ส่วนประกอบของตู้เย็น
ตู้เย็นมีส่วนประกอบสำคัญ ดังนี้
1. คอนเดนเซอร์ เป็นตัวนำความร้อนออกไปและทำอากาศภายในให้เย็นลง
2. คอมเพรสเซอร์ เป็นตัวอัดก๊าซให้กลับกลายเป็นของเหลวอยู่ด้านหลังของตู้เย็น
3. หลอดไฟ เป็นหลอดเล็ก ๆ ติดตั้งอยู่ใกล้ปุ่มควบคุมอุณหภูมิ ทำให้เกิดความสว่างภายในตู้เย็น
4. ปุ่มควบคุมอุณหภูมิ ทำหน้าที่รักษาระดับอุณหภูมิในช่องแช่แข็ง และช่องแช่เย็น มี ขีดบอกระดับสูง (HIGH) ต่ำ (LOW)
5. ชั้นวางของอเนกประสงค์ เป็นตะแกรงหรือแผ่นพลาสติกแข็ง วางบนชั้นภายในตู้เย็น สามารถปรับระดับได้ตามความสะดวก
6. กล่องใส่ผักและผลไม้ ลักษณะเหมือนลิ้นชักวางอยู่ด้านล่างสุดของตู้เย็น ช่วยป้องกันลมไม่ให้ถูกผักผลไม้
หลักการทำงานของ ตู้เย็น
ตู้เย็นจะมีระบบควบคุมการทำความเย็น โดยอาศัยอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งประกอบไปด้วยคอมเพรสเซอร์ แผงคอยล์ระบายความร้อน คอยล์ควบแน่น หลอดแคปบลิลารี ตัวแลกเปลี่ยนความร้อน และท่อทางเชื่อม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ ระบบการทำความเย็น
1. คอมเพรสเซอร์ (Compressor) ทำหน้าที่เป็นตัวก่อความเย็น โดยอาศัยพลังงานไฟฟ้าในการทำงาน โดยคอมเพรสเซอร์จะดึงสารทำความเย็นผ่านท่อทางเชื่อม อุณหภูมิและความดันของตัวสารทำความเย็นก็จะสูงขึ้น เพราะในแผงคอนเดนเซอร์ตรงจุดทางออกจะมีอุปกรณ์ที่ชื่อว่า หลอดแคปบลิลารี ทำให้ความร้อนถูกระบายออกจากเครื่อง ทำให้สารทำความเย็นมีอุณหภูมิที่ลดลงจนเกิดการควบแน่นกลายเป็นของเหลวใหม่ สารทำความเย็นนี้ก็จะกลับไปในระบบอัดโดยไหลผ่านหลอดแคปบลิลารีต่อไป
หลอดแคปบลิลารี (Capillary tube) ทำหน้าที่เป็นตัวจำกัดปริมาณของสารทำความเย็นที่ไหลในระบบ และขณะที่สารทำความเย็นออกจากหลอดแคปบลิลารีจะกลายเป็นไอ และถูกส่งต่อไปยังแผงคอยล์ระเหยอีเว็ปเปอร์เรเตอร์ ซึ่งไอเหล่านี้จะถูกดูดซับความร้อนจากอาหารภายในตู้เย็น เมื่อได้รับความร้อน
ไอเหล่านี้จะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวอย่างช้า ๆ แล้วไหลออกจากแผงคอยล์ระเหยกลับไปคอมเพรสเซอร์อีกครั้งต่อไป เรียกว่า “วัฏจักรของระบบการทำความเย็นของตู้เย็น”
ในขั้นตอนนี้ให้ผู้เรียนศึกษาคู่มือ คำแนะนำจนเข้าใจ โดยนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในงานบำรุงรักษาและซ่อมแซมตู้เย็นได้ ในกระบวนการแก้ปัญหาเป็นขั้นตอน การสังเกตตรวจดูสภาพโดยรวมของตู้เย็น เช่น ตู้เย็นในขณะทำงานมีเสียงดัง มีไอน้ำเกาะบริเวณข้างตู้เย็น เปิดฝาตู้เย็นแล้วปรากฏว่าไฟดับหรือเสียบปลั๊กไฟแล้วตู้เย็นไม่ทำงาน
ความปลอดภัย
ตู้เย็นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้กระแสไฟฟ้าเป็นหลัก โดยการใช้ พลังงานไฟฟ้า ไปหล่อเลี้ยงวงจรชุดควบคุมระบบทำความเย็นให้ทำงาน สิ่งที่ควรระวังคือ ความชื้น น้ำและความร้อน เช่น อย่าเสียบปลั๊กขณะมือเปียก เสียบเต้าปลั๊กไม่ถูกวิธี ไม่แน่น ไม่ควรใช้ปลั๊กร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ อย่าติดตั้งตู้เย็นในบริเวณที่เปียกชื้น เพราะอาจเป็นสาเหตุให้ตู้เย็นเกิดกระแสไฟฟ้ารั่ว และเกิดสนิมจนตู้เย็นผุพังได้ อย่าใช้น้ำร้อนหรือของมีคมกระเทาะน้ำแข็งจากช่องน้ำแข็ง รวมไปถึงการนำของหรืออาหารร้อน ๆ ไปใส่ในตู้เย็น เพราะทำให้แผงความเย็น และคอมเพรสเซอร์เสียหายได้
วางแผนการใช้งาน
ในการวางแผนปฏิบัติงานบำรุงรักษาและการซ่อมแซมตู้เย็น จะต้องอาศัยหลักการและวิธีในการสังเกตเป็นอันดับแรก ปัญหาที่พบคือ ตู้เย็นทำงานผิดปกติ หรือตู้เย็นไม่ทำงานเลย เราสามารถนำความรู้ความเข้าใจในการแก้ปัญหามาใช้ในการวางแผน โดยใช้ขั้นตอนการวิเคราะห์ปัญหา ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการแก้ปัญหา เพื่อกำหนดหรือวางแผนการบำรุงรักษา จากการวิเคราะห์ปัญหาผลคือ ตู้เย็นมีเสียงดังผิดปกติ หลอดไฟไม่ติด มีหยดน้ำภายในตู้เย็น มีไอน้ำเกาะข้างตู้เย็น ตลอดจนตู้เย็นไม่ทำงาน จากปัญหาดังกล่าวเราจึงควรทำการบำรุงรักษา และวิเคราะห์และวางแผนการปฏิบัติงานไว้ ดังนี้
สับเบรกเกอร์ลง เพื่อตัดกระแสไฟ
- เปิดฝาตู้เย็น
- ถอดชั้นวางต่าง ๆ ออก
- ถอดดวงไฟออก
- ทำความสะอาดโดยใช้ผ้าแห้งเช็ดตู้เย็น
- นำชั้นวางตู้เย็นไปล้างทำความสะอาด
- ทำการซ่อมแซมเปลี่ยนปะเก็นยางขอบประตูตู้เย็น
เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์
- ผ้าสะอาด
- ฟองน้ำ
- อ่างน้ำ
- ไขควง
- ถุงพลาสติก
- ปลั๊กไฟ
- หลอดไฟ
- ฟิวส์
การเลือกใช้เทคโนโลยี
การเลือกใช้เทคโนโลยีในการบำรุงรักษาซ่อมแซมตู้เย็น จะใช้การดูแลรักษาความสะอาด การตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ของตู้เย็น โดยศึกษาข้อมูลจากคู่มือที่บริษัทติดแนบมาให้กับเครื่อง
การปฏิบัติงาน
การปฏิบัติงานโดยใช้กระบวนการแก้ปัญหามาประยุกต์ใช้ ในขั้นตอนการสร้างทางเลือกในการทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาให้สำเร็จ โดยการบำรุงรักษาและซ่อมแซมตู้เย็น มีดังนี้
การบำรุงรักษา
การดูแลรักษาตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ตู้เย็นทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวขึ้น มีวิธีการหรือขั้นตอนการบำรุงรักษาดังนี้
1.สับเบรกเกอร์ ลงหรือถอดปลั๊กไฟออก เพื่อตัดกระแสไฟฟ้า ในกรณีที่ตู้เย็นมีความสกปรกมาก ให้นำชั้นวางของออกทั้งหมด
2.นำชั้นวางที่ถอดออกมาแล้ว ไปล้างทำความสะอาด
3.ทำความสะอาดภายในตู้เย็นด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดตามซอกต่าง ๆ ของตู้เย็น
4.นำชั้นวางที่ล้างทำความสะอาด เช็ดด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง แล้วนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ประกอบเข้าที่ให้เรียบร้อย
5.ในกรณีที่มีไอน้ำเกาะข้างตู้เย็น และมีหยดน้ำภายในตู้เย็น ให้ใช้ผ้าแห้งเช็ดออก
ทำการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของตู้เย็นที่ชำรุดเสียหาย ให้ใช้งานได้ตามปกติ
1) ตรวจสอบหลอดไฟที่ไม่ติด จากการสังเกตของทักษะกระบวนการแก้ปัญหา อาจมีสาเหตุเนื่องมาจากหลอดไฟขาด ให้แก้ไขโดยการเปลี่ยนหลอดไฟดวงใหม่ โดยมีวิธีการดังนี้
- ถอดปลั๊กตู้เย็นออก
- ถอดฝาครอบหลอดไฟออก โดยปลดตัวล็อคทางด้านล่างและดึงฝาครอบ หลอดไฟออก
- เปลี่ยนหลอดไฟให้ถูกต้อง จากนั้นประกอบฝาครอบหลอดไฟให้อยู่ใน ตำแหน่งเดิมให้ถูกต้อง
2) ตรวจสอบตู้เย็นในกรณีที่ไม่ทำงาน
- เช็ดมือให้แห้งเสียก่อน
- ตรวจสอบฟิวส์หรือเบรกเกอร์ว่ายังทำงานได้ดีหรือไม่
- ถ้าเสียให้ทำการแก้ไขปรับปรุง โดยการเปลี่ยนทันที
3) ตรวจสอบและซ่อมแซมตู้เย็น ในกรณีที่ตู้เย็นประตูปิดไม่สนิท
- ถอดปลั๊กเพื่อตัดกระแสไฟ
- ทดสอบปะเก็นยางขอบประตูว่าปิดสนิทเรียบร้อยดีหรือไม่
วิธีการทดสอบคือ นำเอาธนบัตรหรือกระดาษบางๆ เสียบไว้ระหว่างปะเก็นยางกับขอบประตูแล้วค่อย ๆ ดึงธนบัตร หรือกระดาษออก ถ้าใช้แรงมากแสดงว่าปะเก็นยางส่วนนั้นยังใช้งานได้ดีอยู่ แต่ถ้าใช้แรงดึงเพียงเล็กน้อย ธนบัตรหรือกระดาษหลุดออกมา แสดงว่าปะเก็นยางจุดนั้นเริ่มมีสภาพผิดปกติ ควรเปลี่ยนปะเก็นยางขอบประตูเสียใหม่
- การเปลี่ยนปะเก็นยางประตู ให้นำอาหารออกจากตู้เย็นให้หมดก่อน จากนั้น ปลิ้นยางขึ้นแล้วคลายสกรูที่ยึดออก
- ถอดปะเก็นยางขอบประตูออก ด้วยความระมัดระวัง
- ใส่ปะเก็นยางขอบประตูใหม่แทนที่อันเก่า โดยเริ่มใส่จากมุมใดมุมหนึ่งก่อน แล้วใส่ส่วนที่เหลือ ขันสกรูกลับเข้าที่ให้แน่น แล้วทำการทดสอบปะเก็นยาง