3. Reading is the Best Treasure. จริงแท้และแน่นอน
ตอนนี้อาจารย์ขอพูดเรื่องการอ่านหนังสือหน่อยนะครับตามหัวเรื่องที่มีความหมายว่า “การอ่านเป็นขุมทรัพย์ที่ดีที่สุด”
treasure (เทรช’เชอะ)หมายถึง ขุมทรัพย์ สี่งมีค่านะครับ บังเอิญที่ช่วงนี้ได้ไปพบประสบเจอกับน้องหลายๆ คนพูดถึงเรื่องการอ่านหนังสือแนวๆ ว่า “หนูรู้นะคะว่าอ่านหนังสือเนี่ยมันดี๊ดีให้ความรู้ แต่ไม่รู้เป็นไรขี้เกียจอ่านอ่ะค่ะ” หรือแบบ “แหมหนังสือนี่มันให้อะไรกับเรามากมายนะ แต่ผมไม่ค่อยมีเวลาน่ะครับ” พูดเสร็จพี่ก็กลับไปนั่ง chat Facebook กับไอ้เพื่อนที่เพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่เกินสองชั่วโมงที่แล้วอย่างเข้มข้น เกินห้ามใจ
พวกเราคงเคยได้ยินที่เขาว่ากันว่าคนไทย อ่านหนังสือปีละ 3 บรรทัด ซึ่งอาจารย์ว่ามันดูถูกกันเว่อร์ไปหน่อย ล่าสุดซักเดือนที่แล้วบอกว่าคนไทยอ่านปีละ 3 เล่ม เวียดนามปีละ 5 เล่ม สิงคโปร์ 10 เล่ม ญี่ปุ่นปีละ 15 เล่มโดยประมาณ เออ! แบบนี้พอเชื่อกันหน่อย
ไอ้ เรื่องการอ่านหนังสือน้อยอาจารย์ว่าเป็นปัญหาหลักของเด็กไทย เยาวชนไทย ผู้ใหญ่ไทย แม้แต่ผู้ชราไทย คือแบบไม่ค่อยอ่านอะไรที่เปิดสมองให้กว้าง ความรู้ใหม่ๆ ก็เลยไม่มี รู้แต่เรื่องที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ หรือมีประโชน์น้อย เอาไปใช้ทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงๆ ไม่ค่อยได้ อ่านซ้ำไปซ้ำมา คิดก็คิดเหมือนๆ กัน ตามๆ กัน พอใครหรืออะไรแปลกจากที่ตัวเองเชื่อก็ลงมติทันทีว่า “ผิดนะเฟ้ย! ไม่ถูกต้อง ตรูนี่แหละกูรูแห่งเอกภพ ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญในจักรวาลนี้ที่ข้าไม่รู้ เรื่องใดที่ข้าไม่รู้แสดงว่าเรื่องนั้นไร้สาระ งี่เง่าเฟ้ย” อาจารย์ให้ข้อสังเกตว่าตั้งแต่ประเทศไทยที่รักยิ่งของเรามีแผนปฏิรูปการ ศึกษา แต่ละโรงเรียนจัดหาตำราเอง จัดโครงสร้างกันเอง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด เป็นการบูรณการซึ่งกันและกัน จนสุดท้ายจะกลายเป็นบูรณะซ่อมแซมซะมากกว่าละมั๊งครับ เพราะช่วงห้าปีที่ผ่านมานี่พออาจารย์ถามเรื่องเหตุการณ์สำคัญๆ ระดับโลกที่เพิ่งเกิดขึ้นบ้าง เช่น วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ที่เราเรียกว่า subprime (ซับไพรม) ที่ส่งผลต่อทั้งโลกรวมทั้งประเทศไทยในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้เต็มๆ ซึ่งครูวิชาสังคมฯน่าจะพูดให้นักเรียนเช่นระดับม.ปลายฟังบ้าง นักเรียนบอกไม่รู้ รู้แต่ชายฝั่งทะเลอันดามันเกิดจากการยุบตัว ฝั่งอ่าวไทยเกิดจากการยกตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ในชีวิตประจำวันมาก หุหุ เชื่อไหมครับ อาจารย์ลองถามเด็กเรียนทันตแพทย์ปีสุดท้ายว่ารู้จักเจงกิสข่านไหม เขาตอบว่าคุ้นๆ เคยได้ยิน แต่มันเป็นใครอ่ะ?? ถามเด็ก ป.6 ว่าฮิตเลอร์เป็นใคร คำตอบทีได้คือจบข่าวครับ
ปัญหา คือพวกเราไม่ค่อยเห็นประโยชน์ของการอ่านหนังสือกันครับ อ่านแต่ตำราเรียนที่จะสอบ สอบเสร็จก็ทิ้ง วัดกันแต่เกรด พอว่างก็เล่นแต่เกมมั่ง เล่น facebook มั่ง พอจะอ่านหนังสือก็เล่นอ่านแต่การ์ตูน นิยายที่คนไทยแต่งแต่ปกเป็นการ์ตูนแนวญี่ปุ่นใสปิ๊ง ที่อาจารย์ว่าหนามากๆ ชื่อเรื่องก็โห...จินตนาการงานสร้างมากๆ แบบ“ตกหลุมรักเธอแล้วล่ะซิ นายเจี๋ยมเจี้ยม กับสาวน้อยตายด้าน พุงอื๊ดอืด จุ๊บจุ๊บ แฮ่ แฮ่” แล้วหนังสือพวกนี้ก็ราคาไม่ถูกเลยนะครับ จริงๆ อ่านก็ได้ครับ เล่นเกมก็ได้ครับ แต่ไม่ใช่ระดับขาดเธอไม่ได้ใจฉันจะโรยรา เพราะจริงๆ กิจกรรมหล่านี้ก็มีประโยชน์มากนะครับ อาจารย์ก็อ่าน ก็เล่น แต่ต้องกระจายการหาประสบการณ์ไปเรื่องอื่นบ้างครับ อาจารย์เห็นน้องๆ บางคนคอยเฝ้า refresh หน้าจอคอมพิวเตอร์สลับไปสลับมาเพื่อคอยดูว่ามีใครมาเม้นท์ มาสนใจ status ฉันมั่งเป็นชั่วโมงๆๆๆๆๆๆ อันนี้เสียดายเวลามากๆ เลย กลายเป็นว่าสนใจแต่ความสำคัญของตนเองแต่ไม่สนคนอื่น พอนานๆ ไปกลายเป็นคนใจแคบโดยไม่รู้ตัวไปเลยครับ อันนี้น่ากล้วนะครับ
สังเกต ไหมครับว่าคนเก่งๆ ที่ประสบความสำเร็จมากๆ นี่ส่วนใหญ่อ่านหนังสือกันมากถึงมากที่สุดเลยนะครับ เช่นคุณวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ CEO นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ละครเรื่อง”ไฟอมตะ”นี่เอาชีวิตคุณวิกรมมาสร้างน่ะครับ นึกหน้าคุณวิกรมไม่ออก ลองไปร้านเซเว่นแล้วหาหนังสือ CEO มองซีอีโอโลกที่มีวางขายหลายภาคนั่นล่ะครับที่คุณวิกรมเขียน คุณวิกรมบอกไว้ในทำนองว่าที่ประเทศเราล้าหลังเพราะคนไทยอ่านหนังสือน้อยเลย ไม่ทันโลก ความรู้ไม่พอจะไปแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ ส่วนผู้เฒ่าปรมาจารย์แบบอย่างการลงทุนของอาจารย์อย่าง Warren Buffet ซึ่งแกรวยระดับไม่เคยตกเกินอันดับสามของโลกซักทีนี่ก็เป็น bookworm (บุค’เวิร์ม) หนอนหนังสือเลยนะครับ
ตอนนี้ตีหนึ่ง ครึ่ง เดี๋ยวขอตัวไปอ่านหนังสือให้จบเล่มก่อนนะครับ เล่มนี้ดีมากๆ เปิดมุมมองการวางแผนอนาคตใหม่ๆ ให้อาจารย์อย่างมาก ไว้จะมาเขียนเรื่องการอ่านต่อนะครับ