พฤติกรรมสารสนเทศ
พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลๆ หนึ่ง เพื่อจะเข้าถึงแหล่งสารสนเทศหรือสารสนเทศด้วยวิธีหรือช่องทางต่างๆ ที่จะนำไปสู่ข้อมูลที่ต้องการ เช่น ดูรายการสารคดีทางโทรทัศน์ เข้าห้องสมุด และเข้าถึงข้อมูลนั้นโดยผ่าน Internet เป็นต้น ซึ่งความต้องการสารสนเทศ และพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความต้องการสารสนเทศของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน เป็นเพราะเกิดจากภาวะ หรืออุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแสวงหาสารสนเทศที่ตนต้องการได้ เช่น ภาวะด้านจิตใจ ภาวะแวดล้อม เป็นต้น
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ
วิลสันเสนอตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศใน ค.ศ. 1981 มีแนวคิดสำคัญดังนี้
1. พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง 2 ด้านคือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ
2. พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ (Information need) ซึ่งในตัวแบบเรียกอย่างย่อว่า “ ความต้องการ ”
3. เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอย่างเป็นทางการหรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่เป็นทางการ
4. ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น (Information exchange) และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน (Information transfer)
5. ผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศจากระบบหรือบริการสารสนเทศอาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว นั่นคือ สามารถหาสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของตนหรือหาไม่พบ หากหาไม่พบ อาจต้องย้อนกลับไปค้นหาสารสนเทศอีกครั้ง
6. หลังจากนั้น เมื่อได้สารสนเทศแล้ว จะนำสารสนเทศที่ได้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่ได้จากระบบ บริการหรือแหล่งสารสนเทศใดก็ตาม
อ้างอิง : http://home.kku.ac.th/hslib/malee/.../TheoryInformationBehavior.pdf http://siamfun.files.wordpress.com/2010/01/1information-behavior.ppt
พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง การกระทำที่บุคคลๆ หนึ่ง สร้างขึ้นเมื่อมีความต้องการที่จะหาข้อมูล ข่าวสารเพื่อสนองความต้องการสารสนเทศของตนเอง ความต้องการสารสนเทศนั้นจะนำไปสู่พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเพื่อช่วยในตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และเมื่อตัดสินใจในเรื่องนั้นๆ ได้ก็จะไม่ต้องการสารสนเทศนั้นอีก พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศก็จะหายไป
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศมีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ
1.บริบทของความต้องการสารสนเทศ
2.อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ
3.พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
กระบวนการแสวงหาสารสนเทศมี 8 ขั้นตอน ดังนี้
1.การเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศ ผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ หรือการอ่านตำราพื้นฐานในเรื่องนั้นๆ
2.การเชื่อมโยงร้อยเรียง เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลังหรือการเชื่อมโยงไปข้างหน้า
3.การสำรวจเลือกดู เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ
4.การแยกแยะ เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร เป็นต้น
5.การตรวจตรา เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย
6.การดึงสารสนเทศออกมา เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานวิจัย บทความวารสาร หนังสือ เป็นสารสนเทศแบบเฉพาะเจาะจงที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
7.การตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศที่ได้รับ
8.การจบ เป็นการแสวงหาสารสนเทศขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และให้เกิดความแน่ใจว่าได้สารสนเทศในระดับที่ต้องการแล้ว
อ้างอิง : http://mba05.50webs.com/sample_research2.doc
พฤติกรรมสารสนเทศ
พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลๆ หนึ่ง เพื่อจะเข้าถึงแหล่งสารสนเทศหรือสารสนเทศด้วยวิธีหรือช่องทางต่างๆ ที่จะนำไปสู่ข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งความต้องการสารสนเทศ และพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความต้องการสารสนเทศของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน เป็นเพราะเกิดจากภาวะ หรืออุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแสวงหาสารสนเทศที่ตนต้องการได้
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ
1. พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง 2 ด้านคือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ
2. พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ (Information need)
3. เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ
4. ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น (Information exchange) และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน (Information transfer) ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ 1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ 4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ เป็นเกณฑ์เพื่อกรองสารสนเทศที่แสวงหาได้ 5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจ พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหา สารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก http://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc http://siamfun.files.wordpress.com/2010/01/1information-behavior.ppt
ประกอบด้วย พฤติกรรม 6 ประการ ได้แก่
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้ เป็นการเลือกดูอย่างผ่าน ๆ ซึ่งต่างจากการค้นแบบเฉพาะเจาะจง (specific searching) ที่ค้นจากหัวข้อหรือชื่อเรื่องโดยตรง
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้
http://home.kku.ac.th/hslib/malee/.../TheoryInformationBehavior.pdf
พฤติกรรมมสารสนเทศ
พฤติกรรมสารสนเทศ หายถึง พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลๆ หนึ่ง เพื่อจะเข้าถึงแหล่งสารสนเทศหรือสารสนเทศด้วยวิธีหรือช่องทางต่างๆ ที่จะนำไปสู่ข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งความต้องการสารสนเทศ และพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความต้องการสารสนเทศของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน เป็นเพราะเกิดจากภาวะ หรืออุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแสวงหาสารสนเทศที่ตนต้องการได้
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ
1. พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง 2 ด้านคือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ
2. พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ (Information need)
3. เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ
4. ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น (Information exchange) และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน (Information transfer)
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ประกอบด้วย พฤติกรรม 6 ประการ ได้แก่
1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้ เป็นการเลือกดูอย่างผ่าน ๆ ซึ่งต่างจากการค้นแบบเฉพาะเจาะจง (specific searching) ที่ค้นจากหัวข้อหรือชื่อเรื่องโดยตรง
4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ เป็นเกณฑ์เพื่อกรองสารสนเทศที่แสวงหาได้
5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจ
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้
พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหา สารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
http://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc
http://home.kku.ac.th/hslib/malee/.../TheoryInformationBehavior.pdf
http://siamfun.files.wordpress.com/2010/01/1information-behavior.ppt
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ David Ellis
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่
1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ โดยอาจเป็นการทำงานชิ้นใหม่หรือสนใจศึกษาหาความรู้ในเรื่องใหม่ ซึ่งผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การอ่านตำราพื้นฐานเรื่องนั้น ๆ เป็นต้น
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลัง (backward chaining) คือเชื่อมโยงจากรายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรมในเอกสารที่มีอยู่ หรือการเชื่อมโยงข้างหน้า (forward chaining) คือเชื่อมโยงว่ามีเอกสารใดอ้างถึงเอกสารที่มีอยู่บ้าง
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้ เป็นการเลือกดูอย่างผ่าน ๆ ซึ่งต่างจากการค้นแบบเฉพาะเจาะจง (specific searching) ที่ค้นจากหัวข้อหรือชื่อเรื่องโดยตรง
4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ เป็นเกณฑ์เพื่อกรองสารสนเทศที่แสวงหาได้
5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย เช่น การติดตามจากรายชื่อหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ในสาขาวิชานั้น ๆ การติดตามอ่านวารสารบางรายชื่อทุกฉบับที่ตีพิมพ์ การติดต่อสื่อสารกับนักวิจัยหรือนักวิชาการที่ตนรู้จัก เป็นต้น
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เช่น สถิติคำกล่าวหรือคำพูดสำคัญ ผลการศึกษา ผลวิจัย ฯลฯ ผู้แสวงหาสารสนเทศจำเป็นต้องระบุเอกสารที่มีสารสนเทศที่ต้องการเสียก่อน จึงจะสามารถดึงสารสนเทศออกมาได้ 1 การเริ่มต้น (starting) การตรวจตรา (monitoring) การสำรวจเลือกดู (browsing) การเชื่อมโยง (chaining) การแยกแยะ (differentiating) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting)
อ้างอิง home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/Theory/David_Ellis.doc
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่
1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ โดยอาจเป็นการทำงานชิ้นใหม่หรือสนใจศึกษาหาความรู้ในเรื่องใหม่ ซึ่งผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การอ่านตำราพื้นฐานเรื่องนั้น ๆ เป็นต้น
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลัง (backward chaining) คือเชื่อมโยงจากรายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรมในเอกสารที่มีอยู่ หรือการเชื่อมโยงข้างหน้า (forward chaining) คือเชื่อมโยงว่ามีเอกสารใดอ้างถึงเอกสารที่มีอยู่บ้าง
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้ เป็นการเลือกดูอย่างผ่าน ๆ ซึ่งต่างจากการค้นแบบเฉพาะเจาะจง (specific searching) ที่ค้นจากหัวข้อหรือชื่อเรื่องโดยตรง
4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ เป็นเกณฑ์เพื่อกรองสารสนเทศที่แสวงหาได้
5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย เช่น การติดตามจากรายชื่อหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ในสาขาวิชานั้น ๆ การติดตามอ่านวารสารบางรายชื่อทุกฉบับที่ตีพิมพ์ การติดต่อสื่อสารกับนักวิจัยหรือนักวิชาการที่ตนรู้จัก เป็นต้น
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เช่น สถิติคำกล่าวหรือคำพูดสำคัญ ผลการศึกษา ผลวิจัย ฯลฯ ผู้แสวงหาสารสนเทศจำเป็นต้องระบุเอกสารที่มีสารสนเทศที่ต้องการเสียก่อน จึงจะสามารถดึงสารสนเทศออกมาได้
http://www.uppicth.com/uploads/16cb267.jpg
ยกตัวอย่างตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส โดยยกตัวอย่างตามแบบเว็บบราวเซอร์ เช่น การเริ่มต้นจากหน้าเว็บไซต์หน้าหนึ่ง หรือ 2-3 หน้าในไซต์หนึ่ง เพื่ออ่านหรือหาข้อมูลที่สนใจอื่น ๆ ต่อไป (Starting) จากนั้นก็ดูลิงค์หรือเชื่อมโยงต่าง ๆ ที่อยู่ในหน้าเว็บเพจหนึ่ง คือสามารถลิงค์เชื่อมโยงได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง (Chaining) อ่านหน้าเว็บไซต์แบบสแกนโดยเลือกดูผ่าน ๆ เฉพาะเรื่องที่สนใจก่อน (Browsing) ทำสัญลักษณ์เพื่อแยกแหล่งทรัพยากรที่สนใจไว้ เพื่อสามารถกลับมาเลือกใช้เพื่ออ้างอิงต่อไปได้ง่าย (Differentiating) บอกรับเป็นสมาชิกหรือรับแจ้งรายการสารสนเทศใหม่ ๆ ทางอีเมล์เพื่อติดตามข่าว (Monitoring) และค้นหาสารสนเทศจากแหล่งที่ต้องการจริง ๆ จากสารสนเทศทั้งหมด เพื่อนำออกมาใช้ (Extracting) อ้างอิง :: home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/Theory
พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหาสารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
http://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc
ตัวแบบพฤติกรรมการสารสนเทศ ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่ 1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ 2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม 3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ 4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ 5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย 6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหา สารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช . [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก http://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc Ellis, David.1997. "Modeling the information seeking patterns of engineering research scientists in an industrial environment". Journal of Documentation. 53(4) : 385 Meho, Lokman I and Tibbo, Heren R.(2003) "Modeling the Information- Seeking Behavior of Social Scientists : Ellis’s study revisited". Journal of the American society for information science and technology . 54(6) : 571
อ้างอิง
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่
1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ โดยอาจเป็นการทำงานชิ้นใหม่หรือสนใจศึกษาหาความรู้ในเรื่องใหม่ ซึ่งผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การอ่านตำราพื้นฐานเรื่องนั้น ๆ เป็นต้น
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลัง (backward chaining) คือเชื่อมโยงจากรายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรมในเอกสารที่มีอยู่ หรือการเชื่อมโยงข้างหน้า (forward chaining) คือเชื่อมโยงว่ามีเอกสารใดอ้างถึงเอกสารที่มีอยู่บ้าง
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้ เป็นการเลือกดูอย่างผ่าน ๆ ซึ่งต่างจากการค้นแบบเฉพาะเจาะจง (specific searching) ที่ค้นจากหัวข้อหรือชื่อเรื่องโดยตรง
4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ เป็นเกณฑ์เพื่อกรองสารสนเทศที่แสวงหาได้
5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย เช่น การติดตามจากรายชื่อหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ในสาขาวิชานั้น ๆ การติดตามอ่านวารสารบางรายชื่อทุกฉบับที่ตีพิมพ์ การติดต่อสื่อสารกับนักวิจัยหรือนักวิชาการที่ตนรู้จัก เป็นต้น
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เช่น สถิติคำกล่าวหรือคำพูดสำคัญ ผลการศึกษา ผลวิจัย ฯลฯ ผู้แสวงหาสารสนเทศจำเป็นต้องระบุเอกสารที่มีสารสนเทศที่ต้องการเสียก่อน จึงจะสามารถดึงสารสนเทศออกมาได้
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
http://www.uppicth.com/uploads/16cb267.jpg (เข้าไปดูได้)
ยกตัวอย่างตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส โดยยกตัวอย่างตามแบบเว็บบราวเซอร์ เช่น การเริ่มต้นจากหน้าเว็บไซต์หน้าหนึ่ง หรือ 2-3 หน้าในไซต์หนึ่ง เพื่ออ่านหรือหาข้อมูลที่สนใจอื่น ๆ ต่อไป (Starting) จากนั้นก็ดูลิงค์หรือเชื่อมโยงต่าง ๆ ที่อยู่ในหน้าเว็บเพจหนึ่ง คือสามารถลิงค์เชื่อมโยงได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง (Chaining) อ่านหน้าเว็บไซต์แบบสแกนโดยเลือกดูผ่าน ๆ เฉพาะเรื่องที่สนใจก่อน (Browsing) ทำสัญลักษณ์เพื่อแยกแหล่งทรัพยากรที่สนใจไว้ เพื่อสามารถกลับมาเลือกใช้เพื่ออ้างอิงต่อไปได้ง่าย (Differentiating)บอกรับเป็นสมาชิกหรือรับแจ้งรายการสารสนเทศใหม่ ๆ ทางอีเมล์เพื่อติดตามข่าว (Monitoring) และค้นหาสารสนเทศจากแหล่งที่ต้องการจริง ๆ จากสารสนเทศทั้งหมด เพื่อนำออกมาใช้(Extracting)
อ้างอิง :: home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/Theory
พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหาสารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
http://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ David Ellis
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่
1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ โดยอาจเป็นการทำงานชิ้นใหม่หรือสนใจศึกษาหาความรู้ในเรื่องใหม่ ซึ่งผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การอ่านตำราพื้นฐานเรื่องนั้น ๆ เป็นต้น
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลัง (backward chaining) คือเชื่อมโยงจากรายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรมในเอกสารที่มีอยู่ หรือการเชื่อมโยงข้างหน้า (forward chaining) คือเชื่อมโยงว่ามีเอกสารใดอ้างถึงเอกสารที่มีอยู่บ้าง
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้ เป็นการเลือกดูอย่างผ่าน ๆ ซึ่งต่างจากการค้นแบบเฉพาะเจาะจง (specific searching) ที่ค้นจากหัวข้อหรือชื่อเรื่องโดยตรง
4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ เป็นเกณฑ์เพื่อกรองสารสนเทศที่แสวงหาได้
5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย เช่น การติดตามจากรายชื่อหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ในสาขาวิชานั้น ๆ การติดตามอ่านวารสารบางรายชื่อทุกฉบับที่ตีพิมพ์ การติดต่อสื่อสารกับนักวิจัยหรือนักวิชาการที่ตนรู้จัก เป็นต้น
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เช่น สถิติคำกล่าวหรือคำพูดสำคัญ ผลการศึกษา ผลวิจัย ฯลฯ ผู้แสวงหาสารสนเทศจำเป็นต้องระบุเอกสารที่มีสารสนเทศที่ต้องการเสียก่อน จึงจะสามารถดึงสารสนเทศออกมาได้
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
1 การเริ่มต้น (starting) |
การตรวจตรา (monitoring)
|
การสำรวจเลือกดู (browsing) |
การเชื่อมโยง (chaining) |
การแยกแยะ (differentiating) |
การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) |
1 |
ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิสที่เป็นจุดแข็ง ก็คือ มีความสอดคล้องกับตัวแบบของคนอื่น ๆ เช่น Kuhthau ที่คล้ายคลึงกันในรูปแบบของพฤติกรรม/กิจกรรมที่มีความหลากหลายที่นำไปใช้ในกระบวนการแสวงหา ค้นหาสารสนเทศ ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส เป็นตัวแบบที่สำคัญ เพราะว่า เป็นตัวแบบพื้นฐานของ การวิจัยเชิงทดลอง และถูกนำไปใช้ในการศึกษาหลาย ๆ สาขา และหลากหลายกลุ่มผู้ใช้ การจำแนกพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส ระหว่างนักสังคมศาสตร์ ได้แนะนำว่า ระบบการค้นคืนสารสนเทศน่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น โดยรวมถึงลักษณะของพฤติกรรม/กิจกรรมที่สนับสนุนตัวแบบนี้โดยตรง
ยกตัวอย่างตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส โดยยกตัวอย่างตามแบบเว็บบราวเซอร์ เช่น การเริ่มต้นจากหน้าเว็บไซต์หน้าหนึ่ง หรือ 2-3 หน้าในไซต์หนึ่ง เพื่ออ่านหรือหาข้อมูลที่สนใจอื่น ๆ ต่อไป (Starting) จากนั้นก็ดูลิงค์หรือเชื่อมโยงต่าง ๆ ที่อยู่ในหน้าเว็บเพจหนึ่ง คือสามารถลิงค์เชื่อมโยงได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง (Chaining) อ่านหน้าเว็บไซต์แบบสแกนโดยเลือกดูผ่าน ๆ เฉพาะเรื่องที่สนใจก่อน (Browsing) ทำสัญลักษณ์เพื่อแยกแหล่งทรัพยากรที่สนใจไว้ เพื่อสามารถกลับมาเลือกใช้เพื่ออ้างอิงต่อไปได้ง่าย (Differentiating) บอกรับเป็นสมาชิกหรือรับแจ้งรายการสารสนเทศใหม่ ๆ ทางอีเมล์เพื่อติดตามข่าว (Monitoring) และค้นหาสารสนเทศจากแหล่งที่ต้องการจริง ๆ จากสารสนเทศทั้งหมด เพื่อนำออกมาใช้ (Extracting)
อ้างอิง
พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหา
สารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
http://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc
Ellis, David.1997. “Modeling the information seeking patterns of engineering research scientists
in an industrial environment”. Journal of Documentation. 53(4) : 385
Meho, Lokman I and Tibbo, Heren R.(2003) “Modeling the Information- Seeking Behavior of
Social Scientists : Ellis’s study revisited”. Journal of the American society for
information science and technology. 54(6) : 571
ตัวแบบพฤติกรรมการสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่
1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ
4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้
5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม
อ้างอิง
พวาพันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหา สารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก http://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc Ellis, David.1997. "Modeling the information seeking patterns of engineering research scientists in an industrial environment". Journal of Documentation. 53(4) : 385Meho, Lokman I and Tibbo, Heren R.(2003) "Modeling the Information- Seeking Behavior of Social Scientists : Ellis’s study revisited". Journal of the American society for information science and technology. 54(6) : 571
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ บริบทของความต้องการสารสนเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยแนวคิดสำคัญ คือ
1 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเกิดจากความต้องการสารสนเทศ ซึ่งมีบริบทเฉพาะตัวผู้แสวงหาสารสนเทศ ซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะแตกต่างกันในด้านต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม ความสนใจเฉพาะตัว และความตั้งใจ เป็นต้น
2 อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ เช่น อุปสรรคในการเข้าถึงสารสนเทศ พื้นความรู้ของผู้แสวงหาสารสนเทศ ตำแหน่งและหน้าที่การงานของผู้แสวงหาสารสนเทศ
3 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ประกอบด้วยกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ 8 ขั้นตอน โดยขั้นตอนเหล่านี้ไม่จำเป็นเกิดขึ้นนับแต่ขั้นแรกไปจนขั้นสุดท้ายตามลำดับก็ได้ คือ
3.1 การเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศ ผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ หรือการอ่านตำราพื้นฐานในเรื่องนั้นๆ
3.2 การเชื่อมโยงร้อยเรียง เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลังหรือการเชื่อมโยงไปข้างหน้า
3.3 การสำรวจเลือกดู เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ
3.4 การแยกแยะ เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร เป็นต้น
3.5 การตรวจตรา เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย
3.6 การดึงสารสนเทศออกมา เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานวิจัย บทความวารสาร หนังสือ เป็นสารสนเทศแบบเฉพาะเจาะจงที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
3.7 การตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศที่ได้รับ
3.8 การจบ เป็นการแสวงหาสารสนเทศขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และให้เกิดความแน่ใจว่าได้สารสนเทศในระดับที่ต้องการ อ้างอิง สมพร พุทธาพิทักษ์ผล “ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ” ในประมวลสาระชุด วิชาการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ เล่ม 1 หน่วยที่ 2 นนทบุรี สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2545 mba05.50webs.com/sample_research2.doc
(สมพร 2545 : 58-60)
1531051541329 ภูษิต ภู่สุด
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ บริบทของความต้องการสารสนเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยแนวคิดสำคัญ คือ
1 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเกิดจากความต้องการสารสนเทศ ซึ่งมีบริบทเฉพาะตัวผู้แสวงหาสารสนเทศ ซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะแตกต่างกันในด้านต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม ความสนใจเฉพาะตัว และความตั้งใจ เป็นต้น
2 อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ เช่น อุปสรรคในการเข้าถึงสารสนเทศ พื้นความรู้ของผู้แสวงหาสารสนเทศ ตำแหน่งและหน้าที่การงานของผู้แสวงหาสารสนเทศ
3 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ประกอบด้วยกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ 8 ขั้นตอน โดยขั้นตอนเหล่านี้ไม่จำเป็นเกิดขึ้นนับแต่ขั้นแรกไปจนขั้นสุดท้ายตามลำดับก็ได้ คือ
3.1 การเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศ ผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ หรือการอ่านตำราพื้นฐานในเรื่องนั้นๆ
3.2 การเชื่อมโยงร้อยเรียง เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลังหรือการเชื่อมโยงไปข้างหน้า
3.3 การสำรวจเลือกดู เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ
3.4 การแยกแยะ เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร เป็นต้น
3.5 การตรวจตรา เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย
3.6 การดึงสารสนเทศออกมา เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานวิจัย บทความวารสาร หนังสือ เป็นสารสนเทศแบบเฉพาะเจาะจงที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
3.7 การตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศที่ได้รับ
3.8 การจบ เป็นการแสวงหาสารสนเทศขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และให้เกิดความแน่ใจว่าได้สารสนเทศในระดับที่ต้องการ
อ้างอิง
(สมพร 2545 : 58-60)
สมพร พุทธาพิทักษ์ผล “ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ” ในประมวลสาระชุด
วิชาการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ เล่ม 1 หน่วยที่ 2 นนทบุรี สาขาวิชาศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2545
mba05.50webs.com/sample_research2.doc
1531051541329 ภูษิต ภู่สุด
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ บริบทของความต้องการสารสนเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยแนวคิดสำคัญ คือ
1 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเกิดจากความต้องการสารสนเทศ ซึ่งมีบริบทเฉพาะตัวผู้แสวงหาสารสนเทศ ซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะแตกต่างกันในด้านต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม ความสนใจเฉพาะตัว และความตั้งใจ เป็นต้น
2 อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ เช่น อุปสรรคในการเข้าถึงสารสนเทศ พื้นความรู้ของผู้แสวงหาสารสนเทศ ตำแหน่งและหน้าที่การงานของผู้แสวงหาสารสนเทศ
3 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ประกอบด้วยกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ 8 ขั้นตอน โดยขั้นตอนเหล่านี้ไม่จำเป็นเกิดขึ้นนับแต่ขั้นแรกไปจนขั้นสุดท้ายตามลำดับก็ได้ คือ
3.1 การเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศ ผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ หรือการอ่านตำราพื้นฐานในเรื่องนั้นๆ
3.2 การเชื่อมโยงร้อยเรียง เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลังหรือการเชื่อมโยงไปข้างหน้า
3.3 การสำรวจเลือกดู เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ
3.4 การแยกแยะ เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร เป็นต้น
3.5 การตรวจตรา เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย
3.6 การดึงสารสนเทศออกมา เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานวิจัย บทความวารสาร หนังสือ เป็นสารสนเทศแบบเฉพาะเจาะจงที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
3.7 การตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศที่ได้รับ
3.8 การจบ เป็นการแสวงหาสารสนเทศขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และให้เกิดความแน่ใจว่าได้สารสนเทศในระดับที่ต้องการ
อ้างอิง
(สมพร 2545 : 58-60)
สมพร พุทธาพิทักษ์ผล “ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ” ในประมวลสาระชุด
วิชาการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ เล่ม 1 หน่วยที่ 2 นนทบุรี สาขาวิชาศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2545
mba05.50webs.com/sample_research2.doc
1531051541329 ภูษิต ภู่สุด
แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมสารสนเทศ
ธอมัส ดี วิลสัน (Thomas D.Wilson) เป็นอดีตศาสตราจารย์ด้านสารสนเทศศาสตร์ ณ
มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เขาสนใจด้านพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศและการศึกษา
ผู้ใช้สารสนเทศ และได้ทำการวิจัยเชิงคุณภาพจำนวนมาก โดยงานวิจัยล้วนมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลางและ
เน้นกระบวนการในการแสวงหาและการใช้สารสนเทศในด้านต่างๆ เช่น นักศึกษาและการใช้
ห้องสมุด การแสวงหาสารสนเทศด้านสุขภาพ เป็นต้น
ความหมายของพฤติกรรมสารสนเทศ
ในที่นี้จะเรียกพฤติกรรมทั้งมวลที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศว่า “พฤติกรรมสารสนเทศ”
(information behaviour) พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึงพฤติกรรมทั้งมวลของบุคคลหนึ่ง ซึ่ง
เชื่อมโยงบุคคลผู้นั้นให้เข้าถึงแหล่งสารสนเทศต่างๆ โดยใช้ช่องทางในการเผยแพร่จากสื่อต่างๆ เช่น
การดูรายการสารคดีทางโทรทัศน์ ทั้งที่ไม่มีเจตนาจะรับสารสนเทศจากรายการนั้น เป็นต้น (Wilson
2000: 50) ดังนั้น พฤติกรรมสารสนเทศจึงเป็นคำที่มีความหมายกว้าง และเป็นการมองกิจกรรมของ
มนุษย์ในระดับมหภาคโดยครอบคลุมกิจกรรมสำคัญ 2 กิจกรรม คือ การค้นหาสารสนเทศที่ต้องการ
ด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม และการใช้สารสนเทศหรือการส่งต่อสารสนเทศนั้นๆ ไปยังผู้อื่นต่อไป
แนวคิดเรื่อง “พฤติกรรมสารสนเทศ” นั้นเริ่มกล่าวถึงใน ค.ศ. 1948 เมื่อมีการนำเสนอผล
การศึกษาพฤติกรรมของนักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยีในการแสวงหาและใช้สารสนเทศจาก
มุมมองของสถาบันบริการสารสนเทศและผู้ให้บริการสารสนเทศ แม้ว่าในการระยะแรก อาจยังมิ
เมีการใช้ศัพท์คำนี้ แต่นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มของความสนใจศึกษาด้านดังกล่าว
นับแต่นั้นเป็นต้นมา มีการศึกษาและวิจัยวิธีและลักษณะการค้นหาและการใช้สารสนเทศ
ของผู้ใช้จำนวนมาก โดยในระยะแรก มุ่งเน้นผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักเคมี เป็นต้น
เพื่อหาแนวทางในการจัดบริการด้านต่างๆ ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้มากที่สุด ในระยะหลัง มีการใช้
วิธีวิจัยเชิงคุณภาพอย่างแพร่หลายขึ้น และนำแนวคิดและทฤษฎีของศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น
จิตวิทยา สังคมวิทยา และนิเทศศาสตร์ มาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย
วิลสันศึกษาความต้องการสารสนเทศ และพฤติกรรมอันเกิดจากความต้องการสารสนเทศ
ของบุคคล โดยมีฐานแนวคิดว่า ความต้องการสารสนเทศของแต่ละบุคคลนั้นนำไปสู่พฤติกรรม
ต่างกัน หรืออีกนัยหนึ่ง เขาไม่เห็นด้วยกับนักวิจัยด้านสารสนเทศศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ว่า ผู้มีความ
ต้องการสารสนเทศต้องแสงหาสารสนเทศเสมอ ในทางกลับกัน เขาเชื่อว่า ความต้องการสารสนเทศ
ไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้ใช้แสวงหาสารสนเทศเสมอไป เพราะอาจเกิดภาวะที่ขัดขวางหรือเป็นอุปสรรค
อันทำให้ไม่สามารถแสวงหาสารสนเทศที่สนองตอบความต้องการสารสนเทศของตนได้ เช่น ภาวะ
ด้านจิตใจ ภาวะแวดล้อม เป็นต้น
ดังนั้น การศึกษาพฤติกรรมสารสนเทศจึงไม่สารมารถจะเพียงเฉพาะที่ผู้ใช้หรือผู้แสวงหา
สารสนเทศมีปฏิสัมพันธ์กับระบบสารสนเทศ ในขณะแสวงหาสารสนเทศเท่านั้น แต่จำเป็นต้อง
ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้นับแต่เมื่อเกิดความต้องการสารสนเทศ นั่นคือ การศึกษาพฤติกรรม
สารสนเทศนั้นไม่ควรเน้นเฉพาะจากแง่มุมของระบบ แต่ควรหันมาสู่การศึกษาที่มีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศของวิลสันอธิบายพฤติกรรมสารสนเทศทั้งในเชิงที่มา ซึ่ง
ได้แก่ความต้องการสารสนเทศ และในเชิงพฤติกรรมคือกิจกรรมต่างๆ อันเป็นผลมาจากความ
ต้องการนั้น ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศจึงถือเป็นกรอบแนวคิดที่ทำให้เห็นขั้นตอนของกิจกรรม
ต่างๆ ในการแสวงหาสารสนเทศว่า มิใช่เฉพาะการค้นจากระบบสารสนเทศเท่านั้น แต่ครอบคลุม
ด้านอื่นด้วย เช่น การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ และการใช้สารสนเทศ ดังนั้น ตัวแบบนี้จึงเป็นการ
ขยายกรอบแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ให้กว้างขึ้น
ตัวแบบทั่วไปของพฤติกรรมสารสนเทศ
ใน ค.ศ. 1997 วิลสันได้ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมสารสนเทศ ซึ่งได้นำ
ทฤษฎีและแนวคิดของสาขาวิชาต่างๆ เช่น นิเทศศาสตร์ จิตวิทยา การวิจัยผู้บริโภค เป็นต้น มา
ปรับปรุงตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศของเขา โดยได้ขยายและอธิบายพฤติกรรมสารสนเทศเพิ่มขึ่น
จากเดิม เขาเรียกตัวแบบใหม่นี้ว่า “ ตัวแบบทั่วไปของพฤติกรรมสารสนเทศ ” ( the general model of
information behaviour) เพื่อให้เป็นตัวแบบของพฤติกรรมสารสนเทศในเชิงมหภาค และอธิบายการ
ค้นหาสารสนเทศทั้งจากระบบสารสนเทศในสถาบันบริการสารสนเทศ และจากแหล่งอื่นๆ เช่น
การได้รับสารสนเทศจากสื่อมวลชน เป็นต้น
ตัวแบบทั่วไปของพฤติกรรมสารสนเทศมีลักษณะสำคัญ คือ
2.1 จุดเริ่มต้นที่นำไปสู่พฤติกรรมสารสนเทศ คือ “ ความต้องการสารสนเทศ ” โดยเน้น
ความต้องการของบุคคลผู้แสวงหาสารสนเทศนั้นๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นความต้องการสารสนเทศ
ในบริบทของผู้แสวงหาสารสนเทศ ( person-in-context ) นั่นเอง
2.2 ความแตกต่างระหว่างตัวแบบทั่วไปและตัวแบบเดิมของวิลสัน คือ
ตัวแบบทั่วไประบุถึง “ ตัวแปรแทรกซ้อน ” ( intervening variable ) โดยถือว่าตัวแปรเหล่านี้อาจ
สนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาสารสนเทศก็ได้
2.3 การนำทฤษฎีด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ที่สำคัญ 3 ด้านมาอธิบายกลไกในการ
ก่อหรือกระตุ้นให้เกิดการแสวงหาสารสนเทศ ( stress/coping theory) ทฤษฎีความเสี่ยงและรางวัล
(risk/reward theory) และ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (social learning theory)
2.4 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ พฤติกรรมนี้ครอบคลุมทั้งการแสวงหาสารสนเทศที่
ตนริเริ่ม ( active) เช่น การค้นหาสารสนเทศบนอินเทอร์เน็ต และที่ตนมิได้ริเริ่มเอง ( passive)
2.5 การประมวลและใช้สารสนเทศ ( information processing and use) คือ การนำสารสนเทส
ที่ค้นคืนได้มาคัดเลือก รวบรวม จัดเรียง หรือกระทำด้วยวิธีใด เพื่อให้สามารถนำสารสนเทศนั้นมา
ผนวกเข้าเป็นความรู้ของผู้แสวงหาสารสนเทศ เช่น การขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญในเอกสารที่ค้นคืน
ได้ เพื่อระบุความสำคัญและทำให้สามารถนำข้อความนั้นไปใช้ในรายงานที่จะจัดทำขึ้นต่อไป เป็น
ต้น
อ้างอิงจาก : home.kku.ac.th/hslib/malee/.../TheoryInformationBehavior.pdf
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ บริบทของความต้องการสารสนเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยแนวคิดสำคัญ คือ
1. พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเกิดจากความต้องการสารสนเทศ ซึ่งมีบริบทเฉพาะตัวผู้แสวงหาสารสนเทศ ซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะแตกต่างกันในด้านต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม ความสนใจเฉพาะตัว และความตั้งใจ เป็นต้น
2. อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ เช่น อุปสรรคในการเข้าถึงสารสนเทศ พื้นความรู้ของผู้แสวงหาสารสนเทศ ตำแหน่งและหน้าที่การงานของผู้แสวงหาสารสนเทศ
3. พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ประกอบด้วยกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ 8 ขั้นตอน โดยขั้นตอนเหล่านี้ไม่จำเป็นเกิดขึ้นนับแต่ขั้นแรกไปจนขั้นสุดท้ายตามลำดับก็ได้ คือ
3.1 การเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศ ผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้น จากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ หรือการอ่านตำราพื้นฐานในเรื่องนั้นๆ
3.2 การเชื่อมโยงร้อยเรียง เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลังหรือการเชื่อมโยงไปข้างหน้า
3.3 การสำรวจเลือกดู เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ
3.4 การแยกแยะ เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร เป็นต้น
3.5 การตรวจตรา เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย
3.6 การดึงสารสนเทศออกมา เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานวิจัย บทความวารสาร หนังสือ เป็นสารสนเทศแบบเฉพาะเจาะจงที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
3.7 การตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศที่ได้รับ
3.8 การจบ เป็นการแสวงหาสารสนเทศขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และให้เกิดความแน่ใจว่าได้สารสนเทศในระดับที่ต้องการแล้ว
สมพร พุทธาพิทักษ์ผล “ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ” ในประมวลสาระชุด วิชาการจัดเก็บและการค้นคืนสารสนเทศ เล่ม 1 หน่วยที่ 2 นนทบุรี สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2545
อ้างอิง
ต้องการนั้น ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศจึงถือเป็นกรอบแนวคิดที่ทำให้เห็นขั้นตอนของกิจกรรม ต่างๆ ในการแสวงหาสารสนเทศว่า มิใช่เฉพาะการค้นจากระบบสารสนเทศเท่านั้น แต่ครอบคลุม ด้านอื่นด้วย เช่น การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ และการใช้สารสนเทศ ดังนั้น ตัวแบบนี้จึงเป็นการ ขยายกรอบแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ให้กว้างขึ้น
ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการข้อมูลสารสนเทศที่มีความถูกต้องและแม่นยำ มีคุณภาพ รวดเร็ว โดยอยู่ในกรอบของความต้องการในแต่ละบุคคล ซึ่งแนวทางในการเลือกใช้ข้อมูลสารสนเทศ สามารถนำไปใช้ได้ในหลายๆด้าน โดยมีการวิเคราะห์และประเมินผลอย่างรอบครอบก่อนที่จะนำไปใช้หรือเผยแพร่
ความสำคัญ
1.เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ
2.ให้ผู้ใช้เกิดแนวความคิดและวิเคราะห์เพื่อที่จะนำไปพัฒนาต่อยอดความรู้
3.เพื่อศึกษารูปแบบการใช้ระบบสารสนเทศให้อยู่ในภายใต้ก ประเภท 1.ระบบประมวลผลข้อมูล 2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ 3.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ 4.ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง 5.ระบบผู้เชี่ยวชาญ รอบความคิดใหม่ๆ
ลักษณะของความแตกต่างของความต้องการพฤติกรรมของผู้ใช้
1.การใช้ข้อมูลและสารสนเทศโดยมีการเก็บข้อมูลรวบรวมมาจากแหล่งต่างๆ
2.การเน้นประสิทธิภาพคอมพิวเตอร์และการใช้งานในชีวิตประจำวัน
3.ชีวิตประจำวันในการเดินทางโดยใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ
4.วิจัยพฤติกรรมของวัยรุ่นที่ใช้อินเตอร์เน็ตตามที่พักอาศัย
5.การเปรียบเทียบความต้องการใช้สารสนเทศเพื่อเป็นแนวการสอนให้สอดคล้องกับการสอนแบบ Child-Centered
6.การใช้งานบัตรเครดิตแบบธรรมดาและแบบทอง
7.ข้อดีและเสียของเกมออนไลน์ต่อผู้มาใช้บริการ
8.ความแตกต่างระหว่างการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบพกพาและการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ
9.ปัญหาการใช้งานของคอมพิวเตอร์ในสถานศึกษาและการใช้ของแต่ละบุคคล
10.การเติบโตของปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตในเมืองและชุมชน
พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง พฤติกรรมทั้งมวลของบุคคลหนึ่ง ซึ่งเชื่อมโยงบุคคลนั้นให้เข้าถึงแหล่งสารสนเทศต่างๆ โดยใช้ช่องทางในการเผยแพร่จากสื่อต่างๆ เช่น สารคดีทางโทรทัศน์พฤติกรรมสารสนเทศมีความหมายกว้างและเป็นการมองกิจกรรมของมนุษย์ในระดับมหภาค
วิลสันนำเสนอตัวแบบแสดงความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมสารสนเทศ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศ โดยถือว่าพฤติกรรมสารสนเทศกว้างและครอบคลุมทั้งพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศ ขณะที่พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศก็กว้างกว่าและครอบคลุมพฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศอีกทอดหนึ่ง
วิลสันเสนอตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศใน ค.ศ. 1981 ตัวแบบนี้มีพื้นฐานจากผลการศึกษาวิจัยผู้ใช้สารสนเทศนับแต่ช่วงหลังสงครามครั้งที่สองในประเทศตะวันตกและการศึกษาวิจัยของวิลสันเอง ส่วนใหญ่ผู้ใช้ที่ศึกษาเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัย และแหล่งสารสนเทศสำคัญได้แก่ห้องสมุดนั่นเอง
ตัวแบบพฤตกรรมสารสนเทศของวิลสันมีแนวคิดสำคัญดังนี้
1.1 พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง 2 ด้าน คือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ
1.2 พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ (Information need) ซึ่งในตัวแบบเรียกอย่างย่อว่า “ ความต้องการ ”
1.3 เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอย่างเป็นทางการหรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่เป็นทางการ
1.4 ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น ( Information exchange)และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน ( Information transfer)
1.5 ผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศจากระบบหรือบริการสารสนเทศอาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว นั่นคือ สามารถหาสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของตนหรือหาไม่พบ หากหาไม่พบ อาจต้องย้อนกลับไปค้นหาสารสนเทศอีกครั้ง
1.6 หลังจากนั้น เมื่อได้สารสนเทศแล้ว จะนำสารสนเทศที่ได้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่ได้จากระบบ บริการหรือแหล่งสารสนเทศใดก็ตาม
ตัวแบบทั่วไปของพฤติกรรมสารสนเทศมีลักษณะสำคัญ คือ
1 จุดเริ่มต้นที่นำไปสู่พฤติกรรมสารสนเทศ คือ “ ความต้องการสารสนเทศ ” โดยเน้นความต้องการของบุคคลผู้แสวงหาสารสนเทศนั้นๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นความต้องการสารสนเทศในบริบทของผู้แสวงหาสารสนเทศ ( person-in-context ) นั่นเอง
2 ความแตกต่างระหว่างตัวแบบทั่วไปและตัวแบบเดิมของวิลสัน ที่สำคัญประการหนึ่ง คือตัวแบบทั่วไประบุถึง “ ตัวแปรแทรกซ้อน ” ( intervening variable ) โดยถือว่าตัวแปรเหล่านี้อาจสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาสารสนเทศก็ได้ ตัวแปรแทรกซ้อนแบ่งออกเป็นหลายด้าน คือ
2.1 คุณลักษณะเฉพาะบุคคล ( personal characteristic) เช่น ปัจจัยหรือคุณลักษณะด้านอารมณ์ ด้านพุทธิพิสัยหรือปัญญา ( cognitive ) ระดับการศึกษา และพื้นความรู้ของผู้แสวงหาสารสนเทศ เป็นต้น
2.2 ตัวแปรด้านประชากร ( demographic variable ) เช่น อายุ เพศ เป็นต้น
2.3 ตัวแปรเชิงสังคมหรือระหว่างบุคคล ( social/interpersonal variable) ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการแสวงหาสารสนเทศจากบุคคลอื่นในสังคม เช่น ทัศนคติของผู้ให้บริการสารสนเทศลักษณะการทำงานที่มีการแข่งขันระหว่างเพื่อนร่วมมือ เป็นต้น
2.4 ตัวแปรด้านสิ่งแวดล้อม ( environmental variable ) เช่น เวลาที่ใช้ในการแสวงหาสารสนเทศ วัฒนธรรมซึ่งสะท้อนความเชื่อพื้นฐานของบุคคล เป็นต้น
2.5 คุณลักษณะของแหล่งสารสนเทศ ( information source characteris) เช่น การเข้าถึงแหล่งสารสนเทศ ความน่าเชื่อถือของแหล่งสารสนเทศ เป็นต้น
อ้างอิง:
hppt://www.siamfun.files.wordpress.com/2010/01/1information-behavior.ppt
hppt://www.siamfun.files.wordpress.com/2010/01/1information-behavior.ppt
ตัวแบบด้านพฤติกรรมสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ
ตัวแบบนี้มีพื้นฐานจากผลการศึกษาวิจัยผูใชสารสนเทศนับแตชวงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนใหญผูใชที่ศึกษาเปนกลุมนักวิทยาศาสตรและนักวิจัยในสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัย และแหลงสารสนเทศสําคัญไดแกหองสมุดนั่นเอง
ตัวแบบพฤตกรรมสารสนเทศมีแนวคิดสำคัญดังนี้
1.1 พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง 2 ด้าน
คือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ
1.2 พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ (Information need) ซึ่งในตัวแบบเรียกอย่างย่อว่า “ ความต้องการ ”
1.3 เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นระบบอย่างเป็นทางการหรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่เป็นทางการ
1.4 ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน
1.5 ผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศจากระบบหรือบริการสารสนเทศอาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว นั่นคือ สามารถหาสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของตนหรือหาไม่พบ หากหาไม่พบ อาจต้องย้อนกลับไปค้นหาสารสนเทศอีกครั้ง
1.6 หลังจากนั้น เมื่อได้สารสนเทศแล้ว จะนำสารสนเทศที่ได้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่ได้จากระบบ บริการหรือแหล่งสารสนเทศใดก็ตาม
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศอธิบายพฤติกรรมสารสนเทศทั้งในเชิงที่มา ซึ่งได้แก่ความต้องการสารสนเทศ และในเชิงพฤติกรรมคือกิจกรรมต่างๆ อันเป็นผลมาจากความต้องการนั้น ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศจึงถือเป็นกรอบแนวคิดที่ทำให้เห็นขั้นตอนของกิจกรรมต่างๆ ในการแสวงหาสารสนเทศว่า มิใช่เฉพาะการค้นจากระบบสารสนเทศเท่านั้น แต่ครอบคลุมด้านอื่นด้วย เช่น การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ และการใช้สารสนเทศ ดังนั้น ตัวแบบนี้จึงเป็นการขยายกรอบแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ให้กว้างขึ้น
ตัวแบบด้านพฤติกรรมสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ
ตัวแบบนี้มีพื้นฐานจากผลการศึกษาวิจัยผู้ใช้สารสนเทศนับแตช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ผู้ใช้ที่ศึกษาเป็นกลุมนักวิทยาศาสตรและนักวิจัยในสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัย และแหล่งสารสนเทศสําคัญได้แกห้องสมุดนั่นเอง
ตัวแบบพฤตกรรมสารสนเทศมีแนวคิดสำคัญดังนี้
1.1 พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง 2 ด้าน
คือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ
1.2 พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ (Information need) ซึ่งในตัวแบบเรียกอย่างย่อว่า “ ความต้องการ ”
1.3 เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นระบบอย่างเป็นทางการหรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่เป็นทางการ
1.4 ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน
1.5 ผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศจากระบบหรือบริการสารสนเทศอาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว นั่นคือ สามารถหาสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของตนหรือหาไม่พบ หากหาไม่พบ อาจต้องย้อนกลับไปค้นหาสารสนเทศอีกครั้ง
1.6 หลังจากนั้น เมื่อได้สารสนเทศแล้ว จะนำสารสนเทศที่ได้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่ได้จากระบบ บริการหรือแหล่งสารสนเทศใดก็ตาม
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศอธิบายพฤติกรรมสารสนเทศทั้งในเชิงที่มา ซึ่งได้แก่ความต้องการสารสนเทศ และในเชิงพฤติกรรมคือกิจกรรมต่างๆ อันเป็นผลมาจากความต้องการนั้น ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศจึงถือเป็นกรอบแนวคิดที่ทำให้เห็นขั้นตอนของกิจกรรมต่างๆ ในการแสวงหาสารสนเทศว่า มิใช่เฉพาะการค้นจากระบบสารสนเทศเท่านั้น แต่ครอบคลุมด้านอื่นด้วย เช่น การแลกเปลี่ยนสารสนเทศ และการใช้สารสนเทศ ดังนั้น ตัวแบบนี้จึงเป็นการขยายกรอบแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ให้กว้างขึ้น
อ้างอิง: http://home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/document/TheoryInformationBehavior.pdf
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม 6 ประการ ได้แก่
1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ โดยอาจเป็นการทำงานชิ้นใหม่หรือสนใจศึกษาหาความรู้ในเรื่องใหม่
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลัง คือเชื่อมโยงว่ามีเอกสารใดอ้างถึงเอกสารที่มีอยู่บ้าง
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้
4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ
5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่เราสนใจและคุ้นเคย
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิสที่เป็นจุดแข็ง ก็คือ มีความสอดคล้องกับตัวแบบของคนอื่น ๆ เช่น Kuhthau ที่คล้ายคลึงกันในรูปแบบของพฤติกรรม/กิจกรรมที่มีความหลากหลายที่นำไปใช้ในกระบวนการแสวงหา ค้นหาสารสนเทศ ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส เป็นตัวแบบที่สำคัญ เพราะว่า เป็นตัวแบบพื้นฐานของ การวิจัยเชิงทดลอง และถูกนำไปใช้ในการศึกษาหลาย ๆ สาขา และหลากหลายกลุ่มผู้ใช้ การจำแนกพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส ระหว่างนักสังคมศาสตร์ ได้แนะนำว่า ระบบการค้นคืนสารสนเทศน่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น โดยรวมถึงลักษณะของพฤติกรรม/กิจกรรมที่สนับสนุนตัวแบบนี้โดยตรง
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศมีแนวคิดสำคัญดังนี้
1.1 พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง 2 ด้าน
คือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ
1.2 พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ (Information need) ซึ่งในตัวแบบเรียกอย่างย่อว่า “ ความต้องการ ”
1.3 เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นระบบอย่างเป็นทางการหรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่เป็นทางการ
1.4 ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน
1.5 ผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศจากระบบหรือบริการสารสนเทศอาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว นั่นคือ สามารถหาสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของตนหรือหาไม่พบ หากหาไม่พบ อาจต้องย้อนกลับไปค้นหาสารสนเทศอีกครั้ง
1.6 หลังจากนั้น เมื่อได้สารสนเทศแล้ว จะนำสารสนเทศที่ได้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่ได้จากระบบ บริการหรือแหล่งสารสนเทศใดก็ตาม
อ้างอิง :
1.)พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหา
สารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จากhttp://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc
Ellis, David.1997. “Modeling the information seeking patterns of engineering research scientists
in an industrial environment”. Journal of Documentation. 53(4) : 385 Meho, Lokman I and Tibbo, Heren R.(2003) “Modeling the Information- Seeking Behavior of Social Scientists : Ellis’s study revisited”. Journal of the American society for information science and technology. 54(6) : 571
2.)http://home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/document/TheoryInformationBehavior.pdf
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ บริบทของความต้องการสารสนเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยแนวคิดสำคัญ คือ
2 อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ เช่น อุปสรรคในการเข้าถึงสารสนเทศ พื้นความรู้ของผู้แสวงหาสารสนเทศ ตำแหน่งและหน้าที่การงานของผู้แสวงหาสารสนเทศ
3 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ประกอบด้วยกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ 8 ขั้นตอน โดยขั้นตอนเหล่านี้ไม่จำเป็นเกิดขึ้นนับแต่ขั้นแรกไปจนขั้นสุดท้ายตามลำดับก็ได้ คือ
3.1 การเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศ ผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ หรือการอ่านตำราพื้นฐานในเรื่องนั้นๆ
3.2 การเชื่อมโยงร้อยเรียง เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลังหรือการเชื่อมโยงไปข้างหน้า
3.3 การสำรวจเลือกดู เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ
3.4 การแยกแยะ เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร เป็นต้น
3.5 การตรวจตรา เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย
3.6 การดึงสารสนเทศออกมา เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานวิจัย บทความวารสาร หนังสือ เป็นสารสนเทศแบบเฉพาะเจาะจงที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
3.7 การตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศที่ได้รับ
3.8 การจบ เป็นการแสวงหาสารสนเทศขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และให้เกิดความแน่ใจว่าได้สารสนเทศในระดับที่ต้องการแล้ว
กระบวนการแสวงหาสารสนเทศ ประกอบด้วยกระบวนการย่อย 8 กระบวนการ คือ
7. การดึงสารสนเทศที่ต้องการ เมื่อผู้ใช้ได้ตรวจสอบเอกสารแล้วก็สามารถดึงเอกสารที่พิจารณาแล้วว่าเข้าเรื่องมาเก็บไว้ในหน่วยเก็บเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ภายหลัง
8. การพิจารณา/ค้นหาซ้ำ/ยุติการค้นหา การค้นหาสารสนเทศยากที่จะสำเร็จสมบูรณ์ด้วยการใช้ข้อคำถามเพียงข้อเดียวหรือได้รับผลการค้นหาชุดเดียว โดยทั่วไปแล้วผู้ใช้จะนำผลการค้นหามาเป็นผลป้อนกับในการกำหนดข้อคำถามใหม่ เพื่อดำเนินการค้นหาซ้ำอีก
http://mba05.50webs.com/sample_research2.doc
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ บริบทของความต้องการสารสนเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยแนวคิดสำคัญ คือ
2 อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ เช่น อุปสรรคในการเข้าถึงสารสนเทศ พื้นความรู้ของผู้แสวงหาสารสนเทศ ตำแหน่งและหน้าที่การงานของผู้แสวงหาสารสนเทศ
3 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ประกอบด้วยกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ 8 ขั้นตอน โดยขั้นตอนเหล่านี้ไม่จำเป็นเกิดขึ้นนับแต่ขั้นแรกไปจนขั้นสุดท้ายตามลำดับก็ได้ คือ
3.1 การเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศ ผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ หรือการอ่านตำราพื้นฐานในเรื่องนั้นๆ
3.2 การเชื่อมโยงร้อยเรียง เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลังหรือการเชื่อมโยงไปข้างหน้า
3.3 การสำรวจเลือกดู เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ
3.4 การแยกแยะ เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร เป็นต้น
3.5 การตรวจตรา เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย
3.6 การดึงสารสนเทศออกมา เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานวิจัย บทความวารสาร หนังสือ เป็นสารสนเทศแบบเฉพาะเจาะจงที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที
3.7 การตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศที่ได้รับ
3.8 การจบ เป็นการแสวงหาสารสนเทศขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน และให้เกิดความแน่ใจว่าได้สารสนเทศในระดับที่ต้องการแล้ว
กระบวนการแสวงหาสารสนเทศ ประกอบด้วยกระบวนการย่อย 8 กระบวนการ คือ
7. การดึงสารสนเทศที่ต้องการ เมื่อผู้ใช้ได้ตรวจสอบเอกสารแล้วก็สามารถดึงเอกสารที่พิจารณาแล้วว่าเข้าเรื่องมาเก็บไว้ในหน่วยเก็บเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ภายหลัง
8. การพิจารณา/ค้นหาซ้ำ/ยุติการค้นหา การค้นหาสารสนเทศยากที่จะสำเร็จสมบูรณ์ด้วยการใช้ข้อคำถามเพียงข้อเดียวหรือได้รับผลการค้นหาชุดเดียว โดยทั่วไปแล้วผู้ใช้จะนำผลการค้นหามาเป็นผลป้อนกับในการกำหนดข้อคำถามใหม่ เพื่อดำเนินการค้นหาซ้ำอีก
http://mba05.50webs.com/sample_research2.doc
ทฤษฎีการแสวงหาสารสนเทศของ Leckei, Gloria J.
Leckei, Gloria J. เป็นอาจารย์ที่ Faculty of Information and Media Studies, Middlesex College, University of Western Ontario, London
ทฤษฎีของ Leckie เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการแสวงหาสารสนเทศของบุคคลในอาชีพ โดยมี
หลักว่าบุคคลมีความต้องการสารสนเทศตามอาชีพและภาระงานของแต่ละบุคคล ซึ่งจะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวแปรต่อพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ได้แก่ คุณลักษณะของความต้องการสารสนเทศ (Characteristic of information needs),
การคัดเลือกแหล่งสารสนเทศที่ต้องการ และการตระหนักรู้ในความต้องการสารสนเทศ จากนั้นก็จะดำเนินการสืบค้นสารสนเทศที่ตนเองต้องการ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการประกอบอาชีพของตน และเมื่อได้ข้อมูลเป็นที่น่าพอใจหรือตรงตามความต้องการของตนแล้วก็จะหยุดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศนั้น แต่หากผลลัพธ์ที่ได้นั้นยังไม่ป็นที่น่าพอใจหรือไม่ตรงตามความต้องการบุคคลนั้นก็จะเริ่มพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศใหม่อีก ขั้นตอนรูปแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ Leckie มีส่วนประกอบ 6 ส่วน ดังนี้
แบบจำลองของ Leckie นี้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเหมือนกับว่าสารสนเทศคือสิ่งที่ต้องแสวงหา และผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ ของโมเดล ตลอดจนเป็นผลย้อนกลับไปยังแหล่งของข้อมูล การตระหนักรู้ และการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวอย่างงานวิจัย
งานวิจัยของ Baker (2004) ได้ทำการศึกษาพฤติกรรมสารสนเทศของเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่เข้าไปปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับโสเภณีในเมือง Midelwestern City ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทำหน้าที่เป็นนางนกต่อ ดังนั้นเธอจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สารสนเทศเพื่อประกอบการปฏิบัติงานดังกล่าว ซึ่งจากผลการวิจัยนั้นพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงต้องการสารสนเทศตลอดเวลา อย่างรวดเร็วและถูกต้อง และมีการแสวงหาสารสนเทศใหม่ ๆ ตามบริบทของสถานที่ที่ปฏิบัติงาน รวมทั้งมีแหล่งสารสนเทศได้ทุกแห่ง ทุกประเภท ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่ทำหน้าที่ดังกล่าวนี้มีความต้องการสารสนเทศที่สามารถทำให้ปฏิบัติงานได้สะดวกและปลอดภัยที่สุดตลอดเวลา แต่ถ้าไม่ได้สารสนเทศที่ต้องการก็จะเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศต่อไปจนเป็นที่พอใจ
จากผลการวิจัยอาจสรุปได้ว่า อาชีพเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ซึ่งนอกจากการไก้รับการฝึกอบรมให้เกิดความรู้ ทักษะแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนดังกล่าวยังจะต้องมีการแสวงหาสารสนเทศในขณะที่ปฏิบัติงานด้วย ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวแปรในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทสซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา ได้แก่ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ซึ่งตำรวจหญิงจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา คือ ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับบริเวณที่ปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยจากกับดักและอันตรายต่าง ๆ เพราะความปลอดภัยของตนเองสำคัญที่สุด ปัจจัยด้านความรู้ในความต้องการสารสนเทศของตำรวจหญิง คือ เรียนรู้ในความเป็นอยู่ ภาษา การแต่งกายกับผู้ให้สารสนเทศ คือโสเภณี ผู้ชายที่ควบคุมโสเภณีและคนในชุมชน และข้อมูลที่ต้องการส่งให้กับทีมผู้ร่วมงานยังไม่เป็นที่พอใจ ตำรวจหญิงคนนี้ก็จะเริ่มการแสวงหาสารสนเทศใหม่
จากงานวิจัยที่กล่าวมาข้างต้นที่มีการนำทฤษฎีการแสวงหาสารสนเทศของ Leckie มาใช้ในการทำงานวิจัยก็แสดงให้เห็นว่า “อาชีพและบทบาทมีส่วนสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ”
............................................................................................
อ้างอิง
สมรักษ์ สหพงศ์. (2549). เค้าโครงวิทยานิพนธ์เรื่อง บทบาทละความรู้ความสามารถของนัก
สารสนเทศทางการแพทย์ในกระบวนการเวชปฏิบัติเชิงประจักษ์ : Roles and
Competencies of Medical Information Professionals in Evidence-Based Medicine.
หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาสารสนเทศศึกษา คณะมนุษยศสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
Case, Donald O. (c2002). Looking for information [electronic resource] : a survey of
ตัวแบบด้านพฤติกรรม สารสนเทศ
ทฤษฎีการแสวงหาสารสนเทศของ Leckei, Gloria J.
Leckei, Gloria J. เป็นอาจารย์ที่ Faculty of Information and Media Studies, Middlesex College, University of Western Ontario, London
ทฤษฎีของ Leckie เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการแสวงหาสารสนเทศของบุคคลในอาชีพ โดยมี
หลักว่าบุคคลมีความต้องการสารสนเทศตามอาชีพและภาระงานของแต่ละบุคคล ซึ่งจะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวแปรต่อพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ได้แก่ คุณลักษณะของความต้องการสารสนเทศ (Characteristic of information needs),
การคัดเลือกแหล่งสารสนเทศที่ต้องการ และการตระหนักรู้ในความต้องการสารสนเทศ จากนั้นก็จะดำเนินการสืบค้นสารสนเทศที่ตนเองต้องการ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการประกอบอาชีพของตน และเมื่อได้ข้อมูลเป็นที่น่าพอใจหรือตรงตามความต้องการของตนแล้วก็จะหยุดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศนั้น แต่หากผลลัพธ์ที่ได้นั้นยังไม่ป็นที่น่าพอใจหรือไม่ตรงตามความต้องการบุคคลนั้นก็จะเริ่มพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศใหม่อีกครั้ง ดังภาพต่อไปนี้
อาชีพ
ภาระงาน
ลักษณะของความต้องการสารสนเทศ
แหล่ง สารสนเทศ ที่แสวงหา การตระหนักรู้ถึง
สารสนเทศ ความต้องการ
สารสนเทศ
ผลย้อนกลับ ผลลัพธ์ ผลย้อนกลับ
อาชีพเป็นตัวกำหนดให้แต่ละบุคคลนั้นมีภาระงานที่แตกต่างกัน และด้วยภาระงานนั้นๆ ก็จะส่งผลให้บุคคลมีลักษณะความต้องการสารสนเทศที่แตกต่างกันออกไปอีกเช่นกัน ดังนั้นบุคคลแต่ละคนจะรู้ถึงความต้องการว่าตนต้องการสารสนเทศอะไร รวมทั้งรู้แหล่งสารสนเทศที่ต้องการ จากนั้นก็จะดำเนินการแสวงหาสารสนเทศดังกล่าว และผลลัพธ์ที่ได้จะสามารถใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับไปยังแหล่งข้อมูล และการตระหนักรู้ รวมทั้งการแสวงหาสารสนเทศ ของบุคคลนั้น ๆ ได้
ขั้นตอนรูปแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ Leckie มีส่วนประกอบ 6 ส่วน ดังนี้
แบบจำลองของ Leckie นี้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเหมือนกับว่าสารสนเทศคือสิ่งที่ต้องแสวงหา และผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ ของโมเดล ตลอดจนเป็นผลย้อนกลับไปยังแหล่งของข้อมูล การตระหนักรู้ และการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวอย่างงานวิจัย
งานวิจัยของ Baker (2004) ได้ทำการศึกษาพฤติกรรมสารสนเทศของเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่เข้าไปปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับโสเภณีในเมือง Midelwestern City ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทำหน้าที่เป็นนางนกต่อ ดังนั้นเธอจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สารสนเทศเพื่อประกอบการปฏิบัติงานดังกล่าว ซึ่งจากผลการวิจัยนั้นพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงต้องการสารสนเทศตลอดเวลา อย่างรวดเร็วและถูกต้อง และมีการแสวงหาสารสนเทศใหม่ ๆ ตามบริบทของสถานที่ที่ปฏิบัติงาน รวมทั้งมีแหล่งสารสนเทศได้ทุกแห่ง ทุกประเภท ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่ทำหน้าที่ดังกล่าวนี้มีความต้องการสารสนเทศที่สามารถทำให้ปฏิบัติงานได้สะดวกและปลอดภัยที่สุดตลอดเวลา แต่ถ้าไม่ได้สารสนเทศที่ต้องการก็จะเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศต่อไปจนเป็นที่พอใจ
จากผลการวิจัยอาจสรุปได้ว่า อาชีพเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ซึ่งนอกจากการไก้รับการฝึกอบรมให้เกิดความรู้ ทักษะแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนดังกล่าวยังจะต้องมีการแสวงหาสารสนเทศในขณะที่ปฏิบัติงานด้วย ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวแปรในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทสซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา ได้แก่ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ซึ่งตำรวจหญิงจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา คือ ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับบริเวณที่ปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยจากกับดักและอันตรายต่าง ๆ เพราะความปลอดภัยของตนเองสำคัญที่สุด ปัจจัยด้านความรู้ในความต้องการสารสนเทศของตำรวจหญิง คือ เรียนรู้ในความเป็นอยู่ ภาษา การแต่งกายกับผู้ให้สารสนเทศ คือโสเภณี ผู้ชายที่ควบคุมโสเภณีและคนในชุมชน และข้อมูลที่ต้องการส่งให้กับทีมผู้ร่วมงานยังไม่เป็นที่พอใจ ตำรวจหญิงคนนี้ก็จะเริ่มการแสวงหาสารสนเทศใหม่
จากงานวิจัยที่กล่าวมาข้างต้นที่มีการนำทฤษฎีการแสวงหาสารสนเทศของ Leckie มาใช้ในการทำงานวิจัยก็แสดงให้เห็นว่า “อาชีพและบทบาทมีส่วนสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ”
แต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าโมเดลของ Leckie นั้นจะถูกใช้จำกัดในเฉพาะสาขาที่มีความเชี่ยวชาญบางอาชีพ เช่น กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ, นักกฎหมาย และวิศวกร เท่านั้น
สรุปได้ว่าตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิสที่เป็นจุดแข็ง ก็คือ มีความสอดคล้องกับตัวแบบของคนอื่น ๆ เช่น Kuhthau ที่คล้ายคลึงกันในรูปแบบของพฤติกรรม/กิจกรรมที่มีความหลากหลายที่นำไปใช้ในกระบวนการแสวงหา ค้นหาสารสนเทศ ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ จึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ตัวแบบก่อนนำไปใช่งานจริง
อ้างอิง:
http://home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/Theory/Leckie.doc
สมรักษ์ สหพงศ์. (2549). เค้าโครงวิทยานิพนธ์เรื่อง บทบาทละความรู้ความสามารถของนัก สารสนเทศทางการแพทย์ในกระบวนการเวชปฏิบัติเชิงประจักษ์ : Roles and Competencies of Medical Information Professionals in Evidence-Based Medicine. หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาสารสนเทศศึกษา คณะมนุษยศสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. Case, Donald O. (c2002). Looking for information [electronic resource] : a survey of research on information seeking, need, and behavior. Amsterdam ; New York : Academic Press.
ทฤษฎีการแสวงหาสารสนเทศของ Leckei, Gloria J.
Leckei, Gloria J. เป็นอาจารย์ที่ Faculty of Information and Media Studies, Middlesex College, University of Western Ontario, London
ทฤษฎีของ Leckie เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการแสวงหาสารสนเทศของบุคคลในอาชีพ โดยมี
หลักว่าบุคคลมีความต้องการสารสนเทศตามอาชีพและภาระงานของแต่ละบุคคล ซึ่งจะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยมีปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นตัวแปรต่อพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ได้แก่ คุณลักษณะของความต้องการสารสนเทศ (Characteristic of information needs),
การคัดเลือกแหล่งสารสนเทศที่ต้องการ และการตระหนักรู้ในความต้องการสารสนเทศ จากนั้นก็จะดำเนินการสืบค้นสารสนเทศที่ตนเองต้องการ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการประกอบอาชีพของตน และเมื่อได้ข้อมูลเป็นที่น่าพอใจหรือตรงตามความต้องการของตนแล้วก็จะหยุดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศนั้น แต่หากผลลัพธ์ที่ได้นั้นยังไม่ป็นที่น่าพอใจหรือไม่ตรงตามความต้องการบุคคลนั้นก็จะเริ่มพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศใหม่อีกครั้ง ดังภาพต่อไปนี้
1.อาชีพ
2.ภาระงาน
3.ลักษณะของความต้องการสารสนเทศ
4.การตระหนักรู้ถึง
5.การคัดเลือกแหล่งสารสนเทศที่ต้องการ
6.ผลลัพธ์
อาชีพเป็นตัวกำหนดให้แต่ละบุคคลนั้นมีภาระงานที่แตกต่างกัน และด้วยภาระงานนั้นๆ ก็จะส่งผลให้บุคคลมีลักษณะความต้องการสารสนเทศที่แตกต่างกันออกไปอีกเช่นกัน ดังนั้นบุคคลแต่ละคนจะรู้ถึงความต้องการว่าตนต้องการสารสนเทศอะไร รวมทั้งรู้แหล่งสารสนเทศที่ต้องการ จากนั้นก็จะดำเนินการแสวงหาสารสนเทศดังกล่าว และผลลัพธ์ที่ได้จะสามารถใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับไปยังแหล่งข้อมูล และการตระหนักรู้ รวมทั้งการแสวงหาสารสนเทศ ของบุคคลนั้น ๆ ได้
ขั้นตอนรูปแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ Leckie มีส่วนประกอบ 6 ส่วน ดังนี้
แบบจำลองของ Leckie นี้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเหมือนกับว่าสารสนเทศคือสิ่งที่ต้องแสวงหา และผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ ของโมเดล ตลอดจนเป็นผลย้อนกลับไปยังแหล่งของข้อมูล การตระหนักรู้ และการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวอย่างงานวิจัย
งานวิจัยของ Baker (2004) ได้ทำการศึกษาพฤติกรรมสารสนเทศของเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่เข้าไปปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับโสเภณีในเมือง Midelwestern City ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทำหน้าที่เป็นนางนกต่อ ดังนั้นเธอจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สารสนเทศเพื่อประกอบการปฏิบัติงานดังกล่าว ซึ่งจากผลการวิจัยนั้นพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงต้องการสารสนเทศตลอดเวลา อย่างรวดเร็วและถูกต้อง และมีการแสวงหาสารสนเทศใหม่ ๆ ตามบริบทของสถานที่ที่ปฏิบัติงาน รวมทั้งมีแหล่งสารสนเทศได้ทุกแห่ง ทุกประเภท ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงที่ทำหน้าที่ดังกล่าวนี้มีความต้องการสารสนเทศที่สามารถทำให้ปฏิบัติงานได้สะดวกและปลอดภัยที่สุดตลอดเวลา แต่ถ้าไม่ได้สารสนเทศที่ต้องการก็จะเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศต่อไปจนเป็นที่พอใจ
จากผลการวิจัยอาจสรุปได้ว่า อาชีพเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ ซึ่งนอกจากการไก้รับการฝึกอบรมให้เกิดความรู้ ทักษะแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงคนดังกล่าวยังจะต้องมีการแสวงหาสารสนเทศในขณะที่ปฏิบัติงานด้วย ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวแปรในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทสซึ่งเกิดขึ้นตลอดเวลา ได้แก่ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ซึ่งตำรวจหญิงจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา คือ ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับบริเวณที่ปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยจากกับดักและอันตรายต่าง ๆ เพราะความปลอดภัยของตนเองสำคัญที่สุด ปัจจัยด้านความรู้ในความต้องการสารสนเทศของตำรวจหญิง คือ เรียนรู้ในความเป็นอยู่ ภาษา การแต่งกายกับผู้ให้สารสนเทศ คือโสเภณี ผู้ชายที่ควบคุมโสเภณีและคนในชุมชน และข้อมูลที่ต้องการส่งให้กับทีมผู้ร่วมงานยังไม่เป็นที่พอใจ ตำรวจหญิงคนนี้ก็จะเริ่มการแสวงหาสารสนเทศใหม่
จากงานวิจัยที่กล่าวมาข้างต้นที่มีการนำทฤษฎีการแสวงหาสารสนเทศของ Leckie มาใช้ในการทำงานวิจัยก็แสดงให้เห็นว่า “อาชีพและบทบาทมีส่วนสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ”
แต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าโมเดลของ Leckie นั้นจะถูกใช้จำกัดในเฉพาะสาขาที่มีความเชี่ยวชาญบางอาชีพ เช่น กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ, นักกฎหมาย และวิศวกร เท่านั้น
อ้างอิง:
http://home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/Theory/Leckie.doc
สมรักษ์ สหพงศ์. (2549). เค้าโครงวิทยานิพนธ์ เรื่อง บทบาทละความรู้ความสามารถของนัก
สารสนเทศทางการแพทย์ในกระบวนการเวชปฏิบัติเชิงประจักษ์ : Roles and
Competencies of Medical Information Professionals in Evidence-Based Medicine.
หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาสารสนเทศศึกษา คณะมนุษยศสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
Case, Donald O. (c2002). Looking for information [electronic resource] : a survey of
research on information seeking, need, and behavior. Amsterdam ; New York :
Academic Press.
อารีย์ ชื่นวัฒนา (2545 : 111) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศไว้ว่า พฤติ-กรรมการแสวงหาสารสนเทศ หมายถึง กิจกรรมหรือปฏิสัมพันธ์ที่บุคคลกระทำเพื่อแสวงหาสารสนเทศมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนองความต้องการบางประการของผู้แสวงหา
Chen and Hernon (1982 : 9) กล่าวว่า การแสวงหาสารสนเทศ หมายถึง กิจกรรมที่บุคคลกระทำเพื่อหาข้อมูล ข่าวสาร ที่จะสนองความต้องการของตน ความต้องการนี้จะแสดงออกและนำไปสู่พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหรือตัดสินใจเรื่องใดรื่องหนึ่ง และยุติลงเมื่อบุคคลนั้นไม่ต้องการสารสนเทศดังกล่าวอีกแล้ว
กล่าวโดยสรุปได้ว่า พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ คือ การแสวงหาสารสนเทศอย่างมีวัตถุประสงค์ โดยเป็นผลมาจากการต้องการตอบสนองความต้องการบางประการและก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้แสวงหาสารสนเทศกับระบบสารสนเทศที่ใช้
ทฤษฎีเกี่ยวกับการแสวงหาสารสนเทศ (อารีย์ ชื่นวัฒนา 2545 : 112-113)
การวิจัยเกี่ยวกับการแสวงหาสารสนเทศมักเน้นศึกษาว่าผู้ใช้ค้นหาสารสนเทศอย่างไร และปฏิสัมพันธ์กับระบบสารสนเทศอย่างไร เบรนดา เดอร์วิน ได้พัฒนาทฤษฎี เซ็นต์เมกกิง (Sense-making) ขึ้นในสาขาพฤติกรรมการสื่อสาร ซึ่งนับเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการแสวงหาสารสนเทศที่ได้รับการอ้างถึงมากที่สุด โดยกล่าวว่า การแสวงหาสารสนเทศเกิดจากสถานการณ์หรือบริบทที่บุคคลประสบปัญหาหรือช่องว่างที่ต้องใช้สารสนเทศในการแก้ปัญหาหรือปิดช่องว่างนั้น ซึ่งจะนำมาซึ่งผลลัพธ์คือความรู้ ความเข้าใจ
มอแกนและคิง (อ้างถึงใน Wilson 1977 : 553) เสนอว่าความต้องการเกิดจากแรงกระตุ้นทางกาย (ความหิวกระหาย) แรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นเอง (ความอยากรู้ อยากเห็น การกระตุ้นประสาท) และแรงกระตุ้นทางสังคม (ความปรารถนาที่จะเข้าพวกเข้าหมู่ การเป็นที่ยอมรับ ความก้าวร้าว) นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีสนองความพอใจ (gratification theory) จากสาขานิเทศศาสตร์ที่กล่าวว่ามนุษย์มุ่งแสวงหาสารสนเทศเพื่อสนองความต้องการอันซับซ้อน
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ (สมพร 2545 : 58-60)
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ บริบทของความต้องการสารสนเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยแนวคิดสำคัญ คือ
3.1 การเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศ
3.2 การเชื่อมโยงร้อยเรียง เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม
3.3 การสำรวจเลือกดู เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ
3.4 การแยกแยะ เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร เป็นต้น
3.5 การตรวจตรา เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่วิชาการที่ตนสนใจ
3.6 การดึงสารสนเทศออกมา เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานวิจัย บทความวารสาร หนังสือ
3.7 การตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศที่ได้รับ
3.8 การจบ เป็นการแสวงหาสารสนเทศขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน
อารีย์ ชื่นวัฒนา (2545 : 111) ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศไว้ว่า พฤติ-กรรมการแสวงหาสารสนเทศ หมายถึง กิจกรรมหรือปฏิสัมพันธ์ที่บุคคลกระทำเพื่อแสวงหาสารสนเทศมีจุดมุ่งหมายเพื่อสนองความต้องการบางประการของผู้แสวงหา
Chen and Hernon (1982 : 9) กล่าวว่า การแสวงหาสารสนเทศ หมายถึง กิจกรรมที่บุคคลกระทำเพื่อหาข้อมูล ข่าวสาร ที่จะสนองความต้องการของตน ความต้องการนี้จะแสดงออกและนำไปสู่พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหรือตัดสินใจเรื่องใดรื่องหนึ่ง และยุติลงเมื่อบุคคลนั้นไม่ต้องการสารสนเทศดังกล่าวอีกแล้ว
กล่าวโดยสรุปได้ว่า พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ คือ การแสวงหาสารสนเทศอย่างมีวัตถุประสงค์ โดยเป็นผลมาจากการต้องการตอบสนองความต้องการบางประการและก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้แสวงหาสารสนเทศกับระบบสารสนเทศที่ใช้
ทฤษฎีเกี่ยวกับการแสวงหาสารสนเทศ (อารีย์ ชื่นวัฒนา 2545 : 112-113)
การวิจัยเกี่ยวกับการแสวงหาสารสนเทศมักเน้นศึกษาว่าผู้ใช้ค้นหาสารสนเทศอย่างไร และปฏิสัมพันธ์กับระบบสารสนเทศอย่างไร เบรนดา เดอร์วิน ได้พัฒนาทฤษฎี เซ็นต์เมกกิง (Sense-making) ขึ้นในสาขาพฤติกรรมการสื่อสาร ซึ่งนับเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการแสวงหาสารสนเทศที่ได้รับการอ้างถึงมากที่สุด โดยกล่าวว่า การแสวงหาสารสนเทศเกิดจากสถานการณ์หรือบริบทที่บุคคลประสบปัญหาหรือช่องว่างที่ต้องใช้สารสนเทศในการแก้ปัญหาหรือปิดช่องว่างนั้น ซึ่งจะนำมาซึ่งผลลัพธ์คือความรู้ ความเข้าใจ
มอแกนและคิง (อ้างถึงใน Wilson 1977 : 553) เสนอว่าความต้องการเกิดจากแรงกระตุ้นทางกาย (ความหิวกระหาย) แรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นเอง (ความอยากรู้ อยากเห็น การกระตุ้นประสาท) และแรงกระตุ้นทางสังคม (ความปรารถนาที่จะเข้าพวกเข้าหมู่ การเป็นที่ยอมรับ ความก้าวร้าว) นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีสนองความพอใจ (gratification theory) จากสาขานิเทศศาสตร์ที่กล่าวว่ามนุษย์มุ่งแสวงหาสารสนเทศเพื่อสนองความต้องการอันซับซ้อน
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ (สมพร 2545 : 58-60)
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ บริบทของความต้องการสารสนเทศ อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ โดยแนวคิดสำคัญ คือ
3.1 การเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นแสวงหาสารสนเทศ
3.2 การเชื่อมโยงร้อยเรียง เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม
3.3 การสำรวจเลือกดู เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้างๆ
3.4 การแยกแยะ เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร เป็นต้น
3.5 การตรวจตรา เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่วิชาการที่ตนสนใจ
3.6 การดึงสารสนเทศออกมา เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานวิจัย บทความวารสาร หนังสือ
3.7 การตรวจสอบ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศที่ได้รับ
3.8 การจบ เป็นการแสวงหาสารสนเทศขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บรวบรวมสารสนเทศที่แสวงหาได้ทั้งหมดเข้าด้วยกัน
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ David Ellis
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่
1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ โดยอาจเป็นการทำงานชิ้นใหม่หรือสนใจศึกษาหาความรู้ในเรื่องใหม่ ซึ่งผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การอ่านตำราพื้นฐานเรื่องนั้น ๆ เป็นต้น
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลัง (backward chaining) คือเชื่อมโยงจากรายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรมในเอกสารที่มีอยู่ หรือการเชื่อมโยงข้างหน้า (forward chaining) คือเชื่อมโยงว่ามีเอกสารใดอ้างถึงเอกสารที่มีอยู่บ้าง
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้ เป็นการเลือกดูอย่างผ่าน ๆ ซึ่งต่างจากการค้นแบบเฉพาะเจาะจง (specific searching) ที่ค้นจากหัวข้อหรือชื่อเรื่องโดยตรง
4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ เป็นเกณฑ์เพื่อกรองสารสนเทศที่แสวงหาได้
5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย เช่น การติดตามจากรายชื่อหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ในสาขาวิชานั้น ๆ การติดตามอ่านวารสารบางรายชื่อทุกฉบับที่ตีพิมพ์ การติดต่อสื่อสารกับนักวิจัยหรือนักวิชาการที่ตนรู้จัก เป็นต้น
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เช่น สถิติคำกล่าวหรือคำพูดสำคัญ ผลการศึกษา ผลวิจัย ฯลฯ ผู้แสวงหาสารสนเทศจำเป็นต้องระบุเอกสารที่มีสารสนเทศที่ต้องการเสียก่อน จึงจะสามารถดึงสารสนเทศออกมาได้
ลักษณะสำคัญประการหนึ่งของตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิสที่เป็นจุดแข็ง ก็คือ มีความสอดคล้องกับตัวแบบของคนอื่น ๆ เช่น Kuhthau ที่คล้ายคลึงกันในรูปแบบของพฤติกรรม/กิจกรรมที่มีความหลากหลายที่นำไปใช้ในกระบวนการแสวงหา ค้นหาสารสนเทศ ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส เป็นตัวแบบที่สำคัญ เพราะว่า เป็นตัวแบบพื้นฐานของ การวิจัยเชิงทดลอง และถูกนำไปใช้ในการศึกษาหลาย ๆ สาขา และหลากหลายกลุ่มผู้ใช้ การจำแนกพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส ระหว่างนักสังคมศาสตร์ ได้แนะนำว่า ระบบการค้นคืนสารสนเทศน่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น โดยรวมถึงลักษณะของพฤติกรรม/กิจกรรมที่สนับสนุนตัวแบบนี้โดยตรง
ยกตัวอย่างตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของเอลลิส โดยยกตัวอย่างตามแบบเว็บบราวเซอร์ เช่น การเริ่มต้นจากหน้าเว็บไซต์หน้าหนึ่ง หรือ 2-3 หน้าในไซต์หนึ่ง เพื่ออ่านหรือหาข้อมูลที่สนใจอื่น ๆ ต่อไป (Starting) จากนั้นก็ดูลิงค์หรือเชื่อมโยงต่าง ๆ ที่อยู่ในหน้าเว็บเพจหนึ่ง คือสามารถลิงค์เชื่อมโยงได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง (Chaining) อ่านหน้าเว็บไซต์แบบสแกนโดยเลือกดูผ่าน ๆ เฉพาะเรื่องที่สนใจก่อน (Browsing) ทำสัญลักษณ์เพื่อแยกแหล่งทรัพยากรที่สนใจไว้ เพื่อสามารถกลับมาเลือกใช้เพื่ออ้างอิงต่อไปได้ง่าย (Differentiating) บอกรับเป็นสมาชิกหรือรับแจ้งรายการสารสนเทศใหม่ ๆ ทางอีเมล์เพื่อติดตามข่าว (Monitoring) และค้นหาสารสนเทศจากแหล่งที่ต้องการจริง ๆ จากสารสนเทศทั้งหมด เพื่อนำออกมาใช้ (Extracting)
อ้างอิง
home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/Theory/David_Ellis.doc
1531051541309 ฐปนัท ค่าศิริปกรณ์
ความหมายของพฤติกรรมสารสนเทศ
พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลๆ หนึ่ง เพื่อจะเข้าถึงแหล่งสารสนเทศหรือสารสนเทศด้วยวิธีหรือช่องทางต่างๆ ที่จะนำไปสู่ข้อมูลที่ต้องการ เช่น ดูรายการสารคดีทางโทรทัศน์ เข้าห้องสมุด และเข้าถึงข้อมูลนั้นโดยผ่าน Interneเป็นต้น โดยเพื่อตอบสนองความต้องการสารสนเทศของตนเอง และความต้องการสารสนเทศนั้นจะนำไปสู่พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเพื่อช่วยในตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และพฤติกรรมสารสนเทศจะก่อให้เกิดความต้องการสารสนเทศของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป เป็นเพราะเกิดจากภาวะ หรืออุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแสวงหาสารสนเทศที่ตนต้องการได้ เช่น ภาวะด้านจิตใจ ภาวะแวดล้อม เป็นต้น
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศมีองค์ประกอบ 3 ด้านคือ
1. บริบทของความต้องการสารสนเทศ
2. อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ
3. พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ มีแนวคิดที่สำคัญดังนี้ 1. พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง 2 ด้านคือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ 2. พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ ซึ่งในตัวแบบเรียกอย่างย่อว่า “ ความต้องการ ” 3. เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอย่างเป็นทางการหรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่เป็นทางการ 4.ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น (Information exchange) และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน (Information transfer) 5. ผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศจากระบบหรือบริการสารสนเทศอาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว นั่นคือ สามารถหาสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของตนหรือหาไม่พบ หากหาไม่พบ อาจต้องย้อนกลับไปค้นหาสารสนเทศอีกครั้ง 6. หลังจากนั้น เมื่อได้สารสนเทศแล้ว จะนำสารสนเทศที่ได้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่ได้จากระบบบริการหรือแหล่งสารสนเทศใดก็ตาม อ้างอิง : http://mba05.50webs.com/sample_research2.doc http://home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/document/TheoryInformationBehavior.pdf พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหา สารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
ความหมายของพฤติกรรมสารสนเทศ
พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลๆ หนึ่ง เพื่อจะเข้าถึงแหล่งสารสนเทศหรือสารสนเทศด้วยวิธีหรือช่องทางต่างๆ ที่จะนำไปสู่ข้อมูลที่ต้องการ เช่น ดูรายการสารคดีทางโทรทัศน์ เข้าห้องสมุด และเข้าถึงข้อมูลนั้นโดยผ่าน Interneเป็นต้น โดยเพื่อตอบสนองความต้องการสารสนเทศของตนเอง และความต้องการสารสนเทศนั้นจะนำไปสู่พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเพื่อช่วยในตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และพฤติกรรมสารสนเทศจะก่อให้เกิดความต้องการสารสนเทศของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป เป็นเพราะเกิดจากภาวะ หรืออุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถแสวงหาสารสนเทศที่ตนต้องการได้ เช่น ภาวะด้านจิตใจ ภาวะแวดล้อม เป็นต้น
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศมีองค์ประกอบ 3 ด้านคือ
1. บริบทของความต้องการสารสนเทศ
2. อุปสรรคที่ขัดขวางการแสวงหาสารสนเทศ
3. พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ มีแนวคิดที่สำคัญดังนี้ 1. พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง 2 ด้านคือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ 2. พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ ซึ่งในตัวแบบเรียกอย่างย่อว่า “ ความต้องการ ” 3. เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอย่างเป็นทางการหรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่เป็นทางการ 4.ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น (Information exchange) และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน (Information transfer) 5. ผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศจากระบบหรือบริการสารสนเทศอาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว นั่นคือ สามารถหาสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของตนหรือหาไม่พบ หากหาไม่พบ อาจต้องย้อนกลับไปค้นหาสารสนเทศอีกครั้ง 6. หลังจากนั้น เมื่อได้สารสนเทศแล้ว จะนำสารสนเทศที่ได้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่ได้จากระบบบริการหรือแหล่งสารสนเทศใดก็ตาม อ้างอิง : http://mba05.50webs.com/sample_research2.doc http://home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/document/TheoryInformationBehavior.pdf พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหา สารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก
ตัวแบบด้านพฤติกรรมสารสนเทศ
จากการศึกษาและวิจัยเชิงคุณภาพที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้สารสนเทศ วิลสันได้พัฒนาและปรับปรุงตัวแบบที่ใช้อธิบายพฤติกรรมสารสนเทศขึ้น ตัวแบบแรกของเขานั้นมีชื่อเรียกว่า “ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ” และต่อมา วิลสันได้ศึกษาวิจัยเพิ่มเติม และปรับปรุงตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศโดยลำดับ จนได้ตัวแบบที่สอง ซึ่งเรียกว่า “ตัวแบบทั่วไปของพฤติกรรมสารสนเทศ”
1. ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ
วิลสันเสนอตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศใน ค.ศ. 1981 ตัวแบบนี้มีพื้นฐานจากผลการศึกษาวิจัยผู้ใช้สารสนเทศนับแต่ช่วงหลังสงครามครั้งที่สองในประเทศตะวันตก และการศึกษาวิจัยของวิลสันเอง ส่วนใหญ่ผู้ใช้ที่ศึกษาเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในสถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัย และแหล่งสารสนเทศสำคัญได้แก่ห้องสมุดนั่นเอง
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศของวิลสันมีแนวคิดสำคัญดังนี้
1.1 พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง 2 ด้านคือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใช้สารสนเทศ
1.2 พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความต้องการสารสนเทศ (Information need) ซึ่งในตัวแบบเรียกอย่างย่อว่า “ความต้องการ ”
1.3 เมื่อเกิดความต้องการ ผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใช้ระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอย่างเป็นทางการหรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่เป็นทางการ
1.4 ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ นอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้ว ผู้ใช้หรือผู้แสวงหาสารสนเทศยังอาจได้สารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น ( Information exchange)และยังสามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน ( Information transfer)
1.5 ผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศจากระบบหรือบริการสารสนเทศอาจเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว นั่นคือ สามารถหาสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของตนหรือหาไม่พบ หากหาไม่พบ อาจต้องย้อนกลับไปค้นหาสารสนเทศอีกครั้ง
1.6 หลังจากนั้น เมื่อได้สารสนเทศแล้ว จะนำสารสนเทศที่ได้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่ได้จากระบบ บริการหรือแหล่งสารสนเทศใดก็ตาม
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่ 1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ โดยอาจเป็นการทำงานชิ้นใหม่หรือสนใจศึกษาหาความรู้ในเรื่องใหม่ ซึ่งผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การอ่านตำราพื้นฐานเรื่องนั้น ๆ เป็นต้น 2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลัง (backward chaining) คือเชื่อมโยงจากรายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรมในเอกสารที่มีอยู่ หรือการเชื่อมโยงข้างหน้า (forward chaining) คือเชื่อมโยงว่ามีเอกสารใดอ้างถึงเอกสารที่มีอยู่บ้าง 3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้ เป็นการเลือกดูอย่างผ่าน ๆ ซึ่งต่างจากการค้นแบบเฉพาะเจาะจง (specific searching) ที่ค้นจากหัวข้อหรือชื่อเรื่องโดยตรง 4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ เป็นเกณฑ์เพื่อกรองสารสนเทศที่แสวงหาได้ 5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย เช่น การติดตามจากรายชื่อหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ในสาขาวิชานั้น ๆ การติดตามอ่านวารสารบางรายชื่อทุกฉบับที่ตีพิมพ์ การติดต่อสื่อสารกับนักวิจัยหรือนักวิชาการที่ตนรู้จัก เป็นต้น 6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เช่น สถิติคำกล่าวหรือคำพูดสำคัญ ผลการศึกษา ผลวิจัย ฯลฯ ผู้แสวงหาสารสนเทศจำเป็นต้องระบุเอกสารที่มีสารสนเทศที่ต้องการเสียก่อน จึงจะสามารถดึงสารสนเทศออกมาได้
อ้างอิง : http://home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/document/TheoryInformationBehavior.pdf
http://home.kku.ac.th/hslib/malee/412731/Theory/David_Ellis.doc
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ
พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึงพฤติกรรมทั้งมวลของบุคคลหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงบุคคลผู้นั้นให้เข้าถึงแหล่งสารสนเทศต่างๆ โดยใช้ช่องทางในการเผยแพร่จากสื่อต่างๆ เช่นการดูรายการสารคดีทางโทรทัศนทั้งที่ไม่มีเจตนาจะรับสารสนเทศจากรายการนั้น (
พฤติกรรมสารสนเทศจึงเป็นคําที่มีความหมายกว้างในเชิงมหภาค ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสวงหาและการใช้สารสนเทศโดยเน้นที่ผู้ใช้เป็นสําคัญเขาถือว่าพฤติกรรมสารสนเทศเป็นผลมาจากความ
ต้องการสารสนเทศ ซึ่งเป็นนามธรรมและสัมพันฑ์กับบริบทต่างๆ เช่น สภาวะทางอารมณ สภาวะทางพุทธิพิสัยหรือทางปัญญา ในขณะเดียวกันเมื่อเกิดความต้องการสารสนเทศขึ้นไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้ทุกคนจะต้องแสวงหาสารสนเทศเสมอไปมนุษย์ในระดับมหภาคนี้จึงครอบคลุมกิจกรรมสําคัญ 2 กิจกรรมดังนี้
1. การค้นหาสารสนเทศที่ต้องการด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม
2. การใช้สารสนเทศหรือการส่งต่อสารสนเทศนั้นๆ ไปยังผู้อื่นต่อไป ตัวแบบพฤตกรรมสารสนเทศของวิลสันมีแนวคิดสําคัญดังนี้ 1.1 พฤติกรรมสารสนเทศครอบคลุมพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง 2 ด้าน คือ พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ และพฤติกรรมการใชสารสนเทศ 1.2 พฤติกรรมสารสนเทศของผู้ใช้นั้นมีจุดผลักดันมาจากความตองการสารสนเทศ (Information need) ซึ่งในตัวแบบเรียกอย่างย่อว่า “ ความตองการ ” 1.3 เมื่อเกิดความต้องการผู้ใช้จึงต้องแสวงหาสารสนเทศ โดยใชระบบหรือบริการสารสนเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบอย่างเป็นทางการหรือแหล่งสารสนเทศที่ไม่เป็นทางการ 1.4 ในกระบวนการแสวงหาสารสนเทศนอกจากระบบหรือบริการสารสนเทศแล้วผู้ใช้หรือผู้แสวงหา สารสนเทศยังอาจไดสารสนเทศด้วยการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น ( Information exchange)และยัง สามารถส่งหรือถ่ายโอนสารสนเทศที่ได้ไปให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน ( Information transfer) ผลที่ได้จากการแสวงหาสารสนเทศจากระบบหรือบริการสารสนเทศอาจเป็นความสําเร็จหรือความล้มเหลวนั่น คือ สามารถหาสารสนเทศที่ตอบสนองความต้องการของตนหรือหากหาไม่พบอาจต้องย้อนกลับไปค้นหาสารสนเทศอีกครั้งหลังจากนั้นเมื่อไดสารสนเทศแล้ว จะนําสารสนเทศที่ได้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่ได้จากระบบบริการหรือแหล่งสารสนเทศใดก็ตาม
อ้างอิง :
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ David Ellis ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่
1)
การเริ่มต้น (starting) 2) การเชื่อมโยง (chaining) 3) การสำรวจเลือกดู (browsing) 4) การแยกแยะ (differentiating) 5) การตรวจตรา (monitoring) 6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) อ้างอิง พวา พันธุ์เมฆา,สมพร พุทธาพิทักษ์ผล และ สายลม วุฒิสมบูรณ์ .2548. กระบวนการแสวงหา สารสนเทศของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาสาขาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก http://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc
พฤติกรรมสารสนเทศ
การศึกษาพฤติกรรมสารสนเทศ
แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมสารสนเทศ
พฤติกรรมสารสนเทศ
information behavior
พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
information – seeking behavior
พฤติกรรมการค้นหาสารสนเทศ
Information search behavior
ตัวแบบพฤติกรรมสารสนเทศ
A model of information behavior
Wilson’s information behavior model
Wilson’s information behavior model
Wilson’s information behavior model
อ้างอิง : siamfun.files.wordpress.com/2010/01/1information-behavior.ppt
ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการข้อมูลสารสนเทศที่มีความถูกต้องและแม่นยำ มีคุณภาพ รวดเร็ว โดยอยู่ในกรอบของความต้องการในแต่ละบุคคล ซึ่งแนวทางในการเลือกใช้ข้อมูลสารสนเทศ สามารถนำไปใช้ได้ในหลายๆด้าน โดยมีการวิเคราะห์และประเมินผลอย่างรอบคอบก่อนที่จะนำไปใช้หรือเผยแพร่
การเติบโตของสารสนเทศได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราจึงสามารถนำความหลากหลายของสารสนเทศนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ องค์ประกอบของสารสนเทศในปัจจุบันจึงเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างสรรค์สื่อในด้านต่างๆ ดังนั้นสารสนเทศที่ดีและมีคุณภาพจะต้องประกอบไปด้วยกระบวนการต่างๆที่นำหลักการความเป็นจริงไปสู่ผู้บริโภค ถ้าหากเรารับสารสนเทศที่ผิดไปจากความจริงก็จะทำให้เรารับข้อมูลจากแหล่งอื่นๆผิดพลาดเช่นกัน นวัตกรรมความรู้และความคิดจะต้องสอดคล้องกับการจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือได้ แล้วทุกอย่างก็จะเป็นเรื่องง่ายในการเลือกใช้ทรัพยากรอย่างแท้จริง
กิจกรรมการแสวงหาสารสนเทศ
-การเริ่มต้น Starting: the means employed by the user to begin seeking information, for example, asking some knowledgeable colleague;
-การเชื่อมโยง Chaining: following footnotes and citations in known material or 'forward' chaining from known items through citation indexes;
-การสำรวจ Browsing: 'semi-directed or semi-structured searching' (Ellis, 1989: 187)
-การแยกแยะความแตกต่าง Differentiating: using known differences in information sources as a way of filtering the amount of information obtained;
-การติดตามMonitoring: keeping up-to-date or current awareness searching;
-การดึงหรือเลือกสารสนเทศออกมา Extracting: selectively identifying relevant material in an information source;
-การตรวจสอบ Verifying: checking the accuracy of information;
-การสิ้นการสืบค้น Ending: which may be defined as 'tying up loose ends' through a final search.
การแยกกิจกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ Ellis
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ David Ellis
ตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์(The information seeking behavioral model of social scientist) ซึ่งเป็นตัวแบบพื้นฐานที่เอลลิสพัฒนาขึ้นมากจากผลการวิจัยพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ในปี ค.ศ.1987 และ ค.ศ.1988 ซึ่งตัวแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของนักสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย พฤติกรรม (กิจกรรม) 6 ประการ ได้แก่
1) การเริ่มต้น (starting) เป็นการเริ่มต้นกระบวนการแสวงหาสารสนเทศ โดยอาจเป็นการทำงานชิ้นใหม่หรือสนใจศึกษาหาความรู้ในเรื่องใหม่ ซึ่งผู้แสวงหาสารสนเทศอาจเริ่มต้นจากการสอบถามเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การอ่านตำราพื้นฐานเรื่องนั้น ๆ เป็นต้น
2) การเชื่อมโยง (chaining) เป็นการเชื่อมโยงสารสนเทศจากการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม โดยอาจเป็นการเชื่อมโยงย้อนหลัง (backward chaining) คือเชื่อมโยงจากรายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรมในเอกสารที่มีอยู่ หรือการเชื่อมโยงข้างหน้า (forward chaining) คือเชื่อมโยงว่ามีเอกสารใดอ้างถึงเอกสารที่มีอยู่บ้าง
3) การสำรวจเลือกดู (browsing) เป็นการค้นหาโดยมีเรื่องที่ต้องการหรือสนใจอยู่อย่างกว้าง ๆ จึงต้องสำรวจบริการเวียนสารบัญวารสารในสาขาวิชาที่สนใจ เพื่อเลือกดูบทความที่อาจตรงกับความสนใจเฉพาะได้ เป็นการเลือกดูอย่างผ่าน ๆ ซึ่งต่างจากการค้นแบบเฉพาะเจาะจง (specific searching) ที่ค้นจากหัวข้อหรือชื่อเรื่องโดยตรง
4) การแยกแยะ (differentiating) เป็นการแยกแยะสารสนเทศที่แสวงหาได้ โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ เช่น ชื่อผู้แต่ง ชื่อวารสาร ฯลฯ เป็นเกณฑ์เพื่อกรองสารสนเทศที่แสวงหาได้
5) การตรวจตรา (monitoring) เป็นการตรวจตราวรรณกรรมหรือสารสนเทศใหม่ในสาขาวิชาหรือแวดวงวิชาการที่ตนสนใจและคุ้นเคย เช่น การติดตามจากรายชื่อหนังสือใหม่ของสำนักพิมพ์ในสาขาวิชานั้น ๆ การติดตามอ่านวารสารบางรายชื่อทุกฉบับที่ตีพิมพ์ การติดต่อสื่อสารกับนักวิจัยหรือนักวิชาการที่ตนรู้จัก เป็นต้น
6) การดึงสารสนเทศออกมา (extracting) เป็นการดึงสารสนเทศที่ต้องการจากรายงานการวิจัย บทความวารสาร หนังสือ ฐานข้อมูลดัชนี หรือเอกสารประกอบการประชุม ซึ่งเป็นสารสนเทศเพียงบางส่วนในเอกสารที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เช่น สถิติคำกล่าวหรือคำพูดสำคัญ ผลการศึกษา ผลวิจัย ฯลฯ ผู้แสวงหาสารสนเทศจำเป็นต้องระบุเอกสารที่มีสารสนเทศที่ต้องการเสียก่อน จึงจะสามารถดึงสารสนเทศออกมาได้ http://www.oknation.net/blog/travellers/2009/06/24/entry-1
อ้างอิง :
http://www.stou.ac.th/schools/sla/master/room/upload/mis/Sailom_2548.doc
ธอมัส ดี วิลสัน
(Thomas D.Wilson) เป็นอดีตศาสตราจารย์ด้านสารสนเทศศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เขาสนใจด้านพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศและการศึกษา ผู้ใช้สารสนเทศ และได้ทำการวิจัยเชิงคุณภาพจำนวนมาก โดยงานวิจัยล้วนมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลางและ เน้นกระบวนการในการแสวงหาและการใช้สารสนเทศในด้านต่างๆ เช่น นักศึกษาและการใช้ ห้องสมุด การแสวงหาสารสนเทศด้านสุขภาพ เป็นต้น
1.
ความหมายของพฤติกรรมสารสนเทศ
ในที่นี้จะเรียกพฤติกรรมทั้งมวลที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศว่า
“พฤติกรรมสารสนเทศ” (information behaviour)
พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึงพฤติกรรมทั้งมวลของบุคคลหนึ่ง ซึ่ง เชื่อมโยงบุคคลผู้นั้นให้เข้าถึงแหล่งสารสนเทศต่างๆ โดยใช้ช่องทางในการเผยแพร่จากสื่อต่างๆ เช่น การดูรายการสารคดีทางโทรทัศน์ ทั้งที่ไม่มีเจตนาจะรับสารสนเทศจากรายการนั้น เป็นต้น
(Wilson 2000: 50)
ดังนั้น พฤติกรรมสารสนเทศจึงเป็นคำที่มีความหมายกว้าง และเป็นการมองกิจกรรมของ มนุษย์ในระดับมหภาคโดยครอบคลุมกิจกรรมสำคัญ
2 กิจกรรม คือ การค้นหาสารสนเทศที่ต้องการ ด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม และการใช้สารสนเทศหรือการส่งต่อสารสนเทศนั้นๆ ไปยังผู้อื่นต่อไป แนวคิดเรื่อง
“พฤติกรรมสารสนเทศ” นั้นเริ่มกล่าวถึงใน ค.ศ. 1948 เมื่อมีการนำเสนอผล การศึกษาพฤติกรรมของนักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยีในการแสวงหาและใช้สารสนเทศจาก มุมมองของสถาบันบริการสารสนเทศและผู้ให้บริการสารสนเทศ แม้ว่าในการระยะแรก อาจยังมิ เมีการใช้ศัพท์คำนี้ แต่นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มของความสนใจศึกษาด้านดังกล่าว นับแต่นั้นเป็นต้นมา มีการศึกษาและวิจัยวิธีและลักษณะการค้นหาและการใช้สารสนเทศ ของผู้ใช้จำนวนมาก โดยในระยะแรก มุ่งเน้นผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักเคมี เป็นต้น เพื่อหาแนวทางในการจัดบริการด้านต่างๆ ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้มากที่สุด ในระยะหลัง มีการใช้ วิธีวิจัยเชิงคุณภาพอย่างแพร่หลายขึ้น และนำแนวคิดและทฤษฎีของศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น จิตวิทยา สังคมวิทยา และนิเทศศาสตร์ มาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย วิลสันศึกษาความต้องการสารสนเทศ และพฤติกรรมอันเกิดจากความต้องการสารสนเทศ ของบุคคล โดยมีฐานแนวคิดว่า
ความต้องการสารสนเทศของแต่ละบุคคลนั้นนำไปสู่พฤติกรรม ต่างกัน
หรืออีกนัยหนึ่ง เขาไม่เห็นด้วยกับนักวิจัยด้านสารสนเทศศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ว่า ผู้มีความ ต้องการสารสนเทศต้องแสงหาสารสนเทศเสมอ ในทางกลับกัน เขาเชื่อว่า ความต้องการสารสนเทศ ไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้ใช้แสวงหาสารสนเทศเสมอไป เพราะอาจเกิดภาวะที่ขัดขวางหรือเป็นอุปสรรค อันทำให้ไม่สามารถแสวงหาสารสนเทศที่สนองตอบความต้องการสารสนเทศของตนได้ เช่น ภาวะ ด้านจิตใจ ภาวะแวดล้อม เป็นต้น