วัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหาร หรือวัดสมเด็จพระสังฆราชแตงโม คือวัดแห่งเดียวกัน แต่ชาวบ้านมักจะเรียกสั้นๆ ว่า “วัดใหญ่” เดิมตั้งอยู่ตำบลหน้าพระลาน เมื่อเทศบาลรวมเขตเข้ากับตำบลท่าราบ ปัจจุบันจึงอยู่ในตำบลท่าราบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี และอยู่ในเขตเทศบาล จากสะพานจอมเกล้าที่ทำข้ามแม่น้ำเพชรบุรี ย่านใจกลางตลาด วัดใหญ่สุวรรณารามอยู่ห่างไม่ถึง ๑ กิโลเมตร มีถนนพงษ์สุริยาจากสะพานจอมเกล้า ผ่านหน้าวัดทางด้านทิศเหนือ วัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหารมีอายุถึงสมัยอยุธยาหรืออาจกว่านั้นขึ้นไปด้วยมีใบเสมาคู่พระอุโบสถเป็นหลักฐานอยู่ วัดนี้ยังมีโบราณสถานและโบราณวัตถุล้ำค่าอยู่อีกหลายอย่าง ส่วนมากยังอยู่ในสภาพดี เพราะได้รับการบำรุงรักษาสืบต่อเนื่องกันมาหลายอายุคน วัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหารมีอาณาบริเวณกว้างขวาง โดยเฉพาะที่ดินในอุปจาระมีประมาณ ๒๐ ไร่เศษ ด้านกว้างตามแนวกำแพง ๓ เส้น ๑๗ วา ๒ ศอก ด้านยาว ๕ เส้น ๑๗ วา ๒ ศอก ด้านทิศเหนือติดกับที่ธรณีสงฆ์ของวัดอีกราว ๑๗ ไร่ซึ่งจัดให้เป็นที่เช่าของชาวบ้านใช้อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ เรื่องเกี่ยวกับประวัติของวัดใหญ่สุวรรณารามยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนแต่คงจะเป็นวัดมาก่อนที่พระสังฆราชแตงโมจะทำการบูรณปฏิสังขรณ์ ได้ทราบคำเล่าจากพระผู้สูงอายุของวัดใหญ่ สุวรรณาราม ชื่อพระหลวงตาแหยม สุปญฺโญ กับพระอาจารย์แบ้ ธมมฺสโร เล่าให้ฟังว่า วัดนี้เดิมทีชื่อ วัดน้อยปากใต้ หรือปักษ์ใต้ เพราะอยู่ทางด้านทิศใต้ของแม่น้ำ หรืออาจอยู่ริมนอกที่เป็นกำแพงเมืองด้านนอก ชื่อนี้จะคล้องจองกับอีกวัดหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ด้านในหลังเข้าไปชื่อ วัดในไก่เตี้ยซึ่งปัจจุบันได้ร้างไปนานแล้ว แต่เมื่อราว ๕๐ ปี มานี้ ยังมีเจดีย์และฐานอุโบสถเหลืออยู่บ้าง ต่อมาได้มีคนมาทำสนามวัวเกวียน (เป็นการเล่นอย่างหนึ่งใช้วัว ๒ ตัว เทียมเกวียนเล่มเดียวกัน วิ่งดูว่าวัวตัวใดจะวิ่งเก่งกว่ากัน) จึงเรียกว่าวัดหัวสนาม ต่อมาเมื่อราว พ.ศ.๒๔๗๕ ทางราชการได้ใช้พื้นที่สร้างเป็นเรือนจำจังหวัดเพชรบุรีขึ้น โดยใช้วัดหัวสนามและวัดไผ่ล้อมทั้ง ๒ วัด รวมกันเป็นที่ตั้งเรือนจำ และแปลงที่ดินทำเกษตรของผู้ต้องขัง ส่วนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของศาสนาสมบัติที่กล่าวว่าวัดอยู่ด้านใต้ของแม่น้ำเพชรบุรี หรือริมกำแพงเมืองด้านนอกนั้น เพราะแต่เดิมมาแนวของแม่น้ำเพชรบุรีผ่านวัดใหญ่สุวรรณารามไปตามแนววัดวิหาร วัดไตรโลก และผ่านไปยังวัดศาลาลิง และวัดศาลาลอย ซึ่งต่อมา ๒ วัดนี้ได้ร้างไปคงเหลือแต่ชื่อ ส่วนที่ดินต่อมาเป็นของศาสนสมบัติ จัดให้เป็นที่อยู่อาศัยของสมาชิกคุรุสภา ก่อนที่ทางน้ำจะไหลลงไปทางใต้และแยกสาขาไปออกทางเขตบางจาน และที่เป็นแม่น้ำใหญ่ไปออกปากอ่าวบ้านแหลม ข้อความตามตำนานวัดใหญ่สุวรรณาราม ยังได้เล่าว่า สมเด็จพระสังฆราชแตงโม เมื่อเป็นเด็กเคยเล่นน้ำที่ท่าน้ำหน้าวัดใหญ่ หิวโหยจนต้องดำน้ำลงกินเปลือกแตงโมที่ลอยน้ำมาเลยถูกเพื่อนเด็กวัดล้อว่า “เด็กแตงโม” มาแต่ครั้งนั้น
อนึ่ง แนวกำแพงเมืองเพชรบุรีสมัยก่อน ครั้งตัวเมืองตั้งอยู่ที่เรียกว่า หน้าพระลาน ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำเพชรบุรีในปัจจุบันแม่น้ำเพชรไม่ไหลผ่านวัดใหญ่ฯ เสมือนเป็นคูเมืองด้วยทำนองเดียวกับวัดเกาะในปัจจุบัน ซึ่งเป็นคลองคูเมือง มีวัดเกาะอยู่ด้านใน วัดจันทร์อยู่ด้านนอก หรือวัดป้อมอยู่ด้านใน และวัดแรกอยู่ด้านนอกและผ่านวัดปากน้ำ ก่อนที่จะไหลไปทางบางจานสายหนึ่งแยกไปทางโพธิ์พระสายหนึ่ง เช่นเดียวกับทางน้ำที่ผ่านวัดใหญ่ฯ แล้วไปแยกเป็น ๒ ทางเหมือนกัน แต่ที่วัดใหญ่ฯนั้นอยู่ทางด้านใต้ของกระแสน้ำ จึงมีชื่อ นอกปากใต้ หรือนอกปักษ์ใต้ ส่วนวัดปากน้ำ ทางคลองวัดเกาะนี้น่าจะมีชื่อ “เหนือน้ำ” อยู่บ้าง แต่วัดนี้ก็ร้างไปนานเหลือแต่เจดีย์ที่มีผู้บูรณะขึ้นใหม่องค์เดียว แต่อดีตเคยมีการพบกรุพระเรียกพระกรุนี้ว่า กรุพระวัดปากน้ำเมื่อสมเด็จพระสังฆราชแตงโม ท่านได้มาบูรณปฏิสังขรณ์วัดน้อยปากใต้เสร็จสมบูรณ์ทั่วทั้งวัดแล้วได้มีผู้เรียกวัดนี้ซึ่งเปลี่ยนฐานะจาก “วัดน้อย” มาเป็น “ วัดใหญ่” ด้วยบารมีของสมเด็จพระสังฆราชแตงโมในครั้งนั้นเพราะสิ่งปลูกสร้างและเสนาสนะก็มีขนาดใหญ่แปลกออกไปจากเดิมด้วยประการทั้งปวง และยังได้เติมสร้อยวัดใหญ่ว่า สุวรรณารามบ้าง สุวรรณธารามบ้าง เพื่อเป็นอนุสรณ์ เพราะนามเดิมของสมเด็จพระสังฆราชท่านชื่อ “ทอง” หรือนามสร้อยของวัดใหญ่ฯ ในครั้งนี้ได้จากสมณศักดิ์ของท่านแต่ครั้งเป็นที่ “พระสุวรรณมุนี” แต่จะได้เรียกขานเช่นนี้ ภายหลังท่านมรณภาพ หรือก่อนนั้นยังไม่อาจทราบได้
ที่ตั้งของวัดใหญ่สุวรรณารามอยู่ในบริเวณที่เดิมเรียกว่า “หน้าพระลาน” เพราะเป็นที่ตั้งเมืองเก่ามีวัดมีวังมากมายล้วนอยู่ใกล้ชิดติดต่อกัน กำแพงของวังเดิม เคยมีหลักฐานปรากฏอยู่ทางด้านตะวันออกของวัดพระทรงขณะนี้ ทำถนนผ่านไปยังโคกตลาด ป่าช้าจีน ศาลเจ้าโคกสำโรง และบางแห่งแนวกำแพงวัดเป็นตรอกสาธารณะไปหมดแล้ววัดต่างๆ ในเขตวังโบราณมีมากมาย เมื่อราว ๕๐ – ๖๐ ปี ที่ผ่านมายังเห็นเหลือซากปรักหักพักอยู่กลาดเกลื่อนไม่ว่าหลักฐานเก่าของอุโบสถ พระหินทรายแดง เจดีย์ ก้อนศิลาแลง ล้วนมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แต่ขณะนี้เกือบไม่มีหลงเหลืออยู่เลย ส่วนหลักฐานบางอย่างที่มีพอให้เห็นเป็นเจดีย์ ปรางค์ และพระพุทธรูปอยู่บ้าง เช่นที่วัดปีบ วัดปากน้ำ วัดกำแพง วัดค้างคาว วัดไผ่ล้อม เป็นต้น วัดวังเป็นวัดสำคัญ ทำนองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดมหาธาตุในกรุงศรีอยุธยา และถ้าจะนับวัดและวังเป็นศูนย์กลางในรัศมีไม่ถึง ๑ กิโลเมตร โดยรอบวัดวังพอจะบอกวัดต่างๆ ในพื้นที่ได้ดังนี้ วัดพระยาเสด็จ วัดกุฎีทอง วัดเณรเจ็ดขวบ วัดสัตตพันพาน วัดวิหารเขียน วัดไผ่ล้อม วัดหัวสนามหรือวัดในไก่เตี้ย วัดกำแพงแลง วัดลั่นทม วัดโพธ์การ้อง วัดวิหารวัดกุ่ม วัดศาลาลิง วัดศาลาลอย วัดอุทัย วัดโพธาราม วัดอินทราราม วัดกุฏีสงฆ์ วัดค้างคาว วัดพระทรง วัดชีประเสริฐ วัดลาด วัดพริบพรี วัดโบสถ์ วัดวิหารพรหม วัดใหม่ วัดปากน้ำ วัดปีบ วัดนาค วัดป้อม วัดแรก วัดเกาะ วัดจันทร์ วัดธ่อ วัดสนามพราหมณ์วัดในร่วมกำแพงเมืองในยุคต่อมา เข้าใจว่าที่เก่าแก่และยังหลงเหลืออยู่ทุกวันนี้น่าจะได้แก่ วัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหาร วัดพริบพรี และวัดเกาะ ส่วนวัดกำแพงแลงก็เพิ่งจะขอตั้งเป็นวัดได้ไม่นาน ที่ดินเป็นของศาสนสมบัติ ทางราชการจัดให้ประชาชนเข้าอยู่อาศัยวัดค้างคาวนั้นเคยได้กรุพระ เรียกว่า กรุพระวัดค้างคาว และยังขุดได้เสมาธรรมจักรหินทราย ปัจจุบันอยู่ในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ และพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ วัดสัตตพันพาน ซึ่งกล่าวว่าต้องใช้พานถึงเจ็ดพันใบสร้างขึ้น บัดนี้ได้อัญเชิญไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศน์วรวิหาร มีพระนามเรียกว่า “พระสุวรรณเขต” แต่เรียกโดยทั่วไปว่า “หลวงพ่อโต” จะเห็นว่าวัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหารแต่เดิมมานั้น เกาะกลุ่มอยู่ในบริเวณเป็นวังมาก่อน แต่อยู่ริมด้านนอกที่เหลือเป็นอนุสรณ์มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะบารมี สมเด็จพระสังฆราชแตงโมเป็นปฐม และได้รับการอนุรักษ์และหวงแหนสืบต่ออายุด้วยกลุ่มช่างสกุลเมืองเพชรที่มีความรู้ ความเข้าใจในวิชาการช่างและศิลปะแขนงต่างๆ บรรดามีอยู่อย่างมากมายเหลือเฟือในแวดวงของวัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหาร
เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ มีเรื่องควรแก่การบันทึกไว้เรื่องหนึ่งคือ ขณะนั้นกิจการโดยสารทางรถไฟสายใต้ ได้เปิดทางเดินมาถึงจังหวัดเพชรบุรีแล้วหลัง พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้เริ่มวางรางรถไฟจากเพชรบุรีไปภาคใต้ต่อไปอีก โดยกรุยทางและพูนดินล่วงหน้าระหว่างเพชรบุรีไปสถานีห้วยเสือ ถนนจะผ่านระหว่างวัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหารและวัดโพธาราม ตรงไปยังวัดไผ่ล้อม ซึ่งมีการเตรียมรื้อโบสถ์วัดไผ่ล้อมไปครึ่งหนึ่งก่อน ทรงทราบว่าถ้าแนวถนนรถไฟเป็นไปอย่างที่วางแนวไว้เดิมทางวัดใหญ่ฯจะมีความลำบากในการขนไม้ และซุงมาบูรณะปฏิสังขรณ์วัด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตัดทางรถไฟเสียใหม่อ้อมไป ทางหลัง วัดพรหมวิหารและวัดไตรโลก เฉียดเขตวัดนาค อุโบสถวัดปีบ ตรงไปยังภาคใต้ต่อไป ทรงให้เหตุผลว่า มิฉะนั้นจะทำให้ตัวเมืองแคบลงไม่มีทางขยายออกไปได้อีก[1]