หินสีแท้จากธรรมชาติมาจากไหน?
ด้าน ผศ.ดร.ปัญจวรรณ ธนสุทธิพิทักษ์ อาจารย์ประจำสาขาอัญมณีวิทยา ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ใช้เวลาอยู่กับวิทยาศาสตร์ของเพชรนิลจินดามามากกว่าครึ่งชีวิต ระบุว่า กระแสความฮิตของหินสี ไม่ได้เพิ่งมีเมื่อเหล่าดาราคนดังพากันใส่แล้วถ่ายรูปลงสื่อสังคมออนไลน์ หากแต่กระแสและความเชื่อเรื่องหินสีมีมานานแล้วเป็นร้อยๆ ปีในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศธิเบต อียิปต์ และแอฟริกา ที่หินสีมักจะถูกนำมาโยงกับเรื่องราวลี้ลับจนกลายเป็นตำนานเล่าขานของผู้คนรุ่นต่อรุ่น เราจึงมักเห็นหินสีอยู่ในรูปของเครื่องประดับเป็นกำไล สร้อย แหวน ยอดมงกุฏ ที่นอกจากจะใช้เป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงามแล้ว ยังถูกใช้เป็นเครื่องรางประจำตัวอีกด้วย
“เมืองนอกนี่แหละที่เป็นผู้นำเทรนด์หินสี ความจริงส่วนตัวอาจารย์คิดว่าพวกความเชื่อเหล่านี้น่าจะมาพร้อมๆ กับประวัติศาสตร์ของมนุษย์เลยทีเดียว เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมนุษย์ก็ดำรงชีวิตด้วยหินมาตลอด ซึ่งประเทศที่มีความเชื่อเกี่ยวกับหินสี ส่วนมากจะเป็นประเทศที่มีเหมืองหินสีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งประเทศเหล่านี้นี่เองที่ส่งหินสีมาขายยังประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น ประเทศทางแถบแอฟริกาใต้ แทนซาเนีย ยุโรป อียิปต์ อัฟกานิสถาน ธิเบต พม่า เพราะตอนนี้แหล่งหินสีในประเทศไทยแทบไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว แต่ก็มีประวัติการขุดเหมืองหินสี ที่บ้านโป่งข่าม จ.ลำปาง เช่นกัน แต่หินสีที่นั่นไม่ค่อยสวยงามเสียเท่าไหร่ หินสีแท้ๆ ที่เห็นในประเทศไทยจึงมาจากการนำเข้าแทบทั้งสิ้น” ผศ.ดร.ปัญจวรรณระบุ
ผศ.ดร.ปัญจวรรณ ให้ข้อมูลอีกว่า หินสีที่ขุดได้จะมาในรูปแบบหินก้อน ตั้งแต่ขนาดเล็กหนักไม่ถึงกิโลกรัม จนถึงขนาดยักษ์หนักเป็นตันๆ แล้วนำมาผ่านกรรมวิธีการตัดแต่งเชิ้นส่วนหินไม่มีค่าออกก่อน จากนั้นจึงนำเข้ากระบวนการกลึงให้เป็นทรงกลม หรือทำเหลี่ยมตามความพึงพอใจด้วยเครื่องมือของโรงงานทำอัญมณี ซึ่งกระบวนการเหล่านี้คล้ายๆ กับการเจียระไนเพชรให้มีรูปแบบและเหลี่ยมที่สวยงาม เป็นอีกขั้นตอนที่จะช่วยเพิ่มคุณค่าและราคาให้หินสีเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ขายได้มากยิ่งขึ้น แต่ราคาหลักก็ยังขึ้นกับความนิยมของหินหรือแร่ชนิดนั้นๆ บวกกับความแข็ง และสีสันที่จะมีผลต่อกลไกการตลาดอีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี หินสีก็ยังถือว่ามีราคาต่ำมากเมื่อเทียบกับอัญมณีชนิดอื่นๆ
แยกหินสีของจริง-ของปลอม
หินสีที่มีอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ มีทั้งหินสีธรรมชาติที่เป็นของจริง หินสีปลอมที่ทำจากแก้ว เรซิ่น และพลาสติก ซึ่ง รศ.ดร.เสรีวัฒน์ ให้ข้อสังเกตว่า มีวิธีเบื้องต้นสำหรับตรวจสอบดังนี้
1.ใช้ลูปส่องพระ ขนาดกำลังขยาย 10 เท่าส่องเข้าไปที่เม็ดหิน หากเป็นหินปลอมที่ทำขึ้นจากแก้วหรือเรซิ่น ภายในจะเต็มไปด้วยฟองอากาศขนาดเล็กเต็มไปหมด ที่เกิดจากกระบวนการหล่อของโรงงานที่สามารถยืนยันได้ทันทีว่าหินนี้เป็นของปลอม
2.เมื่อนำไปตากแดดแล้วนำมาสัมผัส หรือนำมาอังไว้ที่แก้ม หินสีธรรมชาติจะยังคงความเย็นอยู่ ในขณะที่แก้วหรือเรซิ่นจะร้อน เพราะมีคุณสมบัติในการดูดความร้อน
3.ดูเส้นไหล หินปลอมจากพลาสติกหรือแก้วจะมีเส้นไหล ที่มีลักษณะเหมือนเป็นลายน้ำเชื่อมที่เกิดจากการหลอมของพลาสติก ซึ่งจะไม่พบในหินแท้จากธรรมชาติ
4.ดูแนวเชื่อม ถ้าหากมีแนวเชื่อมของเม็ดหินแสดงว่าเป็นหินปลอมที่เกิดจากเครื่องหล่อที่ไม่มีประสิทธิภาพ
5.ดูลวดลาย หากลวดลายหรือตำหนิบนหินมีลักษณะเหมือนๆ กัน หรือตรงกันทุกจุด ก็สันนิษฐานได้ทันทีว่ามาจากโรงงาน เพราะหินในธรรมชาติแทบจะไม่มีก้อนไหนเลยที่มีลักษณะเหมือนกัน
6.ราคาอาจใช้เทียบไม่ได้ เพราะเกิดจากความพึงพอใจระหว่างคนขายคนซื้อ และเครดิตของร้านค้า
7.น้ำหนัก ใช้เทียบไม่ได้ เพราะแก้วบางชนิดมีน้ำหนักใกล้เคียงกับหินสีของแท้
8.วิธีสุดท้ายที่ง่ายที่สุด สำหรับการแยกหินสีแท้กับพลาสติก คือ การนำไปเผาไฟ แต่อาจไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ค้า
หากทดสอบด้วยตัวเองแล้วยังไม่มั่นใจ ทีมข่าววิทยาศาสตร์ฯ ได้สอบถามไปยังอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีอีกคนเพื่ออธิบายถึงวิธีการตรวจสอบอัญมณี รวมถึงหินสี ที่ได้มาตรฐานสากลและนิยมใช้ในห้องปฏิบัติการอัญมณีศาสตร์ทั่วไปอีกด้วย