"ข้อคิดจากความทุกข์ที่หุ้นตก ทองร่วง น้ำมันทิ่ม คอนโดที่ผ่อนดาวน์ขายไม่ได้"
ช่วงนี้เจอแต่คนบ่นทุกข์ใจจากราคาสิ่งที่ไปลงทุน (จริงๆ น่าจะเป็นเก็งกำไรมากกว่า) ร่วงซึมลงเรื่อยๆ จากที่เคยกำไร กลายเป็นติดลบ แล้วตามมาด้วยคำพูดในใจตัวเองว่า "รู้งี้....." วันๆ คิดวนเวียน กลายเป็นลงทุนได้ผลตอบแทนออกมาเป็นความทุกข์ อารมณ์ขุ่นมัว จนบางคนไม่เป็นอันทำงาน หรือใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเรื่อยเปื่อยไม่มีสมาธิ
จากประสบการณ์ที่เคยเป็นมาก่อนสมัยเริ่มลงทุนเมื่อสิบกว่าปีก่อน เลยอยากให้ข้อคิดเพื่อให้เห็นข้อดีของราคาในสิ่งที่เราไปลงทุนติดลบ เพื่อจะทำให้เรานำไปใช้ประโยชน์ในการลงทุนครั้งต่อๆ ไป หรือใช้กับด้านอื่นๆ ในชีวิของเรา เพื่อจะลดการผิดพลาดในอนาคต
1. ทำให้เราลดการยึดติด หลงว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น (egoism) จนมั่นใจว่าตัวเองต้องเป็นผู้ชนะในทุกๆ เรื่อง จนเกิดความประมาท ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ การหลงตัวเองถ้าพลาดหนักๆ เช่นมีเท่าไรทุ่มหมด ใช้ margin สุดท้ายอาจจะหมดตัว ทรัพย์สินที่สร้างมาตลอดชีวิตอาจหายไปได้ในเวลาไม่นาน
2. ทำให้เรารู้ว่า เราไม่สามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้อย่างที่เราคิด ทุกอย่างไม่เแน่นอน เราเคยซื้อเมื่อราคาลงมาเท่านี้แล้วเด้งกลับ ขายได้กำไร แล้วรอลงมาเพื่อซื้อใหม่ แต่คราวนี้ ลง และ ลง และ ลง เงินที่ใช้ซื้อก็หมดแล้ว เมื่อเราเข้าใจการเรียนรู้ด้วยใจคราวนี้ จะทำให้เรามองเห็นว่าอะไรก็ไม่แน่ เราต้องทำการบ้านในสิ่งที่เราจะลงทุนว่ามีพื้นฐานที่ดี ราคาคุ้มค่า มีสิ่งรองรับในกรณ๊เกิดการผิดพลาดขึ้น ไม่ใช่ดูแค่ตัวเลข ขึ้นๆ ลงๆ แค่นั้น
3. การลงทุนเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ไม่มีใครทำเพื่อผลประโยชน์คนอื่นจริงๆ เราต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเราเอง โดยใช้เหตุและผล อย่างมีสติ อย่าให้เกิดอาการโลภหวังผลประโยชน์จนเกินพื้นฐานความเป็นจริง ดูตัวอย่างได้จาก หุ้นบางบริษัทที่ใช้เวลาสร้างข่าว สร้างกระแสอาจเป็นเวลาหลายๆ เดือน หรือเป็นปี เพื่อให้เราชินกับเรื่องดีๆ ซึ่งมักจะเป็นเรื่องที่เกินความเป็นจริง จนเราเชื่อในสิ่งที่เขาต้องการให้เราเชื่อ และเมื่อเขากอบโกยผลประโยชน์จากความเชื่อของเราจนพอแล้ว เขาก็ปล่อยให้เราตายไปเอง
ดังนั้นเมื่อเรามีสติและเหตุผลจะทำให้เรารู้ว่า การลงทุนครั้งไหนที่เป็นการสร้างภาพ เราอาจจะลองไปเล่นในเกมของเขา แต่เมื่อได้กำไรระดับที่พอใจเราต้องหยุด ไม่ใช่ติดใจเข้าๆ ออกๆ สุดท้ายส่ิงที่เสียเวลา ต้องเครียดเพื่อเสี่ยงในเกมของเขา กลายเป็นสูญเปล่า และติดลบ ทำให้เราเจ็บใจเพราะเสียค่าโง่ให้เขา
และที่สำคัญเราจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียดาย อิจฉา คนอื่นที่บอกว่าเขาได้กำไรจากการเสี่ยงลงทุนเท่านั้น เท่านี้ เป็น 100 % 200 % หรือจะกี่เด้งก็แล้วแต่ เพราะเราจะเห็นว่าคนที่บอกเราตอนนั้น ตอนนี้เขาอาจต้องแบกทุกข์อย่างมากมาย และต้องกล้ำกลืนบอกใครไม่ได้เพราะกลัวเสียหน้าในสิ่งที่เคยโอ้อวดเอาไว้
กลับมาดูที่ผลตอบแทนของเราอาจจะไม่เฟี้ยวฟ้าว แต่ถ้าเราลงทุนอย่างมีสติ รู้จักหวะในการลงทุนที่เหมาะสม อย่างมีเหตุผล อย่างไรผลตอบแทนเราก็มากขึ้น หรือถ้าจะเจ็บตัวก็แค่ตามตลาดชั่วครั้ง ชั่วคราว เดี๋ยวก็กลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ อยู่ดี ไม่ใช่ไปแล้วไปเลย
ง่ายๆ เลย สำหรับเหตุผลในการลงทุน
1. ธุรกิจที่ทำ มีแก่น มีอนาคตจริงไหม หรือออกข่าวโม้ให้ชิน
2. ผู้บริหาร มีธรรมภิบาล ตรงไป ตรงมา แค่ไหน มีประวัติเขี้ยว ซิกแซกใช้ลูกเล่นทางการเงินแค่ไหน (ที่พูดให้หรูๆ ว่าใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างชาญฉลา นั่นละครับ)
3. ปันผล ควรมีอย่างคุ้มค่าไว้กันเหนียว ซัก 5 % ขึ้นไป ที่สำคัญปันผลต้องมาจากตัวธุรกิจจริงๆ ไม่ใช่วูบๆ วาบๆ จากการขายสินทรัพย์ หรือได้อะไรมาแบบเป็นครั้งๆ สมมติ 5 % ทนๆ ถือ ไป ซัก 10 ปี ได้กลับมา 50 % ระหว่าง 10 ปี ถ้าบริษัทตั้งใจลงทุน แล้วไม่โตขึ้น ก็ตลกแล้ว (แต่ตอนลงทุนราคาต้องไม่สูงเกินไป)
3. ราคาไปไกลแค่ไหน ดูง่ายๆ คนพูดถึงบ่อย นักวิเคราะห์เชียร์ ข่าวออกบ่อยๆ อย่างนี้ต้องระวังตัว เพราะอะไรที่คนรู้มากๆ โอกาสเสียหายจะมีเยอะ เพราะราคาสูงแล้ว
4. นั่งทับมือตัวเองไว้บ้าง เวลาเห็นราคาสิ่งที่จะลงทุนลงมาเยอะๆ เพราะมันอาจลงแบบไม่กลับไปที่เดิมอีก ต้องดูเหตุผล และคุณภาพในสิ่งนั้น
4. ลงทุนต้องมีบวก มีลบ ถ้าจะอยากเห็นแต่บวกนั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องรู้จักความผิดพลาดของตัวเองเสมอ ถ้าติดลบจากการตัดสินใจผิดพลาด ต้องตัดทิ้งทันที
ไว้มาคุยกันใหม่ ขอตัวไปทำธุระก่อนครับ ก่อนไป
"อะไรที่ทำให้เราเกิดทุกข์เสมอๆ ก็ห่างๆ ออกมาครับ"
เป็นห่วงทุกๆ ท่านที่ลงทุนนะครับ
อาจารย์ชัชชัย