึ่งเป็นความน่าพิศวงสำหรับความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สัญญาให้ไว้ สูงส่งขึ้นเพราะมีการโน้มน้าวเข้าหากัน มีการห่วงใยตนเองน้อยลง มีการมอบตนเองและต้องการที่จะ "อยู่ที่นั่น" เพื่อคนอื่น

ดังนั้นปัจจัยของ agape จึงเข้าไปอยู่ในความรักชนิดนี้ มิฉะนั้นแล้ว eros จะไร้สาระและแม้กระทั่งสูญเสียธรรมชาติของมันไป ในอีกมุมมองหนึ่งมนุษย์ไม่สามารถที่จะมีชีวิตโดยอาศัยความรักที่เป็นเพียงความรักแบบต้อยต่ำหรือแบบสูงส่งอย่างหนึ่งอย่างใดได้แต่เพียงอย่างเดียว เขาไม่สามารถที่จะให้ฝ่ายเดียว เขาต้องได้รับด้วย
ผู้ใดที่อยากให้ความรักจะต้องได้รับความรักเป็นของขวัญด้วย ดังที่พระคริสตเจ้าบอกเราว่า คนๆ หนึ่งอาจกลายเป็นต้นตอแห่งธารน้ำชีวิตได้ (เทียบ ยน 7:37-38) แต่เพื่อที่จะเป็นลำธารนั้นได้ ผู้นั้นต้องดื่มจากต้นตอแห่งลำธารอยู่เป็นนิจ ต้นตอนั้น คือ พระคริสตเจ้า ซึ่งความรักแห่งพระเจ้าไหลออกจากดวงใจที่ถูกทิ่มแทงของพระองค์ (เทียบ ยน 19:34)

ในเรื่องราวบันไดของยาโคบ ปิตาจารย์แห่งพระศาสนจักรมองเห็นการเชื่อมโยงระหว่างความรักที่สูงขึ้นและต่ำลง ระหว่าง eros ที่แสวงหาพระเจ้า  และ agape ซึ่งถ่ายทอดพระพรที่ตนได้รับไปให้ผู้อื่น โดยมีสัญลักษณ์ในรูปแบบต่างๆ ว่า แยกออกจากกันไม่ได้
ในข้อความพระคัมภีร์เราอ่านพบว่า ยาโคบนอนหลับโดยใช้ก้อนหินเป็นหมอน ในความฝันท่านเห็นบันไดทอดสูงขึ้นไปยังสวรรค์ซึ่งมีเทวทูตของพระเจ้าไต่ขึ้นไต่ลงตามบันไดนั้น (เทียบ ปฐก 28:12; ยน 1:51) การอธิบายความหมายที่สำคัญมากของความฝันนี้ มีในสมณลิขิต Pastoral Rule ของสมเด็จพระสันตะปาปาเกรโกรีผู้ยิ่งใหญ่ ท่านบอกเราว่า นายชุมพาบาลที่ดีต้องมีรากฐานอยู่บนชีวิตที่มีจิตสมาธิ อาศัยวิธีนี้เท่านั้น ที่เขาจะสามารถรับความต้องการของผู้อื่นมาใส่ตนและทำให้ความต้องการเหล่านั้นเป็น
ความต้องการของตนเอง " per pietatis viscera in se infirmitatem caeterorum transferat " ในประเด็นนี้ นักบุญเกรโกรีเมื่อกล่าวถึงนักบุญเปาโลผู้ที่มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับรหัสธรรมของพระเจ้า ดังนั้นเมื่อท่านเหิรต่ำลงมาอีกครั้ง ท่านก็สามารถที่จะเป็นทุกสิ่งสำหรับทุกคน (เทียบ 2 คร 12:2-4; 1คร 9-22)
ท่านยังได้ชี้ให้เห็นถึงตัวอย่างของโมเสสผู้ที่ได้ประทับอยู่กับพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า สนทนากับพระองค์ เพื่อเมื่อถึงตอนที่ท่านกลับออกมา ท่านจะได้สามารถรับใช้ประชากรของท่านทุกคน ภายในเต๊นท์ที่พัก ท่านใช้ชีวิตในจิตภาวนาสมาธิ เมื่ออยู่นอกที่พัก
ท่านก็อุทิศชีวิตอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือผู้ที่กำลังรับทุกข์
" intus in comtemplationem rapitur, foris infirmantium netotiis urgetur"

ประกาศล่าสุดในบอร์ดเดียวกัน

11 ปีที่ผ่านมา
guest Icon สอนร้องเพลง 5 อ่าน 1,968 12 ปีที่ผ่านมา
12 ปีที่ผ่านมา
13 ปีที่ผ่านมา
13 ปีที่ผ่านมา
caicomputer Icon โชคดี ตรุษจีน ปีกระต่ายทอง อ่าน 993 13 ปีที่ผ่านมา
13 ปีที่ผ่านมา
13 ปีที่ผ่านมา
13 ปีที่ผ่านมา