พระศรีอโยธยา
(พระเครื่องกรุอโยธยา พุทธศิลปแบบพระพุทธชินราช)
เป็นพระที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญเมื่อประมาณ ตุลาคม 2550 ตอนที่เจ้าของบ้าน ต่อเติมบ้าน ซึ้งบ้านหลังนี้ได้ อยู่ในเขต ตำบล อโยธยา อ.พระนครศรีอยุธยา จึงเป็นที่มาของ นามพระเครื่องกรุนี้ ว่า "พระเครื่องกรุอโยธยา" มีหลากหลายพิมพ์ ลักษณะพระเป็นพระเนื้อดินขาว มีการเคลือบผิวด้วยน้ำเคลือบ เซลาดอนขาว เคลือบ เหลือง เขียว และ ลงน้ำทอง และยังมีพระพิมพ์ต่าง พระเนื้อดินเผาเชียงแสนหน้าตักประมาณ 1 นิ้ว
ลักษณะพิมพ์ทรงชนิดเคลือบ ได้รูปทรงมาจาก พระพุทธชินราช แต่ศิลปะการออกแบบพุทธศิลป์เป็นแบบอยุธยา การลงน้ำทองเป็นการลงในลักษณะแบบอยุธยา เป็นการลงแบบเรียบง่าย ไม่เน้นลายละเอียด เหมือนในช่วงรัตนโกสินทร์ พระชุดนี้มีไม่มาก อยู่ในราวร้อยกว่าองค์ ซึ้งบางท่านเก็บไว้ยังไม่ทราบเลยว่าเป็นการลงน้ำทอง เพราะมีคราบกรุจับหนาในบางองค์ บางท่านที่บ้านน้ำท่วมบ้าน พอน้ำแห้ง ก็ไปทำความสะอาจหิ้งพระ ก็ต้องตกใจเมื่อเปิดพระที่อยู่ในกล่องไม้ขึ้นมาดูก็เห็นเป็นพระสีทอง จึงน้ำมาให้ผมดูและถ่ายรูป เก็บไว้ ผมจึงได้มีโอกาสได้เห็นองค์ที่เป็นทอง จริงๆเป็นครั้งแรก เพราะเคยได้ยินมานานนับปีๆ ว่ามีองค์ที่เป็นทองด้วย แต่ไม่ทราบว่าเป็นทองคำทั้งองค์หรือ เป็นการลงรักปิดทอง แต่พอมาเห็นพระกรุอโยธยาองค์นั้นก็ดีใจทีตามหาจนพบจนได้ ที่แท้ก็เป็นการลงน้ำทองแบบ เครื่องเบญจรงค์ ส่วนแบบเคลือบสีจะมีสีเขียว สีเหลือง ขาว และใส และที่พิเศษ เป็นการผิดพ่ดในขบวนการเผาเคลือบน้ำทอง คือสีเขียว ม่วง บานเย็น อยู่ในองค์เดียวกัน แต่ละสีมากน้อยต่างกันไป และที่เห็นอีกก็มี ราชาวดี(น้ำเงินคราม) พวกกลุ่มสีต่างนี้รวมกันประมาณ2-3พันองค์หรืออาจมากว่านี้มีทั้งที่แตกหักอีกมาก ผู้ที่เอามาได้นำไปบดผสมพระเครื่องอื่นไปแล้ว ในยุคจตุคามดังๆ
***การเที่ยบศิลปในยุคสมัยอยุธยาที่มักจะมองเห็นได้ชัดอีกอย่างนึงคือ ซุ้มเรือนแก้ว แบบนี้ เป็นที่นิยมในสมัยอยุธยามักจะทำซุ้มเรือนแก้วที่มีเอกลักษณ์ของสมัยนั้นๆ ก็เหมือนกับแฟชั่นที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยแต่ละยุค
**ซุ้มเรือนแก้ว** ก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถบอกถึงยุคสมัยได้เช่นกัน ในรัตนโกสินทร์ก็เป็นอีกแบบนึง ดูแข็ง แต่มั่นคง **ส่วนของยุคสมัยอยุธยา จะดูอ่อนช้อยดูไม่แข็ง ทั้งเส้นสายที่เดินคู่กัน ดูเหมือนมีความพริ้วไหว ตลอดเวลา** จากการที่ได้ศึกษามา พระกรุอโยธยา หน้าจะจัดอยู่ในช่วงยุคสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ้งก็มีการเริ่มสั่งทำน้ำทองจากช่างชาวจีน ส่วนที่ว่าน้ำทองทำจากที่ไหนนั้นไม่ทราบ แต่มีข้อสันนิฐานว่าหน้าจะสั่งทำมาจากเมืองจีน แต่พระท้้งหมดหน้าจะมีการเผาและเคลือบที่กรุงศรีอยุธยา แล้วจึงส่งไปทำ การลงน้ำทองที่เมืองจีน หรือ อีกประการหนึ่งก็คือ มีช่างที่มาจากเมืองจีนมาเป็นผู้ฝึกสอนแนะนำให้ทำ (*หลังจากกรุงแตกครั้งสุดท้ายช่างเหล่านั้นก็ได้หายไปด้วย*) ซึ้งก็ดูจากฝีมือ และส่วนผสมในแต่ละองค์ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน บางองค์มีคุณภาพดี และบางองค์มีน้ำทองที่คุณภาพด้อย และยังรวมถึงวิธีการเผาที่ไม่ได้ใช้เตาเผาแบบทั่วๆไป โดยสังเกตุจากคราบเขม่าดำของฟืนที่ติดอยู่ตามองค์พระและน้ำทองในบางองค์ และบางองค์ยังเผาโดนความร้อนไม่เท่ากัน จึงเกิดเป็นน้ำทองสีต่างๆ ในองค์เดียวกัน ซึ้งน้ำทองนี้สามารถทนความร้อนได้ 700-800 องศา หากเผาความร้อนน้อยไป เคมีที่ผสมอยู่ในทองที่ทำให้ทองเหลวก็จะละลายออกไม่หมด ไม่เท่ากัน ส่วนเปอร์เซ็นทองของน้ำทองให้ช่างที่ทำเครื่องเบญจรงค์พิจารณาแล้วบอกว่า มีเปอร์เซ็นทองในน้ำทองสูงมาก บางองค์อาจต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าสูงกว่าน้ำทองในสมัยรัชกาลที่2อีก สมัยนั้นนับว่าเป็นยุคที่เฟื่องฟูอย่างมากมีการสั่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทั้งจากประเทศญี่ปุ่นและจีน
***จากการที่บางท่านบอกว่าเป็นพระเกจิสร้าง ผมเองไม่เข้าใจว่า ท่านหมายถึงอะไร เพราะในสมัยอยุธยา ตอนต้น ตอนกลาง ตอนปลาย หรือสมัยไหนๆ ก็ล้วนแต่ต้องมีพระเกจิที่มีผู้คนนับถือเป็นผู้ที่ร่วมในการสร้างทั้งนั้น (อ้อ...ยกเว้นสมัยนี้ครับ ใครก็ได้สร้างได้หมด)
แล้วในสมัยรัตนโกสินทร์แทบจะไม่มีการสร้างพระเครื่องบรรจุกรุแบบที่เป็นเนื้อดินเผาเคลือบเลย จะมีก็แต่เนื้อชิน เนื้อดิน หรือสำริด และในยุครัชกาลที่3-5 ก็เริ่มมีเนื้อผงขาว ต่างๆเกิดขึ้นมาแทน คงเป็นเพราะตามยุคสมัยที่นิยมไม่เหมือนกัน ก็เลยเป็นจุดบ่งชี้ได้ดีว่าสิ่งของนั้นๆๆอยู่ในช่วงยุคสมัยไหนได้ชัดเจนมากขึ้น
น้ำเคลือบของพระวัดใหญ่น้ำเป็นน้ำเคลือบแบบสุโขทัย การแตกลายจึงต่างจากการแตกลายของพระกรุอโยธยา และยังเกิดจากสภาพพื้นที่ และสภาพอุณหภูมิ อากาศ ที่แตกต่างกัน ก็เป็นส่วนทำให้การแตกของผิวเคลือบต่างกันได้ น้ำเคลือบของพระกรุอโยธยาเป็นคนละชนิดกันกับน้ำเคลือบของกรุวัดใหญ่ ซึ้งน้ำเคลือบของพระกรุอโยธยาชาวจีนได้พัฒนามาอีกยุคนึง จะดีกว่าทนทานกว่า ภาชนะที่เคลือบนั้้นเมื่อนำมาใส่อาหารแล้วไม่เสียง่าย แต่น้ำเคลือบสมัยสุโขทัยนั้นเมื่อนำมาใส่อาหารจะเสียง่ายกว่า เนื่องจาก มีการแตกลายมากเกินไปผิวเป็นสะเก็ต ทำให้เศษอาหารและเบ็คธีเลียเข้าไปอยู่ตามล่องของการแตกทำความสะอาดไม่หมด จึงทำให้อาหารเสียง่าย ในยุคกรุงอโยธยาจึงได้นำวิธีการเคลือบแบบจีนมาใช้ในการเคลือบภาชนะใส่อาหาร แต่ก็ยังมีการใช้น้ำเคลือบแบบสุโขทัยอยู่ด้วยไม่ได้ทิ้งไปซะหมดที่เดียว.....
ในเรื่องของรูปแบบลักษณะหน้าตาในยุคสมัยอยุธยา ก็มีการสังเกตุว่าการเขียนใบหน้าหรือการปั้นใบหน้าพระหรือ เทพ หรือพระเครื่องต่างๆ มักจะเขียน หรือปั้นใบหน้าที่มีลักษณะเลียวยาว หูยาว คิ้วยาวแบบตะวัดขึ้น คล้ายงิ้วจีน ตาโตกลม ใบหน้าแม้จะดูเลียวยาวแต่ดูแล้วอิ่มเอิบมีรอยยิ้มเล็กน้อย สังเกตุได้จาก เทพที่บานประตูแกะสะหลักไม้ของบานซุ้มประตู เจดีย์สรรเพ็ชรปราสาท ในอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา (เจดีย์สามองค์ มรดกโลก **ในปัจจุบันบานประตูทั้งหมดได้ถูกย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่ห้องแสดง พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยาทั้งหมดแล้ว** )
ส่วน ของรัตนโกสินทร์ ใบหน้าจะกลม พระพักต์โดยรวมดูสงบนิ้ง
***ภาพเปรียบเที่ยบ การจารึก อักษรจีน ของพระกรุวัดราษฎร์บูรณะ สมัยอยุธยา กับภาพพระเครื่องกรุอโยธยา จึงเป็นที่หน้าเชื่อได้ว่าในสมัยอยุธยา ชาวจีนก็ได้มีส่วนร่วมในการสร้างพระเพื่อกาลทางพุทธศาสนาเช่นกัน ดังเช่นในจารึกแผ่นเงินที่พบในกรุก็มีระบุไว้เท่าที่อ่านได้ว่า "ได้สร้างไว้เพื่อกาลศาสนา" แต่ข้อความบางส่วนขาดหายไปมาก