คำพยากรณ์เหตุการณ์โลกล่วงหน้าตั่งเดือน ตุลา 2552 อยากทาบสาเหตุของอุทกกภัยที่เกิดขึ้นปัจจุบันครับ

guest profile image guest

คำพยากรณ์เหตุการณ์โลกล่วงหน้าตั่งเดือน ตุลา 2552 อยากทาบสาเหตุของอุทกกภัยที่เกิดขึ้นปัจจุบันครับและวิธีการพยากร จากตำรา คัมภีร์5

http://docs.google.com/present/view?id=0AUXHi2tb6dmsZGc4NTZobmRfODlmZHczdDJkcQ&hl=th


และศึกษาคำพยากรณืเกี่ยวกับสถานการ อุทกภัย ต่างๆ มากมาย ตามตำราคำภีร์ 5ที่นี่ ต่อได้เลย
ความคิดเห็น
pottt profile pottt

ตรวจดวง ดูดวง ปรึกษาธรรม เรียนวิชาโหร. เลขเสี่ยงโชค

ฟรี    กับ อ. ภัทระ ทุกศาสนา ศึกษา ได้ครับ

      ( ควรอ่านสิ่งที่ควรรู้ให้จบและทำความเข้าใจก่อน)

ประวัติความเป็น มาของ พระไตรปิฎก (โดยย่อ)

     พระอานนท์และพระเถระได้ประชุมกันรวบรวมพระพุทธพจน์ที่กระจัดกระจายอยู่ เอามาจัดเป็นหมวดหมู่แล้วก็ท่องจำสืบต่อกันมา ต่อมาได้มีนิกายย่อยๆ เกิดขึ้นมากหลาย ประมาณร้อยปีนั้น มีนิกายที่แตกแยกออกไปถึง ๘ นิกาย แต่ว่านิกายเหล่านั้นแตกแยกออกไปแล้ว ในที่สุดก็สลายตัวหมด คงเหลือแต่เถรวาท และมหายาน มหายานก็เลยเรียกเถรวาท หรือพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมนี้ว่าเป็นหินยาน แล้วก็เรียกตัวเองว่า มหายาน ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทนี้ในปัจจุบันก็มีอยู่คือ ประเทศไทย ประเทศลังกา ประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศกัมพูชา รวม ๕ ประเทศด้วยกัน ส่วนประเทศที่นับถือศาสนาฝ่ายมหายานนั้นก็ได้แก่ธิเบต ญวน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี จำนวนก็จะพอๆ กัน แต่ว่าวิธีการทางฝ่ายมหายานนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้มีการแต่งตำราขึ้นมาใหม่บ้าง ดัดแปลงของเก่าบ้าง และก็มีวิวัฒนาการไปไกลมาก ถึงขนาดญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้ ภิกษุเกือบจะทุกนิกายก็มีครอบครัวได้ มีภรรยาได้ ก็คงจะมีอยู่บางนิกายเท่านั้นที่ไม่มีครอบครัว นี่ก็เป็นวิวัฒนาการของฝ่ายมหายาน แต่ในฝ่ายเถรวาทซึ่งท่านใช้ภาษาบาลีเป็นหลักนั้นยังพยายามรักษาแบบแผน จะเรียกว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ได้ทีนี้มีปัญหาว่า พระไตรปิฎกนี้มีมาตั้งแต่ครั้งไหน เดิมทีเดียวไม่ได้เรียกพระไตรปิฎก ในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่เรียกว่าธรรมกับวินัยเป็นพื้น แม้เมื่อตอนที่จะนิพพานตรัสสั่งสอนพระอานนท์ไว้ ก็ยังสั่งว่า

ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราล่วงไปแล้ว ธรรมแลวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ก็จักเป็นศาสดาแทนเรานี่แปลว่าแม้เมื่อใกล้จะปรินิพพานก็ทรงเรียกว่าธรรมกับวินัย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้วได้มีการประชุมทำสังคายนา . การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไป
คือสังคายนาครั้งที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งทำในอินเดีย อันเป็นของฝ่ายเถรวาท กับอีกครั้งหนึ่งในอินเดียภาคเหนือ ซึ่งพระเจ้ากนิษกะทรงอุปถัมภ์ อันเป็นสังคายนาผสม รวมเป็น ๔ ครั้ง แต่ฝ่ายเถรวาทมิได้รับรู้ในการสังคายนาครั้งที่ ๔ นั้น เพราะการ สืบสายศาสนานั้นแยกกันคนละทาง ตลอดจนภาษาที่รับรองคัมภีร์ทางศาสนาก็ใช้ต่างกัน คือเถรวาทหรือศาสนาพุทธแบบที่ไทย พม่า ลังกา เขมร ลาว นับถือใช้ภาษาบาลี ส่วนของฝ่ายมหายาน หรือศาสนาพุทธแบบที่ญี่ปุ่น จีน ทิเบต ญวนและเกาหลีนับถือ ใช้ภาษาสันสกฤต การสังคายนาครั้งที่ ๑ กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต ใกล้กรุง ราชคฤห์ ประเทศอินเดีย พระมหากัสสปเถระเป็นประธานและเป็นผู้สอบถาม พระอุบาลีเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางวินัย พระอานนท์เป็นผู้ตอบข้อซักถามทางธรรม มีพระอรหันต์ประชุมกัน ๕๐๐ รูป กระทำอยู่ ๗ เดือนจึงสำเร็จ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ สังคายนา กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้วได้ ๓ เดือน การสังคายนาครั้งที่ ๒ กระทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย พระยสะ กากัณฑกบุตร เป็นผู้ชักชวนพระเถระที่เป็นผู้ใหญ่ร่วมมือในการนี้ มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๗๐๐ รูป กระทำอยู่ ๘ เดือนจึงแล้วเสร็จ สังคายนาครั้งนี้กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี

การสังคายนาครั้งที่ ๓ กระทำที่อโศการาม กรุงปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย พระโมคคลี บุตรติสสเถระเป็นหัวหน้า มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๑,๐๐๐ รูป กระทำอยู่ ๙ เดือนจึงแล้วเสร็จ สังคายนาครั้งนี้กระทำหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๒๓๔ ปี เมื่อทำสังคายนาเสร็จแล้วก็ ได้ส่งคณะทูตไปประกาศพระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ รวมทั้งพระมหินทเถระ ผู้เป็นโอรส พระเจ้าอโศก มหาราช ได้นำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานในลังกาเป็นครั้งแรก การสังคายนาครั้งที่ ๔ เป็นการสังคายนาผสมระหว่างนิกายสัพพัตถิกวาทกับฝ่าย มหายาน กระทำกันในอินเดียภาคเหนือ ด้วยความอุปถัมภ์ของพระเจ้ากนิษกะ ประมาณ พ.ศ. ๖๔๓ ณ เมืองชาลันธร แต่หลักฐานเรื่องสถานที่ และรายละเอียดอื่นๆ นั้น ปรากฏหลักฐาน ในที่ต่างๆ ไม่ตรงกัน รวมทั้งเหตุของการสังคายนาด้วย เช่น บางแห่งกล่าวว่าสังคายนาครั้งนี้ไม่เป็นการสังคายนา แต่เป็นการประชุมเพื่อให้มาโต้แย้งกับภิกษุเฮี่ยนจัง
การสังคายนาในประเทศไทยซึ่งเรานับว่าเป็นครั้งที่ ๘ ในประวัติการสังคายนานั้น กระทำ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๐ โดยพระเจ้าติโลกราชแห่งเชียงใหม่ ได้อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงไตรปิฎกหลาย ร้อยรูป ให้ช่วยชำระอักษรพระไตรปิฎกในวัดโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) เป็นเวลา ๑ ปี
การสังคายนาครั้งที่ ๙ หรือครั้งที่ ๒ ในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงอาราธนาพระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตาจารย์อุบาสก ๓๒ คน ชำระพระไตรปิฎกสำเร็จใน ๕ เดือน

อ.ภัทระ เคยได้ฟังได้ยินผู้นับถือพุทธศาสนาจำนวนมาก พล่ำบ่นให้ได้ยินว่าอยู่กับพระมานาน แต่ไม่เคยพบพระแท้เลย จึงนำข้อมูลที่ได้ศึกษามาบอกเล่าให้ฟังดังนี้

         พระอริยะบุคคล 8 จำพวก

1. โสดา ปฏิมรรค                                                             2. โสดา ปฏิผล

3. สกิทาคา ปฏิมรรค                                                       4. สกิทาคา ปฏิผล

5. อนาคามี ปฏิมรรค                                                       6. อนาคามี ปฏิผล

7. อรหัน ปฏิมรรค                                                            8. อรหัน ปฏิผล

มรรค แปลว่า ข้อปฏิบัติ ผล แปลว่า การสำเร็จของข้อปฏิบัติ

      ระดับภูมิชั้น ปัญญาของการรับรู้เหตุและผล

      ของสรรพสัตว์ (สรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ในโลกใบนี้และโลกกายทิพย์)

                                                                                   5. พระอรหัน(อริยะบุคคล 4)

                                                                            4. พระอนาคามี(อริยะบุคคล 3)

                                                                      3. พระสกิทาคามี(อริยะบุคคล 2)

                                                            2. พระโสดาบัน(อริยะบุคคล 1)

                                                   1.มนุษย์(ปถุชน) ( และเทวดา,พระพรหม ฯลฯ)

                                     0. สัตว์เดรัชฉานต่างๆ ฯลฯ

ในที่นี้จะอธิบายถึงพระอริยะบุคคลชั้นโสดาบัน เท่านั้นว่าท่านมีคุณสมบัติอย่างไรพอสังเขป ตามความรู้และเข้าใจของ อ. ภัทระ จากที่ได้ยินมา พระโสดาบันนั้นคือผู้มี ปัญญาดี มีดวงตาเห็นธรรม เห็นข้อปฏิบัติให้บรรลุธรรมขั้นสูง จึงเป็นผู้ที่มีปัญญาเหนือกว่าปถุชน ทั้งมวล ในทุกๆด้านทั้งทางโลกและทางธรรม(ผู้มีดวงตาเห็นธรรมนั้น เห็นพลังจิตกระแสจิตชั้นสูง ที่ปุถุชนเห็นไม่ได้ เข้าใจโลกและจักรวาล ในขณะที่ปุถุชนเข้าใจไม่ได้ จึงมีปํญญา

เรียกว่า(ญาณ16 สามารถศึกษาวิชาการต่างๆในโลกและจักรวาลได้เข้าใจทั้งหมด ถ้ามีโอกาสศึกษา (บัวเหนือน้ำ)คาดว่าปัจจุบันในโลกนี้มีแค่ 1 ใน สิบล้าน ร้อยล้าน ต่อคนเท่านั้น การสังเกตุโดยสังเขป

- ถ้าไม่ใช่นักบวช จะสังเกตุได้ว่าจะพยายาม ปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯช่วยชีวิตสัตว์และคนดี ตลอดเวลาเพื่อสร้างบารมีให้ตนเอง เป็นลักษณะปิดทองหลังพระ ทำโดยไม่สนใจว่าจะมีคนมองเห็นหรือส่วนมากจะแอบทำดีด้วยซ้ำไปการกระทำก็เหมือน ปุถุชน ชอบทำบุญให้ทานกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์กับตนเลย เหมือนคนธรรมดาทั่วไปนั่นเอง เรื่องศิล 5 ขึ้นไปนั้นจะนำมาสังเกตุไม่ได้เพราะพระโสดาบันท่านปล่อยวางได้ไม่เคร่งคัดปล่อยตามวาสนา ชะกรรม ซึ่งแต่ละท่านก็ต่างกัน แต่ตัวท่านเองจะพยายามหลีกหนีการทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆเดือดร้อนถ้าทำได้

- ถ้าเป็นพระ นักบวชจะสังเกตง่ายกว่า ถ้าเป็นพระลูกวัด จะมีการปฎิบัติธรรม นั่งสมาธิเดิน จงกลม เป็นส่วนตัวท่านเอง บ้าง

- ถ้าเป็นเจ้าอาวาส สังเกตง่าย ในวัดนั้นมีที่ปฏิบัติกรรมฐาน แน่นอน และจะสอนพระ เณรภายในวัดให้พยายามทำกรรมฐานเหมือนท่าน

อย่างอื่นใช้ สังเกตุไม่ได้ จะเป็นไปตามวาสนา นิสัยเก่า (แต่ไม่กินเหล้า ,ไม่ยึดที่บิณฑบาท ยึดกุฏิ ให้พระมาเช่าแน่นอน ) ที่สำคัญที่สุด พระอริยะทุกระดับภูมิ จะไม่บอกว่าตนเองเป็นพระอริยะบุคคล หรือมีใครถามก็ไม่ยอมรับเด็ดขาดเพราะจะเป็นภัย เนื่องด้วยเหตุว่า พระอริยะเทพชั้นสูงกว่า ที่เข้านิพพานแล้วท่านห้ามและเป็นอาบัติ เพราะจะเป็นภัยแก่ตนและพระอริยะอื่นๆ ถ้าฝ่าฝืนกฎจะถูกลงโทษด้วยพลังจิตที่สูงกว่า เนื่องด้วยปุถุชนนั้นเข้าใจไม่ได้ การลงโทษ เช่น เคยเข้าชาญได้ก็ถูก ชาญหลอน ทำให้ผู้นับถือเสื่อมศัทธา เป็นต้น (ถ้าจะหาทำบุญกับพระอริยะบุคคล ใช้วิธีนี้ครับ ทำบุญกับวัดที่ยังมีการปฏิบัติ กรรมฐานอยู่ เพราะกรรมฐานแสดงถึงการเดินทางไปเป็นพระอริยะบุคล ครับ ถ้าเป็นคนธรรมดา ยังไงก็ไม่อยากทำกรรมฐานครับ (ยกเว้นทำแล้วมีคนให้ปัจจัยเยอะฯลฯ)ทางที่ดีควรทำเป็นสังฆทานคือให้เป็นกองกลางของวัด เช่นถวายพระสงฆ์ทุกองค์ บริจาคเป็นส่วนกลางค่าน้ำค่าไฟ เฉพาะในวัดที่มีการปฏิบัติกรรมฐาน

    ปัจจุบันนี้ จะหาวัดที่ยังปฏิบัติกรรมฐานอยู่ ยังหายากครับ ดังนั้นพระโสดาบัน แทบจะหาไม่ได้สักองค์เดียวแล้วในทุกวันนี้ เหลือแต่วัดรักษาประเพณี หรือ บริษัทวัด

นี่เป็นความรู้ที่ อ.ภัทระ ได้ยินมาจากพระ อาจารย์สายลูกศิษย์ หลองปู่มั่นหลายท่าน แล้วนำข้อความมารวมกัน นะครับ

1.พระโสดาบันนั้นรู้ว่าพระนิพพานเป็นเช่นไร

2.พระโสดาบัน ติดต่อกับโลกวิญญาณได้ไม่กลัวผี รู้ว่าโลกของจิตเป็นอย่างไร

3.พระโสดาบันนั้นเคยมีสมาธิ ขั้นแยกจิต แยกกายได้ อย่างน้อยครั้งหนึ่ง อาจด้วยสมาธิตัวเอง หรือการช่วยเหลือจากพระพระอริยะที่สูงกว่า ด้วยพลังจิต จึงมีความรู้สึกตลอดเวลาว่า ร่างกายไม่ใช่ของตน ( ถ้าแยกจิต แยกกาย ไม่ได้จะไม่สามารถเข้าใจกายและจิตได้ถาวร และไม่รู้จักพระนิพพาน)

4.พระโสดาบันนั้นมีชะตากรรม เหมือนบุคคลทั่วไปธรรมดา แม้จะบรรลุธรรมแล้ว เช่น เป็น ขอทาน ,คนร่อนเร่,โจร , ถูกจองจำ ,ถูกประหารชีวิต, เป็น นักรบ ทหาร ฯลฯ ที่เป็นเช่นนี้เพราะสัตว์โลกดำรงชีวิตอยู่ด้วยอารมณ์ต่างๆเป็นหลักชีวิต และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนได้อีกต่างหาก แต่ในเรื่องไม่ดีนั้น พระโสดาบัน จะไม่มีเจตนาทำ แต่เป็นชะตากรรม

มีตัวอย่างเช่น พระเจ้าพิมพิศาล (พระโสดาบัน) ถูกจองจำ ทรมารด้วยประการ ต่างๆ แม้นั่งสมาธิ เดินจงกลม เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ผู้หลงผิดหาได้เห็นความดี ก็ยังถูกทรมารจนสิ้นพระชน เพื่อชิง อำนาจ

พระโมคคัลลา (พระอรหัน ได้ อภิญญา สมาบัติ ชาญ ทุกประการ) ถูกโจรร้าย รุมสังหาร จนเข้านิพพาน เพราะขัดผลประโยชน์กับเจ้านายโจร แม้จะแสดงอภิญญา หลบหนีพ้นหลายครั้ง แต่โจรร้ายนั้น ดุจดั่งปีศาส ยักษ์มาร บ้าและไร้สติ หาได้คิดถึงคุณงามความดีความชอบอันได ก็หาไม่ (ซึ่งในโลกนี้มีคนบ้าขาดสติที่จะทำชั่วได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะทำกับใคร แบบนี้มากเกินกว่า 50% ทีเดียว และคนร้ายแบบนี้บางคนก็เป็น เจ้า เป็นผู้นำประเทศต่างๆอีกด้วย ) ด้วยเหตุนี้เองพระอริยะบุคคลทั้งหลายจึงต้องหลบลี้ปิดบังตน

5.พระโสดาบัน ขั้นปฏิผลนั้น จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด เช่นอยู่บ้านอิสลามก็เป็นอิสลาม, อยู่บ้านคริสก็เป็นคริส อยู่ สีใหนจะ ดีชั่ว ก็เป็นสีนั้น ไม่ขัดแย้งอันใด ถ้าไม่มีโอกาสทำดี ทำไม่ได้ ก็ไม่ฝืน ก็จะไม่ทำ จะอยู่ที่ใดก็ไม่มีปัญหาอะไร ในที่นั่น เป็นไปตามคนหมู่มากเพื่อความอยู่รอด จะทำดีแค่ตามอำนาจที่ตนมีอยู่เท่านั้น

แต่ไม่ว่าจะอยู่กับคนกลุ่มชั่วร้ายหรือเป็นโจรเพราะจำเป็น จะสังเกตได้ว่าจะพยายาม ปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯช่วยชีวิตสัตว์และคนดี ตลอดเวลาเพื่อสร้างบารมีให้ตนเอง การกระทำ

ก็เหมือนปุถุชนที่ใจดีชอบทำบุญให้ทานกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์กับตนเลย เหมือนคนใจดีธรรมดาทั่วไปนั่นเอง

(เพราะฉะนั้นในโลกนี้จึงไม่มีใครบอกว่าตนเป็นพระอริยะ เลยถ้าบอกแสดงว่าไม่ใช่บอกเพื่อจะทำมาหากินเท่านั้น พระอริยะบุคคลนั้นมีจำนวนน้อยนัก ปุถุชนธรรมดาจะไม่เข้าใจถ้าขืนบอกขานไปจะเป็นโทษแก้ตนผู้บอก)

6. พระโสดาบัน ขั้นปฏิผลนั้น เป็นอัจฉริยะ ในด้านปํญญา มีปัญญาเหนือกว่า ปุถุชน ทั้งมวล ในทุกๆด้านทั้งทางโลกและทางธรรม ดังนั้น บุคคลธรรมดาทั่วไปไม่อาจใช้เล่ห์ เพทุบาย หรืออุบายใดๆหลอกลวงได้ (ถ้าถูกผู้หญิงหลอกให้ปาราชิกได้ แสดงว่าไม่ใช่ )

7. พระโสดาบัน ขั้นปฏิผลนั้นนั้น เป็นอัจฉริยะ ในด้านปํญญา จะรู้จัก เล่ห์ เพทุบาย หรือกลอุบาย ของระบบทุกอย่างในโลกและจักวาล กิเลส นี้ เช่น

ศาสนา ,การเมือง , แผนผังต่างๆ ได้ง่ายดาย (ดังนั้นจึงไม่หลงผิดทาง หากผิดทางไม่นานก็รู้และหลีกเลี่ยงได้เอง)

8. พระโสดาบัน ขั้นปฏิผลนั้น จะไม่มีความรู้สึกขัดข้องอะไรในธรรมและข้อปฏิบัติแบบดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า(นิกายหินยาน) เลยแม้แต่น้อย เพราะเข้าใจธรรมทุกอย่าง แต่จะไม่เคร่งคัดอะไรเลยเพราะปล่อยวางได้ทุกหลายอย่างตามสถานการณ์ (ถ้าเคร่งครัด ธรรม วินัย จนมีปัญหากับเพื่อนบ้านเป็นกิจวัตร นั้น ไม่ใช่พระอริยะแน่ๆ )

บุคคลธรรมดาที่ไม่ใช่พระอริยะ นั้น ไม่ว่าจะจบปริญญาเอกของโลก ของจักรวาลมนุษย์ที่ไหนๆ ก็ไม่สามารถ จะตรวจด้วยปัญญาตนได้ว่า คนนี้เป็นพระอริยะ คนนี้ไม่ใช่พระอริยะ เหตุผลก็เพราะว่าปัญญาทางโลกนั้น ต่ำกว่าทางธรรมมากนัก เปรียบเช่นช้าง ม้า วัว จะยังไงก็มาสามารถคิดได้เท่า มนุษย์

เปรียบดังเช่น หมู หมา กา ไก่ ไม่เข้าใจคน , คน ปุถุชนไม่เข้าใจเทวดา, เทวดายังไม่เข้าใจพระอริยะ เป็นต้น

ขอยกตัวอย่างเช่น หากคุณมีชีวิตอยู่ในป่า ที่เต็มไปด้วยฝูง สรรพสัตว์ เสือ สิงห์ กระทิง แรด ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯหลายล้านตัว แต่คุณเป็นมนุษย์อยู่คนเดียว มีปัญญาเหนือกว่าฝูง สรรพสัตว์ แต่อยู่คนเดียว ถ้าคุณมีอาหารเลี้ยงฝูง สรรพสัตว์ มีอาวุธอำนาจเหนือกว่ามัน ส่วนใหญ่ คุณก็โชคดี เป็นนายสุนัขได้ เปรียบเช่นเป็นเจ้านาย แต่ถ้าคุณไม่มีอาหารเลี้ยงฝูง สรรพสัตว์ ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ คุณจะทำอย่างไร พูดกับฝูง สรรพสัตว์ ว่า ฉันเป็นคนนะ มีปัญญาเหนือกว่าพวกเธอ ๆต้องฟังฉันนะ เพื่อความดี ความสงบ ความเจริญ ของพวกเรา หรือใช้กำลังบังคับ จะได้ผลไหม ได้ผลแน่นอน ถูกฝูง สรรพสัตว์ กัดตาย ชัวร์เลย มีวิธีเดียวที่จะมีชีวิตรอดทำตัว ทำกลิ่น ให้เหมือนกับเป็นพวกเดียวกับมันเป็นเพื่อนมัน คุณถึงจะอยู่รอด ดังเช่น เมาคลี ลูกหมาป่า เป็นต้น ก็ด้วยเหตุผลเช่นนี้ พระอริยะบุคคลต่างๆทั้ง 8 จำพวก นอกจากจะเปิดเผยตัวไม่ได้แล้ว ยังต้องปกปิด ซ่อนเร้นตนอีกต่างหาก ทั้งที่ใจจริงแล้วคูณอยากให้ฝูง สรรพสัตว์ พวกนั้น มีปัญญาเท่ากับคุณ เข้าใจคุณ ใจจะขาด คุณจะได้มีพวกที่คุยกันได้ไม่ต้องหลอกลวงกันจะได้มีความสุข ความสงบ ความเจริญ แต่คุณก็จนปัญญาที่จะทำได้ ด้วยฝูง สรรพสัตว์ นั้นปัญญาไม่อาจรับรู้ได้เท่าคุณ ก็ด้วยเหตุเช่นนี้ ปุถุชน กับอริยะบุคคลนั้นต้องปกปิด ความลับกันตลอดไป แถมพระอริยะบุคล ยังต้องอดทน ทรมาร กับความวุ่นวาย ของมนุษย์ปุถุชน ที่ใกล้ชิดตลอดเวลา เปรียบดังเช่น คุณต้องทนกับนิสัยของฝูง สรรพสัตว์ ป่าจำนวนมากมหาศาล ที่อยู่ใกล้คุณตลอดเวลา ต้องคอยระวังภัยจากฝูง สรรพสัตว์ ผิดพลาดเผลอตัวก็ถูกกัด ต้องคอยห้ามไม่ให้มันกัดทำร้ายกัน ฯลฯ เป็นดังนี้เป็นต้น

ถ้าเป็นพระอริยะที่ได้อภิญญา ชาญ แล้วเปิดเผยตน แสดงชาญช่วยเหลือ ปุถุชน จะเกิดอะไรขึ้น พระอริยะ1องค์ใน จำนวนปุถุชนหลาย100ล้านคน จะได้ชาญอภิญญา 1 องค์ คงไม่เกินนี้ เปรียบเช่น คุณมีเงิน 1 ล้านบาท แต่คนรอบตัวคุณ หลาย1,000ล้านคน อดอยาก ยากเข็ญเจ็บป่วย โรคกาย,โรคจิต ฯลฯ ใกล้ตาย ทนทรมาร ด้วยความอยากได้อยากดี เจ็บป่วยกาย ใจ กันทุกคน ทุกคนไม่มีจะกิน ถึงแบ่งให้ทุกคนยังไงก็ไม่พอ จะไม่ให้ก็ไม่ได้ ต้องถูกปล้น ถูกฆ่า แน่นอน วิธีเดียวที่จะอยู่รอด ต้องหลอกลวงคนอื่นๆว่า ฉันไม่มีเงินหลอก ยากจนเหมือนกัน เพื่อความอยู่รอดไม่เดือดร้อน พระอริยะบุคคล ที่ได้อภิญญา ก็เอาตัวรอดแบบนี้แหละ เห็นแก่การเอาตัวรอดเหมือนพวกเรานั่นแหละ

เพราะว่าปุถุชนนั้น มีแต่เรื่องเดือดร้อนตลอดเวลา เช่นผัวมีเมียมาก ,เมียมีชู้ ,ควายหาย ,อยากถูกหวย ,จะทำสงครามยึดบ้านเมืองคนอื่น สร้างปัญหาความวุ่นวายเดือดร้อนตลอดเวลา ถ้าขืนพระอริยะบุคคลที่ได้อภิญญาองค์ใด แสดงตนออกไป มีหวังถูกตามจับ บังคับให้นั่งทางใน เพื่อทำความชั่วร้ายต่างๆเป็นแน่แท้ เมื่อก่อนตัว อ.ภัทระ เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมครูบา อาจารย์ ที่ได้อภิญญา ไม่ยอมแสดงอภิญญา ช่วยเหลือสัตว์ โลก พึ่งจะเข้าใจด้วยตัวเองไม่นานนี้เอง

จุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า คือต้องการนำสัตว์โลก มนุษย์ ออกไปให้พ้นจากโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดกายและใจ เพราะพระพุทธเจ้ารู้ด้วยความแจ้งจริงว่า โลกอื่นนั้นมีจริงและดีกว่าคือ สวรรค์ และนิพพานเป็นความสุขแท้สถานเดียว ไม่มีทุกข์

พระพุทธเจ้าสอนวิธีให้ หนีพ้นไปจากโลกใบนี้ เพราะค้นพบสวรรค์และนิพพาน

ศาสนาอื่นที่สอนให้ยึดโลกใบนี้ ต้องมีสาวก มาก พวกมาก ยึดครองมาก รวยมากเพราะอะไร ตอบว่า เพราะว่าความจริงแล้วศาสดาพวกนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ในทางจิตวิญญาณ หรืออาจหลงเองเพราะระบบสมองฟั่นเฟือนสร้างภาพหลอน แล้วสร้างกลอุบายขึ้น เพื่อลาภผลและอำนาจปกครองเท่านั้น

(พระพุทธเจ้าศาสดา สอนศาสนา  )

(เงินทองและอำนาจ นั่นและ พระเจ้าที่แท้จริงพึ่งได้ในโลกนี้)

และยังมีชาวพุทธเราที่หลงเข้าใจผิด คิดว่าศาสนาพุทธจะยิ่งใหญ่ปกครองโลกนั้นถ้าเป็นพุทธนิกายดั่งเดิมๆ ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย เหตุผลเพราะว่าธรรมและข้อปฏิบัติที่ทรงบัญญัตินั้น จะทำให้เข้าถึงสวรรค์นิพพาน ได้ แต่ทำให้ถอยหลังเข้าป่า ในโลกใบนี้ (พระองค์ทำเป็นตัวอย่างแล้วเป็นกษัตย์ได้ปกครองทุกอย่างแต่สละทุกอย่างเข้าป่า)

แล้วพระพุทธศาสนาจะยึดโลกใบนี้ไว้ทำไม ปัจจุบันนี้มีพระอริยะ ที่ได้อภิญญา รู้วาระจิต ถอดจิตไปสะกดจิตคนโน้น ไปเป็นผีอำหลอกคนนี้ ไปเข้าฝันคนนั้น ได้ก็มี แต่ก็ไม่มีใครแสดงตนให้คนอื่นทราบ นอกจากพระอริยะบุคคลเหมือนกันและชั้นเดียวกันเท่านั้น เหตุผลก็เพราะว่าโลกใบนี้มีกิเลสเป็นตัวสร้าง ดึงใว้ให้เจ็บปวด ทุกข์ร้อน ใจกายยิ่งนัก ต่างจากพระนิพพาน ถ้าแสดงอภิญญาไปแล้วช่วยใครๆให้หมดกิเลสไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชณ์อะไรเลยนอกจากจะทำให้ลำบากยุ่งยากแก่ตนผู้แสดงเท่านั้น สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมคิดว่าตนสำเร็จแล้วนั่งทางใน ทำนายว่าโลกเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ บอกหวย ใช้อภิญญาช่วยเหลือโลก เป็นไปไม่ได้ครับ ของสูงไม่อาจใช้กับกิเลสชั้นต่ำได้ ถ้านั่งทางในเห็น แสดงว่าโดนทางในหลอกแล้ว สมองฟั่นเฟือน นำไปบอกคนอื่นพอนานเข้าก็เพี้ยนจะอับอายขายหน้าเขาเปล่าๆ เพราะ อ. เองก็เคยลองมาแล้ว แต่อาจจะมีข้อยกเว้นสำหรับพระโพธิสัตว์ บางครั้ง แสดง อภิญญา โปรดสัตว์แต่คงจะรับรู้ได้เฉพาะผู้มีบารมีธรรม พระอริยะบุคคล เท่านั้น ของต่ำต้องใช้กับของต่ำครับ เรียนตำราพยากรณ์โหร ของ อ.ภัทระ ได้ผลแน่นอนแม้ไม่แม่นเหมือนนั่งทางในแต่ก็ใกล้เคียงใช้ได้ครับ เรื่องหวยก็มีตำราคำนวณเลขใช้ได้ผลพอสมควร การปกครองต้องใช้อาวุธ อำนาจ และจิตวิทยาเท่านั้น

การทำให้ศาสนาพุทธใหญ่โต ปกครองโลกของกิเลสทุกข์ ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระพุทธองค์ ส่วนมากพระอรหันพระปัจเจกพุทธเจ้าจะไม่แสดงตนเลยและ ไม่ดิ้นรนทำความดี หรือชั่วอะไรทั้งสิ้น เพราะหมดแล้วซึ่งความรักและไม่เหลือความใยดีต่อโลกใบนี้จึงไม่มีใครรู้จักท่านเลย ที่ได้พบเห็นเล่าลือกันนั้นอาจเป็นพระอริยะที่ต่ำกว่าเพื่อสร้างบารมีบ้างอาจจะเป็นพระโพธิสัตว์ หรือพระอริยะที่ต่ำกว่า นั้น

นิพพานแปลว่าอะไร หมายถึง ตอบ นิพพานแปลว่า อิ่มทุกอย่าง สมมุติว่าเราได้ทุกอย่างในจักรวาลแล้วเป็นของเราหมดจิตใจเราก็อิ่ม ไม่รู้สึกว่าอยากได้อะไรอีกต่อไปโดยไม่หวั่นไหวอีก นี่เป็นลักษณะของพระนิพพาน

โลกใบนี้คืออะไร ใครสร้าง อารมณ์กิเลสแหละสร้าง

เป็นก้อนดิน ผสมแร่ กลมๆ มีสิ่งมีชีวิต ก็ใช่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชีวิตโลกจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุดหาที่เริ่มต้นและที่สิ้นสุดไม่ได้ ก็เป็นความจริงทุกประการ

เป็นโลกของอารมณ์ 80% เหตุผล 20% ความจริงแล้วผู้ที่จะปกครองโลกนี้ เป็นผู้นำต่างๆได้ อาจจะเป็นผู้ที่ไม่มีศาสนาเลย ทำลายทุกศาสนาตามใจตนก็เป็นได้ ถ้ามีอาวุธ อำนาจ และจิตวิทยาในการปกครอง เช่นคอมมิวนิส เพราะโลกใบนี้มีอารมณ์เป็นพรรคพวกเขาถึง80% เหตุผลซึ่งเป็นแหล่งความดีมีแค่ 20% น้อยกว่ามาก อารมณ์ย่อมชนะคุณงามความดี ของ ปุถุชนที่เข้าใจว่าดี ทุกอย่างอยู่แล้ว มีตัวอย่างหลายประเทศ ประชาชน ส่วนใหญ่ โค้นล้มระบอบประชาธิปัตไตรทำลายสิทธิตัวเอง แล้วไปเป็นคอมมิวนิส ก็ยังทำได้, ฮิตเลอร์ นักพูด ๆเก่ง พูดจนพาคนตาย 60-70ล้านคนได้ ฯลฯ มนุษย์เราใครยั่วยุถูกอารมณ์ไม่รู้ผิดหรือถูกก็ไปสุมหัวกับเขาหมด นี่แหละสัตว์โลก (พอบอกความจริงยอมรับไม่ได้)

พิสูจน์ยังไงว่าโลกนี้เป็นของอารมณ์ มนุษย์เกิดมาเพราะอารมณ์ 100%

ในสมัยก่อนยุคหนึ่งของศาสนาคริส ผู้ที่มีปัญญา นักปราชณ์ บอกว่าโลกกลมอาจถูกจับไปประหารชีวิตเพราะขัดกับศาสนา ผู้นำต่างๆในโลกใบนี้ เคยมีใครเลือก นักปราชณ์ นักวิทยาศาสตร์ ที่เก่งมีผลงานไปเป็นผู้นำบ้างใหม ไม่มี จะเลือกเอาแต่ลูกเรา หลานเรา พรรคพวกเรา ทั้งที่คนนี้ไม่เคยทำอะไรให้คนส่วนมากเหมือนพวกนักวิทยาศาสตร์เลย คนเหล่านี้อาจจะเก่ง เรื่อง รบราฆ่าฟัน แย่งชิงเขามา เท่านั้น ก็ยกยอกันตลอดชาติ ทำถูกใจเราหรือมีผลประโยชน์ให้เท่านั้น ถ้าทำผิดใจผิดอารมณ์ ก็เป็นคนชั่วในสายตาเราใช่ไหม ก็ใช่ เช่นผู้ที่เป็นศัตรู ต่อให้ทำดีกับคนทั้งโลกแค่ไหนก็เป็นคนชั่วในสายตาเราเสมอ เขียนนินทาว่าร้ายกันยันลูกหลาน ก็ทำเช่นนี้กันทุกประเทศทั่วโลก

เอาแค่เหตุผลนี้ ก็พิสูจน์ได้แล้วครับว่าพวกเรานั้นมีแต่อารมณ์กันทั้งนั้นแทบจะหาเหตุผลและยอมรับความจริงกันไม่ได้เลย ถ้าสัตว์โลกเรายอมรับความจริงกันได้ ไม่ต้องปรุงแต่งกัน หากสัตว์โลกเรายอมรับความจริงกันได้ ถึง80%ทั้งหมดเมื่อไหร่ โลกคงแตก และพากันไปอยู่พระนิพพานหมดเป็นแน่แท้

ก็ด้วยเหตุผลอันนี้แหละ พระพุทธศาสนาที่บอกแต่ความจริง ไม่หลอกลวง จึงไม่อาจจะรุ่งเรืองสูงสุดได้ในโลกใบนี้เหมือนศาสนาอื่นๆ ผู้มีปัญญาจะไม่แปลกใจอะไรในข้อนี้

ที่ยกเหตุ ยกผล มากมายก็เพื่อให้พุทธศาสนิกชนระดับ ปุถุชนเราๆ ผู้ที่ยังศึกษา ได้เข้าใจถึงสาเหตุ ความเป็นมาและจะเป็นไปข้างหน้า ของโลกใบนี้ในวันข้างหน้า เพื่อที่จะได้ไม่หลงไปยึดถือศาสนา ยักษ์ใหญ่ ร่ำรวยในวันข้างหน้า ด้วยสาเหตุเพราะพระพุทธศาสนาอ่อนแอ ยากจน เป็นเหตุของการเปลี่ยนศาสนา

พระพุทธศาสนาดั่งเดิมแท้ เป็นๆ ของพระมหากษัตย์ ผู้ทรงบารมี ต่างจากศาสนาอื่นๆซึ่งเป็นของคนชั้นต่ำบ้าง นักโทษบ้าง นักรบบ้าง คนธรรมดาสามัญทั้งนั้น พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของชนชั้นสูงสุด ปัญญาสูงสุด บารมีสูงสุด ในระดับปุถุชน ด้วยกัน

พุทธศาสนานั้น ประกอบด้วยหลักการที่มีเหตุผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่นพระพุทธองค์ ทรงคำเรียกจักรวาลว่า จักรวาลอันอนันต์ ทรงอธิบายว่า 1 จักรวาล เท่ากับ 1 โลกธาตุ แต่ละโลกธาตุประกอบด้วยทวีปต่างๆ ทรงระบุอย่างชัดเจนว่า จักรวาลนั้นมีสัณฐานกลม พร้อมทั้งระบุถึงขนาดของเส้นขอบ รอบวงส่วนกว้างส่วนยาวไว้เป็นจำนวนชัดเจน ฯลฯ ถ้าเป็นศาสนาอื่นบางศาสนาในสมัยนั้น ถ้ามีนักวิทยาศาสตร์คนใด กล้าบอกว่าโลกกลม ก็อาจจะถูกจับไปแขวนคอแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเหตุผลและความจริงจะเติมโตได้ยากในโลกใบนี้

พระพุทธศาสนาดั่งเดิม จะเจริญรุ่งเรืองสูงสุดได้ เฉพาะในประเทศที่มีพระมหากษัตย์เป็นประมุขสูงสุดนับถือพุทธศาสนาเท่านั้น ธรรมและข้อปฏิบัตินั้นเป็นของจริงเพื่อเข้าสวรรค์นิพพาน หลุดพ้นจากโลกใบนี้ หนีโลกเข้าป่า จึงเป็นเหตุให้แก่นกลางของพระพุทธศาสนานั้นอ่อนแอนัก ในโลกใบนี้ ไม่อาจต้านอารมณ์ อาวุธ ของมนุษย์ได้

จึงจำเป็นต้องมีพระมหากษัตย์ผู้ทรงบารมีหรือพระโพธิสัตว์ คอยปกป้องผู้ปฏิบัติธรรมตลอดเวลา

พระพุทธศาสนา(ดั่งเดิม) จะสูญสิ้น ถ้าไร้พระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมบุญบารมีอุปถัม




ตำราตรีภพ ของรัชกาลที่
4 จากหนังสือ โหราศาสตร์ และ คาถาพระจอมเกล้าฯ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ รัชกาลที่ 4

.........................ตัวเราพระจอมเกล้า.........บำรุงเหล่าราษฎร์สำราญ

.........................เลี้ยงเสนาข้าราชการ.......ใช้แบบนี้ดีหนักหนา ฯ

.........................ตำรานี้ชื่อตรีภพ.............จงปรารภเร่งศึกษา

.........................หญิงชายที่เกิดมา...........ตามชาตาชั่วและดี ฯ

.........................ให้เอาเดือนกับวัน..........ประสมกันเข้ากับปี

...............แม้ได้เท่าใดมี...............จึงประกอบให้ควรทาย

.........................ถ้าเห็นมากกว่าสิบ..........จบลบสิบเสียให้หาย

.........................เหลือนั้นควรทำนาย........ตามตำรับโบราณมา ฯ

.........................ไม่ต้องไปคูณหาร..........ให้ป่วยการเสียเวลา

.........................ตรีภพดังนี้นา................นั้นแน่นักประจักษ์จริง

ให้เอาวัน เดือน ปี บวกเข้าด้วยกัน ปี นับปีชวดเป็นต้น, เดือน นับเดือนอ้ายเป็นต้น, วัน นับวันอาทิตย์เป็นต้น ถ้ามีเศษเกินกว่า 10 ขึ้นไป ต้องเอา 10 หารออก แล้วให้เอาเศษที่เหลือนั้นเป็นจำนวนทายดังนี้

.........................เศษ 1 เสาเรือนไฟไหม้....ชาตาใครทั้งชายหญิง

.........................ไร้เรือนที่เพื่อนพิง...........ที่พึ่งพักพำนักเนาว์ ฯ

...............จะเร่ร่อนระเหระหน..........เร่งเจียมตนอย่าดูเบา

.........................เพราะว่าชาตาเรา............โทษประกอบจึงเกิดกรรม ฯ

...............เศษ 2 จะครองไข้...........มีโรคร้ายรุมประจำ

.........................หยูกยาจะหาทำ..............บ่ถูกแท้จนแก่ตัว ฯ

.........................เศษ 3 ความสบาย...........มีข้าควายและเกวียนวัว

.........................พอสมสกุลตัว................เข้าที่ทายสถานกลาง ฯ

...............เศษ 4 มีข้าครอก............อเนกนอกคณานาง

.........................อุปถัมป์ล้วนสำอางค์........บ่ไข้ชุกบ่ทุกข์เป็น ฯ

.........................เศษ 5 ชาตากลับ............ทุนทรัพย์ก็แสนเข็ญ

.........................ภายหลังชาตาเป็น...........ทุนทรัพย์จะนับพัน ฯ

...............เศษ 6 จะยกญาติ...........เป็นเชื้อชาติประเสริฐสรรพ์

.........................เงินตรายศถาพลัน...........ทุนทรัพย์ลำดับมี ฯ

.........................เศษ 7 นั้นผ้าขาด............จะนุ่งห่มก็เต็มที

.........................พักตราย่อมราคี..............ระคายคับทั้งทรัพย์สิน ฯ

.........................เศษ 8 นั้นเปรื่องยศ.........จะปรากฏกระเดื่องดิน

.........................ทรัพย์สฤงคารสถานถิ่น.....ทั้งอำนาจแลวาสนา ฯ

.........................เศษ 9 กินข้าวกลางตลาด..เสมอชาติสุนักขา

.........................ถึงจะดีมีวาสนา...............ต้องประกอบทำการงาน

.........................แม้ตระกูลทลิททก...........ถึงต่ำตกก็บ่นาน

.........................ดั่งนักเลงสุราบาน............พอขวนขวายใส่ท้องตน ฯ

.........................เศษ 10 นกแขกเต้า........ทำรวงเล้าริมฝั่งชล

.........................แสวงดีย่อมดีย่อมมีผล.....อย่าคลุกเคล้ากับเหล่าพาล ฯ

.........................เหมือนปักษีอันมีปีก........รู้หลบหลีกธนูพราน

.........................เหมือนปักษีอันมีปีก........รู้หลบหลีกธนูพราน

...............จงสำเร็จเสร็จสิบทัศ........ครั้นแจ้งชัดคำทำนาย

.........................จะดีชั่วคนทั้งหลาย.........เป็นบุพกรรมหนุนนำมา ฯ

.........................อย่าเสียใจว่าเป็นเคราะห์..คราวเฉพาะดวงชาตา

.........................ตรีภพดังนี้นา.................มันแน่นักประจักษ์เอย

หมายเหตุ : วิธีคำนวณ ให้เอาวัน เดือน และปีเกิด บวกเข้าด้วยกัน โดย ปีเกิดนับปีชวด = 1, ปีฉลู = 2 ... ส่วนเดือนเกิด นับเดือนอ้าย = 1, เดือนยี่ = 2 ... และวันเกิด นับวันอาทิตย์ = 1, วันจันทร์ = 2 ... เทียบวัน,เดือน,ปี เป็นตัวเลข เสร็จแล้วนำมาบวกเข้าด้วยกัน ถ้ามีเกินกว่า 10 ขึ้นไป ให้เอา 10 หาร เหลือเศษเท่าใด เอาเศษที่เหลือนั้นเป็นจำนวนทาย (ผลทายตามวงศ์ตระกูล)

รัชกาลที 4 ทรงอัจฉริยะภาพไม่ได้มีแต่ความเป็นนักดาราศาสตร์เท่านั้น แต่ยังทรงเป็นนักโหราศาสตร์อีกด้วย พระองค์ได้ชื่อพระบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทย

ประวัติ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) (โดยย่อ)

สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรมรังสี ทรงประสูติเมื่อตอนเช้า เวลา ๐๗.๐๐ น. ตรง ของวันพฤหัสบดี เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๓๑ ณ ตำบลไก่จ้น อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต้นแผ่นดินรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) จากบันทึกของสมเด็จพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน เป็นการยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี ได้ บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อพระชนมายุ ๕ พรรษาและไม่เคยลาสิกขา ที่วัดระฆังโฆสิตาราม พระองค์มีรู้ที่ต้องฝึกจิตรักษาดวงจิตให้เป็นหนึ่งอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เกิดสมาธิปัญญาอย่างแก่กล้า ได้ฌาน ๔ กสิณ ๑๐ สมาบัติ ๘ สำเร็จโสฬสฌาน จึงเริ่มเสด็จธุดงค์ และมุ่งมั่นไปยังแหล่งสรรพวิชา มหาวิทยาลัยตักศิลา ไปอยู่ตามป่า ตามถ้ำ และในที่สุดก็ไปพบสถานที่หนึ่งซึ่งเคยบำเพ็ญภาวนามาก่อนแต่อดีตชาติ คือ ถ้ำอิสีคูหาสวรรค์ เมืองกำแพงเพชร พบของเก่ามากมายและที่สำคัญคือใบลานเก่าที่ชำรุดมาก เขียนเป็นภาษาสิงหล “พระคาถาชินบัญชร” พระองค์ท่านได้นำกลับมาเรียบเรียงแก้ไขเป็นภาษามคธ-บาลี เพื่อให้อ่านง่ายและเข้าใจง่าย และได้แปลความหมายของพระคาถาที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์มาเป็นร้อยแก้ว เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญและอานุภาพของพระคาถา ที่มีค่าท่วมหลังช้าง สามารถนำไปใช้ได้ ๑๐๘ ประการด้วยการสวดท่องและอธิษฐานให้ขจัดทุกข์และบำรุงสุขได้อย่างมหัศจรรย์ ผู้สวดท่องจะทราบทุกคน เพราะเป็นปัจจัตตัง และเป็นสมบัติตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความที่พระองค์ท่านเป็นปูชนียบุคคลที่พระพุทธศาสนิกชนกล่าวขวัญถึง ในชื่อ “สมเด็จฯโตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม และเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ที่มีความรอบรู้แตกฉานใน พระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติ ความเป็นเลิศในการเทศนา ได้รับการยกย่องสรรเสริญในสติปัญญาและ ปฏิญาณโวหารที่ฉลาดหลักแหลม เปี่ยมด้วยเมตตากรุณาแก่ผู้ตกยาก เป็นอัจฉริยะมีวิชาแตกฉานมากมายรวมทั้งโหราศาสตร์ เขาว่าพระองค์ท่านดูดวง และให้หวย แม่นมาก และได้สร้างวัตถุมงคลไว้เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันพระสมเด็จฝงบางรุ่นองค์เดียวมีราคาถึง 45 ล้านบาท พระองค์ท่านมีอัธยาศัยมักน้อยสันโดษท่านถือปฏิบัติในข้อธุดงควัตรทุกประการ คือ ฉันในบาตร ถือผ้าสามผืนออกธุดงค์ เยี่ยมป่าช้า นั่งภาวนา เดินจงกรม จนวาระสุดท้ายท่านมรณภาพเมื่อวันอาทิตย์ เวลา ๐๖.๐๐ น. ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๑๕ สิริพระชนมายุนับรวมได้ ๘๔ ปี กับ ๒ เดือนเศษ

คำทำนายล่วงหน้า ของสมเด็จพระพุทฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

รัชกาลที่1 ทายว่า มหากาฬ (ทำลายเพื่อน พี่น้อง)

รัชกาลที่2 ทายว่า ณานยักษ์ (ชำนาญเวทมนต์)

รัชกาลที่3 ทายว่า รักมิตร (มีการค้าขายกับต่างชาติมากมาย)

รัชกาลที่4 ทายว่า สนิทคำ (ออกบวช)

รัชกาลที5 ทายว่า จำแขนขาด (คือ ต้องยอมเสียดินแดนฝั่งซ้ายมือแม่น้ำโขงและเขมร เพื่อ ป้องกันอธิปไตย)

รัชกาลที่6 ทายว่า ราชโจร (เกิดสงครามโลกครั้งที่1 เกิดกลุ่มโจรมากมาย มีการตั้งกองเสือ ป่าครั้งแรกของไทย)

รัชกาลที่7 ทายว่า ชนร้องทุกข์ (การเดินตามขบวนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย)

รัชกาลที่8 ทายว่า ยุคทมิฬ (พระเจ้าแผ่นดินถูกลอบปลงพระชนม์)

รัชกาลที่9 ทายว่า ถิ่นกาขาว (มีฝรั่งเข้ามามากมาย นำเงินมาซื้อประเทศไทยและเกิดวิกฤติการเงิน)

รัชกาลที่10 ทายว่า ชาวศรีวิไล (จะมีเหลือเฉพาะผู้มีบุญเท่านั้นที่รอดตาย เป็นยุคของพระศรีอริยะเมตไตย)



คำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

แม่นยำจริงพิสูจน์ แต่ก็ยังมีบัวไต้ตมค้านเป็นธรรมดา

      คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเป็นไม่ได้

หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย
 

เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า

พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาจนเต็มพระนคร(พ.ศ.2545-2548)

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร

ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น(ชัดเจนครับ)

จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า

คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประนาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้

เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี

ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ

เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก(ชัดเจน กลุ่มเหลือง และ แดง) เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย

เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น

ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม

คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง(ชัดเจน)

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว (ผู้หญิงหรือชายใจเป็นหญิงก็ใช่)ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง

ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้

จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ

-------------------------------------------

หนังสือพุทธทำนาย

ข้อความจาก ปู่ฤาษีมณีรัตน์

(แปลข้อความเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เพราะธรรมชาติของคนกิเลสหนา คิดอ่านน้อยนักความจริงรับไม่ได้ ถ้าหลอกละเชื่อนัก)

พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน ค้นพบ “หนังสืออินทร์ตก-เทพทำนาย” โดยย่อ หนังสือใบลานสีได้ถูกตกมาในวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดอัตตะบือ(ประเทศลาว) ข้าพเจ้าได้รับรู้จากพระอาจารย์ผู้ทรงศีลองค์หนึ่งเผยแพร่ให้ เลยเกิดความศรัทธาเสียสละทรัพย์พิมพ์แจกจ่ายมายังพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย เพื่อเป็นกุศลและเพื่อพิจารณาญาณด้วยตนเองถึงเหตุการณ์มหันตภัยของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งจะบังเกิดขึ้นตามพุทธทำนายไว้ดังนี้

โลชังชม โทโพโส อินโตกรุณาพระอินทร์ พระพรหม ยมราช ได้สั่งไว้ว่า ถ้าบุคคลใดได้รู้แจ้งจงรีบบอกให้คนอื่นฟัง หรือพิมพ์แจกตามกำลังศรัทธาจะเกิดมหากุศลช่วยให้ท่านได้หลุดพ้นจาก มหันตภัยทั้งปวง ถ้าบุคคลจะลงมาเกิดพร้อมทั้งหนังสือใบลานฉบับนี้ ถ้าใครไม่มีไว้ในบ้านเรือนจะมีภูตผีปีศาจ(ภูตผีปีศาจ แปล หมายถึงคนชั่วร้าย บ้า ติดยา พวกต้มตุ่นหลอกลวง สัตว์ร้ายต่างๆฯลฯ )เข้ามาทำลายอย่างถ่องแท้ ในปีจอถึงปีกุน เมื่อคืนเดือนหงายจะมีงูพิษเหนือศีรษะ ฉกกัดให้ถึงตาย(งูพิษบนศีรษะ แปล เพศตรงข้ามคือผู้หญิงอาจมีการใช้ผู้หญิงเป็นอาวุธในการทำสงคราม)และผู้คนทั้งหลายจะเกิดความเดือดร้อนหลายประการ

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนศึกสงครามบ่แล้ว

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนน้ำและไฟ

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนบ่มีไผสิเบิ่งไผ

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนอึดข้าวปลาอาหาร

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนผัวเมียบ่เห็นหน้ากัน

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนมีคนตายตามทุ่งนา

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนบ่มีผู้เฒ่า

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนไปต่างประเทศบ่สะดวก

ทุกข์ยากฮ้อน ย้อนนอนบ่หลับ

ในปีจอนี้ในเมืองจันทร์จะมีฤาษีองค์ทองดำ (ฤาษีองค์ทองคำ แปล นักปราชณ์รูปงาม ลาศึกจากนักบวช เป็นพวกพ่อค้า)สิขาลาเพศออกมาเป็นพ่อค้าในปีจอขึ้นในปีจอเมืองกรุงเทพจะแตกพังทลายตอนเวลาไก่ขัน(เมืองกรุงเทพฯจะแตก แปล จะเกิดสงครามกลางเมืองคล้ายในยุคเขมรแดงบุกเมืองหลวง ข้อความนี้ไม่แน่ชัด)พระแก้วมรกตหัวเชียงเมี้ยงข้าวเม็ดใหญ่จะกลับสู่เวียงจันทร์ นี่คือคาถาของพระอินทร์ พรหม ยมราชได้เขียนไว้บนใบลาน จงเก็บรักษาไว้ให้ดีเพื่อช่วยหลุดพ้นจากภัยพิบัติได้ในยามเกิดเหตุการณ์มหันตภัย พระคาถาเขียนไว้ว่าปะโต เมตัว ประระชีมินัง สุคะโต จุติ จิตตะ เมตตะ นินะมัง สุคะโต จุติพระคาถาบทนี้เขียนลงในใบลาน แผ่นทองหรือแผ่นผ้าก็ดีติดไว้ที่ประตูบ้านหรือในรถหรือโพกศีรษะ ยามเกิดเหตุการณ์จะช่วยให้หลุดพ้นจากภัยอันตรายในกาลเวลานี้ เทพเจ้าเหล่าเทวดาผู้รักษาคุ้มครองโลกได้กราบทูลต่อพระอินทร์ว่าโลกมนุษย์ทำกุศลเพียง3 ส่วน ทำบาปกรรมถึง 7 ส่วน เมื่อเป็นเช่นนี้องค์อินทร์จะสั่งลงโทษมนุษย์ผู้ใจบาปถึง 9 ข้อ นับแต่ปีจอถึงปีกุน ดังนี้

1. จะเกิดพายุลมแรง แผ่นดินไหว

2. จะเกิดอัคคีภัย

3. จะเกิดอุทกภัย

4. จะเกิดฟ้าผ่า

5. จะเกิดร้อนเกินไป หนาวเกินไป

6. จะเกิดสารพิษต่างๆ

7. จะเกิดกาฬโรคต่างๆ

8. จะเกิดข้าวยาก หมากแพง

9. จะเกิดอาฆาตพยาบาทเบียดเบียนกันเอง

หากผู้ใดรู้แล้วจงบอกต่อกันไปให้รีบทำความดีมากๆ ถ้าเลยปีจอ ปีกุน ไปแล้วทุกคนพร้อมทั้งลูกหลานจะได้รับความสุขกายสบายใจทุกคนให้ทุกคนเคร่งครัดในศีล5 นอกจากหนังสืออินทร์ตกที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีพระผู้ทรงศีลอีกองค์หนึ่งได้พบเห็นคำสอนที่จารึกไว้บนแผ่นศิลาที่เพิ่งพบในภูเขาแห่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้เดินธุดงค์วิปัสสนากรรมฐานผ่านไป พระผู้ทรงศีลกล่าวว่า พี่น้องทั้งหลายถ้าไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่ดวงจิต เพราะถึงเวลาแล้วที่สวรรค์จะไม่มีความลับ ถ้าเชื่อก็เป็นกุศล รู้เพียงเท่านี้ข้าพเจ้าจึงขอบอกเล่าสู่ท่านฟังตามคำกล่าวของพระผู้ทรงศีลรูปนี้ว่า ในแผ่นศิลาเขียนโดยพระมหากัสสะปะว่าในปีระกา ปีจอ ปีกุน เดือนสุดท้าย พระผู้ทรงศีลได้กล่าวย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหนังสืออินทร์ตกเพิ่มเติมว่า ถ้าท่านเคารพบูชาหรือบนว่าจะบอกแก่ผู้อื่นหรือพิมพ์แจกจ่ายให้สาธุชนทั้งหลายได้รับรู้แล้วท่านปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สมใจ จึงปราศจากภัยพิบัติทั้งปวงตลอดไป ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

พระพุทธเจ้าทำนาย(แปล เก่าแก่สมัยใช้ธนู)

อานันทะ ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปีจะเกิดเหตุการณ์ร้านแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันฝนเหล็กจะตกจากฟ้า(แปล ลูกปืนกลจากเครื่องบิน)ไฟจะลงมาจากอากาศ จะเผาผาญประชาชนให้พินาศ จะมีการล้มตายกันฝ่ายละมากๆ

แต่ว่าดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี(แปลสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2482-2488) จะถือว่าเกิดเหตุการณ์ร้านแรง ที่สุดก็หาไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้วจะมีความร้ายแรงมากกว่า ก่อนกึ่งพุทธกาล 15(แปลสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2482-2488) มากนัก ยักษ์นอกพุทธศาสนา(ศาสนาอื่น 2 ศาสนาใหญ่จึงเรียกว่ายักษ์)จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตายฝ่ายละมากๆ รวมทั้งสมณะ ,ชี,พราหมณ์ ทุกศาสนาก็ไม่เว้น จะล้มตายไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรา ประเทศที่นับถือศาสนาพุทธจะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก (แปลน่าจะเป็นศาสนาพุทธนิกายดั่งเดิมที่ไม่แปลงไปเท่านั้นเพราะประเทศด้วยพัฒนาไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ จึงไม่โดนนิวเคลียร์)

ออกจากศิลาจารึก(ของพระเจ้าโอศกมหาราช)ในมหาวิหารเจตมหาเชตะวัน ณ สวนหฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะทูตไทยที่ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี 2475 สาธุ อะระหังตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระเมตตากรุณาสรรพสัตว์ทั่วโลก ที่เกิดมาแล้วแต่ลำบากทั่วหน้า ทุกชาติ ทุกศาสนาตามธรรมชาติ เมื่ออาตมาเข้าสองพันห้าร้อยปี มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติเสียครั้งหนึ่งในระยะสิ่งที่สาธุชนไม่เคยเจอจะได้เห็น ไม่เคยพาลจะได้พบ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับกลับตื่นขึ้นมาอาละวาดยิ่งนัก(ยักษ์หินที่หลับ แปล ภูเขาไฟจะระเบิดไต้มหาสมุทธต่อเนื่อง )ใกล้กับ เมื่อดาว( เพิ่มเติม เนฟจูน ดาวเสาร์ ดาวมมฤตยู เดินคู่ขนานองศากันทั้งสามดวง ที่ระยะ 28-29-0-1-2-3-4-5 ระยะเวลาเดิน 5-6ปี ขึ้นไป) ยิ่งทวีกันใหญ่ขึ้นทุกทิวาราตรี มนุษย์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันกันจนถึงเลือดนองเต็มผิวดิน พื้นน้ำจะลุกลามเผามนุษย์ไม่ขาดระยะ ต่างฝ่ายต่างทำลายเหมือนยักษ์กระหายเลือด แผ่นดินจะเป็นเปลวไฟ จะตายไปอย่างละครึ่งหนึ่งจึงจะเลิกล้ม ต่างฝ่ายต่างหมดกำลังใจตามวิสัยยักษ์ร้ายนอกศาสนาซึ่งกำเนิดจากป่าอำมหิต ส่วนพุทธศาสนิกชนผู้ทำแต่บุญ เดินทางตาม ตถาคต สามารถระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านใดได้บูชาพระโพธิสัตว์ผ้ากาวสาวพัตร์ ก็จะรับภัยพิบัติเบาบาง แต่หนีภัยธรรมชาติไม่พ้น ไฟจะลุมลามมาทางทิศตะวันออกไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพพราหมณ์จะอดอยากยากเข็น ลูกไฟจะตกจากฟ้า(แปล ระเบิดทางอากาศ)เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำ(แปล เรือดำน้ำ)สงครามจะเกิดทั่วทิศ พระยานาคจะพ่นพิษเป็นเพลิง(เรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลีย) ทหารจะเป็นเจ้า ข่าวสารจะขาดแคลน ทุกแควันจะอดอยาก พลูหมากจะหมดเปลือง สีเหลืองจะชนะ พระยังอยู่คู่เมืองต่อไป สีขาวจะแพ้ภัยในที่สุด(แปล สีขาว คนบริสุทธิ์ ไม่เข้าใจหรือไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยจะต้องบาดเจ็บล้มตายไป)ครุฑจะบินกลับฐาน คนจะกลับบำรุงพระพุทธเจ้าว่าดังนี้ ชา มะ คะ สะ สะ วา พระพุทธชินลิตนี้ท่านให้เขียนใส่กระดาษ หรือผ้าขาวติดไว้หน้าบ้าน หรือหัวนอน ดังนี้จะมีอายุยืนยาว จะทันผู้มีบุญชื่อพระธรรมิกราชา เข้ามาปีกุน เดือน7-8 จะเกิดเหตุการณ์ร้ายบนถนนหนทาง ในเดือน 9-10 คนใจบาปจะถูกล้างผลาญให้หมดไป มีบ้านแต่ไม่มีคนอยู่ มีข้าวแต่ไม่มีคนกิน มีทางแต่ไม่มีคนเดิน ตามคำแปลเป็นภาษาไทยว่า ดังนี้ ท่านจะเข้ามาในเดือน11 เป็นเที่ยงแท้นักหนา ท่านเสด็จมาในปีระกา แรม 5ค่ำ นะสัจจังทะ คะยังมะสัมคัมปังคอยดูในปีมะโรง คนจะเดินโก้งโค้ง คลาน ผู้ใดอยากพบผู้มีบุญชื่อพระธรรมิกราชาให้ภาวนาให้หมั่นรักษาศีล สดับรับฟังพระธรรมเทศนา คอยดูปีมะเส็งตลิ่งจะพังมหาสมุทรจะชอกช้ำ อย่าเที่ยวไปกลางแจ้ง ท่านเข้ามาปีกุนเดือนคำเตือน โลกมนุษย์กำลังเข้าสู่การกลียุค จำทำให้เกิดภัยธรรมชาติจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ จะเกิดมหาสงครามโลกครั้งที่สามตามมา มนุษย์จะตายไปกว่าครึ่งสำหรับประเทศไทยจะเริ่มเกิดตั้งแต่ปี2550 คาดว่าจะได้รับภัยทางน้ำและไฟ 200 เมตร มนุษย์จะล้มตายไปมากกว่าครึ่ง น้ำจะเข้าช่องแคบสระบุรีและตอนล่างของโคราชบางส่วน ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สุดท้ายประเทศไทยจะเหลือประชากรประมาณ 30% ส่วนประเทศอื่นทั่วโลกจะเหลือเพียง10% เท่านั้น บุคคลที่รอดชีวิตส่วนมากสูญเสียสติสัมปชัญญะ(ปัจจุบันจะหาคนมีปัญญาเข้าใจหลักธรรมได้ช่างยาก)ไม่ปลอดภัยเหมือนเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาเพราะไม่เข้าใจบำเพ็ญญาณภาวนา ฉะนั้นอย่าหลงใหลในทรัพย์สินของตนเองให้มากนัก เพราะเมื่อเข้ายุคศรีวิไล เงิน ทอง จะไม่มีค่าเลย เพราะมนุษย์ยุคนั้นวัดกันที่ความดี ศีลธรรม บุญกุศลเท่านั้น ปีมะโรง พ.ศ. 2555 ปีมะเส็ง พ.ศ. 2556 ปีระกา พ.ศ. 2560

พ.ศ. 2561 ปีกุน พ.ศ. 2562

ซึ่งในใจความหนังสือมีอยู่ว่าวันหนึ่งในโบสถ์ของวัดศิริประสุประตินาถได้มีหลวงพ่อองค์หนึ่งนั่งสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ของวัด ในเวลานั้นงูตัวหนึ่งได้เลื้อยออกมาจากหน้าพระพุทธรูปในโบสถ์ เมื่อหลวงพ่อได้เห็นงูตัวนั้นก็เกิดความกลัว หลังจากนั้นงูก็ได้กลายเป็นมนุษย์ในรูปของพราหมณ์(งูเป็นพราหมณ์ แปล คนที่มองดูภายนอกชั่วร้ายแต่ที่จริงเป็นคนดี อาจเป็นโจร หรือทหารป่าฯลฯ)แล้วพูดกับหลวงพ่อว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวและตกใจ เจ้าจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคือพญานาคราชและได้จุติ ณ วัดแห่งนี้เพื่อบำบัดปัดเป่าความชั่วร้ายและคนที่ทำกรรมไว้มากให้หมดสิ้นไปจากโลก(พญานาคราชกำจัดคนชั่วร้าย แปล ผู้นำทหารฝ่ายที่เป็นคนดี) ท่านจงประกาศให้ทั่วว่าผู้ใดนำเรื่องของข้าพเจ้าไปพิมม์แจก 1000 ใบ ภายใน 15-30 วัน มันผู้นั้นจะมีโชคลาภ มีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดขอให้สมหวังทุกประการ และผู้ใดได้รู้ได้อ่าน อย่าคิดว่าเป็นการหลอกลวงหรือไม่เชื่อ และผู้ใดคิดจะพิมพ์ก็ต้องพิมพ์ใน 15-30 วัน อย่าคิดพิมพ์พลัดวันประกันพรุ่ง หรืออ่านแล้วฉีกทิ้ง ให้พิมพ์แจกจ่ายต่อๆไป (หรือเก็บไว้สวดมนต์เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว) ” หลังจากนั้นหลวงพ่อองค์นั้นได้พิมพ์แจก1000 ใบ หลังจากนั้นประมาณ 3-4 วันเท่านั้น ท่านได้สำเร็จวิชาต่างๆ และคุณโกบินตะ ปนะสารทคุปตาได้พิมพ์แจก 1000 ใบ เขาก็ได้เงินทองที่ถูกหยิบยืมไปคืนมา อีกรายหนึ่งก็พิมพ์แจก 500 ใบ รายนี้เป็นชาวนา วันหนึ่งไปไถนาเขาพบไหใบหนึ่งมีเงินทองเต็มไหไปหมด ส่วนอีกรายหนึ่งก็ได้พิมพ์แจก 100 ใบ เขาก็ถูกล็อตเตอรี่ 1 ล้านบาท อีกรายหนึ่งเป็นคนถีบสามล้อ ก็พิมพ์แจก 650 ใบ เขาก็เจอแจกันทอง อีกรายหนึ่งเป็นคนตกงานไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีคนรับ พอพิมพ์แจก 3-4 วัน เขาก็หางานทำได้เป็นงานดี เงินเดือนมาก และอีกรายได้อ่านแล้วไม่เชื่อจึงฉีกทิ้ง หลังจากนั้นประมาณ 1-2 วัน ลูกชายเขาก็ตาย อีกรายหนึ่งคิดจะพิมพ์แจกและพลัดวันประกันพรุ่งจนเลยกำหนด ผู้นั้นเป็นพ่อค้าขาย ก็ขาดทุนและพ่อเขาก็มาตายจากไปอีกคน อีกรายหนึ่งก็พิมพ์แจก 1000 ใบ ไม่กี่วันเขาก็มีเงินทองแบบไม่น่าเชื่ออยู่ๆก็มีเงินขึ้นมาเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาในโบสถ์ในวัดศิริประสุนาถนี้ ต้องคิดด้วยความสัตย์จริงและศรัทธาอ่าน(หรือส่งต่อๆ ไปทางอีเมล์หรือช่องทางอื่น) อ่านแล้วอย่าฉีกทิ้ง อย่าลบ (หรือหากจะลบควรพิมพ์ออกเก็บไว้เสียก่อนเพื่อเป็นศิริมงคล) ให้แจกต่อๆกันไปด้วยความศรัทธาและเชื่อถือจะเป็นผลดีแก่ตนเองและครอบครัว

(บุคคลใดไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่ คำทำนายนี้มีมานาน ตั่งแต่ยุคสมัยพระเจ้าโอศกมหาราช ใช้ธนุยิงกันโน้นครับ ในยุคสมัยนั้นไม่มีใครรู้ว่าเรือดำน้ำและเครื่องบินหน้าตาเป็นยังไง)

ทุกท่านจงจำไว้เมื่อให้ของผู้ใด อธิฐานในใจว่า กูศลนี้จงได้แก่เทวดาที่รักษาตัวข้าและเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ถ้าไม่อธิฐานจะไม่ได้กุศลในชาตินี้

พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้ว่า ผู้ที่สืบทอดพระพุทธศาสนาก็คือ

บริษัทของพระพุทธเจ้า, คนที่นับถือพระพุทธเจ้าแบ่งเป็น 4 กลุ่ม เรียกว่า บริษัท 4 คือ ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสก และอุบาสิกา มนุษย์ ปถุชนธรรมดานั้นถ้าไม่มีบารมีธรรมแข็งกล้าแต่อดีตชาติแล้วจะไม่มีปัญญาเข้าใจหลักธรรมอันลึกซึ้งของพระพุทธองค์ได้เลย จึงจำเป็นต้องสะสมบารมีกันมาหลายชาติ ดังนั้นพุทธบริษัท 4 จะขาดเสียกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้ ดังเช่นต้นไม้ใหญ่ จำเป็นต้องมี 1.ใบ 2.เปลือก 3.เนื้อ 4.แก่น หากขาดส่วนหนึ่งเสียต้นไม้ต้องล้มตายไป เปรียบเช่น (1.ใบ2. เปลือก=อุบาสก,อุบาสิกา) ( 3.แก่น4.เนื้อ= แก่นภิกขุ,ภิกขุณี ) วิชาโหราศาสตร์ การปลุกเศกพระพทธรูป ฯลฯแม้จะเป็นส่วนของ เปลือกและเนื้อของต้นพุทธศาสนา แต่ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี เพื่อเป็นแนวหน้ากันชน ต่อสู้กับกลุ่มที่จะใช้อาวุธมาทำลายต้นพุทธศาสนา ดังตัวอย่างในประเทศอินเดีย

พระ,นักบวชกับโหราศาสตร์การปลุกเสก มีมาทุกยุคสมัย พระมหาวีรกษัตริย์ไทยทุกพระองค์ เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช,สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ฯลฯ แม่ทัพนายกองทั้งหลาย ในยามที่ออกศึกสงครามปกป้องผืนแผ่นดินไทย รักษาเอกราชของชาติไทย เพื่อให้ลูกหลานไทย ได้มีแผ่นดินไทยซุกหัวนอน ได้ศึกษาเล่าเรียน มาจนทุกวันนี้ ล้วนใช้วิชาทั้งสองนี้เข้าช่วย นอกเหนือจากวิชาการรบ หรือการต่อสู้ป้องกันตัว สมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้วพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวร, สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี, สมเด็จพระสังฆราช (แพ)วัดสุทัศน์,สมเด็จพระสังฆราช (อยู่) ญาโณทัย (พระองค์ท่านเชี่ยวชาญโหราศาสตร์ ) , หรือแม้แต่ เจ้าคุณเฒ่า (พระธรรมจารีมุนีวงศาจารย์) วัดขันเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร และยังมีพระสุปฏิปันโนอีกมากมายฯลฯทุกพระองค์ ทุกท่านที่ได้กล่าวพระนาม หรือนามมานี้ ล้วนแต่เคยปลุกเสก พระเครื่องรางของขลังด้วยกันทั้งสิ้น การปลุกเสกพระพุทธรูปด้วยแล้ว มีมาตั้งแต่สมัยคันธาราฐ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ พระเครื่องกรุต่าง ๆ ในประเทศไทย แทบทุกภูมิภาค มีมากกว่าหนึ่งพันกรุ เขาสร้างและปลุกเสกขึ้นมา เพื่อสืบทอด และ ต่ออายุพระศาสนา ไม่ให้ดับสลาย หรือ สูญหายไปจากประเทศไทย เหมือนกับที่เคยสูญหาย หรือดับสลายหมดไปจากอินเดีย ในราวปี พ.ศ. ๑๗๐๐ ถ้าบรรพชนเหล่านั้น มิได้สรรสร้างสิ่งเหล่านี้ไว้ ป่านนี้ พระพุทธศาสนาในประเทศไทย อาจจะมีโบสถ์เป็นป่า มีพระพุทธเจ้าเพียงชื่อ พระธรรมคำสอนยิ่งผิดเพี้ยนเข้าไปใหญ่ เพราะไม่มีการจารึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในแผ่นใบลาน บรรจุกรุเอาไว้กับพระพุทธรูป และ พระเครื่อง พระเจ้าอโศกมหาราช ท่านทรงสร้างสังเวชนียสถานไว้ ๔ แห่ง อาจมีบุคคลบางท่านอ้างว่าโหราศาสตร์ การปลุกเสกพระเครื่อง ผิดวินัยสงฆ์ฯลฯ ในพระไตรปิฎก แต่ในความเป็นจริงพระไตรปิฎกนั้นเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว และเคยแตกแยกเป็นนิกายต่างๆมากมายบวกกับเคยทำสังคยานา แก้ใขก็อีกหลายครั้ง ดังนี้บุคคลใดจึงไม่ควรนำเอาพระไตรปิฎกมาอ้าง เพื่อ ทำให้คณะสงฆ์แตกแยกกัน และ พระพุทธองค์ ท่านทรงตรัสเอาไว้ก่อนปรินิพพานว่าหากสิกขาบทใดที่ไม่ทันยุค ทันสมัย ขัดขวางต่อการดำรงชีพ หรือ ต้านกระแสสังคม และเป็นอาบัติเพียงเล็กน้อย พระภิกษุสงฆ์ จะเพิกถอนสิกขาบทนั้นๆบ้างก็ได้ ดังนั้นการกระทำของบุคคลใด ที่ไม่ขัดแก่นแท้ ของพระพุทธศาสนา คือ อริยะสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรจ มรรค และเป็นผลดีทำให้เพิ่มจำนวนผู้นับถือพระพุทธศาสนาทำให้หลักแก่น แท้ของพระพุทธศาสนายังอยู่ บุคคลนั้นก็เป็น หนึ่งในพุทธบริษัทอยู่ดี แต่การกระทำใดของบุคคลใดที่อ้างสิ่งใดก็แล้วแต่ๆเป็นการทำให้คณะสงฆ์แตกแยก ทำให้จำนวนผู้นับถือพระพุทธศาสนาน้อยลงบุคคลนั้นไม่ใช้ หนึ่งในพุทธบริษัท4 แต่เป็นบุคคลนอกศาสนา เป็นเดียรถี (แต่ถ้าพระ,นักบวชเป็นหมอดูเก็บเงิน,ปลุกเศกของขลัง เพื่อจำหน่าย ขาย ให้ญาติโยม ,นักบวช ยึดเอาของสงฆ์เช่นกุฎิยึดเป็นของตนเอาไปให้พระเช่ากุฎิ ยึดที่ทางบิณบาตรใว้คนเดียว กลุ่มเดียวก็มีมาก, เก็บค่าน้ำ,แต่ถ้าขนทีวี ตู้เย็นมาใช้ ก็น่าจะเก็บค่าไฟนะ ,การเก็บค่าเช่ากุฎิและยึดที่บิณบาตร น่าจะถือว่าเป็นการเอาเปรียบพุทธศาสนาอย่างน่ารังเกียจไม่คิดถึงเจตนาคนที่เขาเอามาบริจาคให้คณะสงฆ์โดยรวมฟรีๆ อย่างนี้เรียกได้ว่าโกงสถาบันที่ตนอาศัยอยู่กิน สมควรจะมีคนห้ามไว้และตำหนิได้ (พระอริยะที่กล่าวอ้างมาแต่ต้นนั้นท่านไม่ทำขายแต่ทำแจกฟรีต่างหาก และท่านคงไม่เก็บค่าเช่ากุฎิและยึดที่บิณบาตร พระบวชใหม่เหมือนวัดบางวัดในปัจจุบันนี้แน่นอน การเก็บรายได้แบบนี้น่าจะเป็นคนธรรมดาเขาทำกันไม่ใช่พระ)

(ข้อความทั้งหมด อ้างจากหนังสือนิตยสารที่เชื่อถือได้หลายฉบับรวมกัน)

จากข้อความในพุทธทำนายนั้นมีส่วนมากคำพยากรณ์ตรงตามตำราที่



อ. ภัทระ ได้เคยศึกษาเล่าเรียนมา

(เป็นเคล็ดลับวิชาโหราศาสตร์พิเศษ)

เริ่มสงครามโลกครั้งที่1 ดาว เนฟจูน ดาวเสาร์ ดาวมมฤตยู เดินคู่ขนานองศากันทั้งสามดวง ที่ระยะ 28-29-0-1-2-3-4-5 ระยะเวลาเดิน 5-6ปีเท่ากับระยะเวลาการเกิดสงคราม ต่อมา เริ่มสงครามโลกครั้งที่2 ดาว เนฟจูน ดาวเสาร์ ดาวมมฤตยู เดินคู่ขนานองศากันทั้งสามดวง ที่ระยะ 0-1-2-3-4-5-6-7 ระยะเวลาเดิน 5-6ปีเท่ากับระยะเวลาการเกิดสงคราม ต่อมา เศรฐกิจโลกวินาศปี2540 ดาว เนฟจูน ดาวมมฤตยู เดินคู่ขนานองศากัน ที่ระยะ 0-1-2-3-4-5-6-7 ระยะเวลาเดิน 5-6ปีเท่ากับระยะเวลาการสูญเสียของเศฐรกิจ ต่อมา เศรฐกิจโลกประสบปัญหาหนัก ต้นปี 2552ดาว เนฟจูน ดาวมมฤตยู เดินคู่ขนานองศากัน ที่ระยะ29- 0-1-2- ระยะเวลาเดิน ไม่กี่เดือน เท่ากับระยะเวลาการสูญเสียของเศรฐกิจ ต่อไปนี้ อะไรจะเกิดขึ้นครับคิดดู ดาว เนฟจูน ดาวเสาร์ ดาวมฤตยู เดินคู่ขนานองศากันทั้งสามดวง ที่ระยะ 0-1-2-3-4-5-6-7 ระยะเวลาเดิน 5-6ปีเท่ากับระยะเวลาการเกิดสงคราม โลกครั้งที่1 และครั้งที่ 2 ตรงตามในหนังสือพุทธทำนายเลยครับ ต่อให้มีเหตุอื่นมาขัดให้ดีขึ้น เศฐรกิจโลกหลังเมษายน 2553 วินาศแน่นอนครับ

คำพยากรณ์ตามที่ อ. ร่ำเรียนมา มีนาคม2553ผ่านไปดาวพฤหัส จรผ่านหมดกำลังหนุน เศฐรกิจโลกวินาศ หรือสงครามใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในโลกของเรา



อ่านวิธีทำเงินสร้างงาน รายได้ จากคัมภีร์
5 สุริยะจิต

ตำราวิชาการเรียนและศึกษาได้ฟรี(ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างได)

1. ตำราพิชัย การค้า และ การตลาด สร้างเงินร่ำรวย(คลิ๊กที่นี่)

2. งานสิทธิบัตร สร้างรายได้ ทำขายร่ำรวย(คลิ๊กที่นี่)

3. โหราศาสตร์ ระบบTHE star psychology (คลิ๊กที่นี่http://baada.siamvip.com/แม่นยำมากพิสูจน์ได้(โหราศาสตร์ระบบใหม่ล่าสุด ลิขสิทธิ์คนไทย 100%)

สร้างอาชีพนักพยากรณ์ ที่มีเหตุผลแม่นยำ ช่วยเหลือผู้อื่นได้

4. สูตรเลขเสี่ยงโชค หวย คำนวนโดยวิธีการที่แม่นยำที่สุด(คลิ๊กที่นี่) http://toot.siamvip.com/สูตรอัจฉริยะเป็นสูตรระบบธรรมชาติ100% เป็นสูตรจับทางเดินของระบบแม่เหล็กโลก ซึ่งมีผลต่อตัวเลข (ไม่ใช่สูตรจับเลข (จึงไม่มีการหมดอายุ และคำนวณเลขได้ทั่วโลก)สูตรแม่ เล่มเดียว สามารถใช้คำนวณเลขเสี่ยงโชค หวย ได้ทุกชนิดทั่วโลกโดยใช้สูตรและวิธีการเดียวกันในการคำนวณ ต้องการ เลขคำนวณ ล่วงหน้าฟรีๆของประเทศใด ส่งสถิติหวย มาที่ เมล์ข้างล่าง และรอรับเลขสดได้ฟรีๆ (ทุกคนจะได้รับเลขเหมือนกันตัวเดียวกันหมด ผลเลขที่ได้จะเป็นเลขเด่น เลขวิ่ง เลขใกล้เคียง คำนวณ 10 ครั้งจะเข้าสูตรประมาณ 8-9 ครั้ง ครับ ) (ผู้ต้องการศึกษาสูตร มีสูตรแจกฟรี สอนฟรี ดูจากกระทู้ด้านล่างได้ครับ)

5. ตำราพิชัยสงคราม ๙ชั้น ขั้นเทพฯ และการแข่งขัน การกีฬา(คลิ๊กที่นี่)

อาจจะมีบางคนบางกลุ่มสงสัยว่าทำไมอาจารย์เอา หวย โหร. วิชาทำมาหากิน มาปะปนกับธรรมะ เหตุผลก็เพราะว่าการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์เรานั้นไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการปฏิบัติธรรมเพียงอย่างเดียวครับจำเป็นต้องมีปัจจัยสี่และพันธมิตร รวมอยู่ด้วยครับ เรื่องหวย,โหร.นั้นอาจจะเป็นเหตุทำให้คนงมงายเรื่องโชคลาภ แต่ศาสตร์ที่ใช้ในการคำนวนนี้เป็นแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีเหตุผลเข้าใจหลักกฏของธรรมชาติตามความเป็นจริงได้ส่วนหนึ่ง

อ. ภัทระ รับพยากรณ์ดวงชะตา บุคคล บ้านเมือง โลก ทีมแข่งขันฯลฯ รับสอนวิชาโหราศาสตร์ ด้วยเคล็ดลับวิชาโหราศาสตร์ที่แปลกใหม่แนะนำวิธี แก้ดวงร้าย เสดาะเคราะห์ร้ายให้ดีขึ้นได้ผล สอนและตรวจดวงให้ฟรี ขอเลขคำนวณสดฟรี สูตรคำนวณเลขทดสองฟรี ไม่เสียค่าเล่าเรียน

(ทุกรายการไม่มีค่าใช้จ่ายใดทั้งสิ้น)

นักศึกษาที่ไม่เข้าใจตำราทั้งโหราศาสตร์และเลขศาสตร์ หากต้องการสอบถาม อาจารย์.ๆ จะไม่ตอบคำถามให้ทางโทรศัพท์ เพราะว่าปัจจุบัน มีผู้ศึกษาและสอบถามจำนวนมากจึงไม่สามารถตอบได้ทีละคนเพื่อให้มีประโยชน์กับส่วนรวมให้ตั่งกระทู้ถามและรอคำตอบให้นักศึกษาคนอื่นได้อ่านคำตอบด้วยเพื่อการเรียนรู้พร้อมกัน ให้สมัครเรียน โดยการกรอกสมัครสมาชิกแจ้งรายละเอียดให้ครบถ้วน (ต้องแจ้งรหัสเลขบัตรประชาชน 13 หลักด้วย ยกเว้นคนต่างด้าว)

guest profile guest
 
 
5
จะเอาน้ำที่ไหนมาท่วน ฝนตกทั้งปียังไม่ท่วม น้ำแข็งละลายทั้งโลกยังไม่ท่วม  ผมสนับสนุนคำตอบนี้มีเหตุผล
 นำท่วมโลก โลกต้องกลายเป้นนำไปหมดเป็นไปไม่ได้ มนุษย์เราเกิดมาจากน้ำ จะตายเพราะน้ำทั้งหมดถ้าคิดถึงเหตุผล เป็นไปไม่ได้ ถ้าโลกแตกตายเพราะไฟ อย่างนี้เป็นไปได้  หรือดาวอื่นมาชนโลกแล้วสูญพันธ์เหมือนไดโนเสา อย่างนี้เป็นไปได้ เราควรต้องเชื่ออะไรอย่างมีเหตุมีผลครับ พระพุทธเจ้าสอน มนุษย์จะไม่ตายเพราะนำท่วมโลกแต่จะตายเพราะภัยธรรมชาติหลายอย่างรวมกัน และส่วนใหญ่จะตายเพราะมนุษย์ด้วยกันเอง และหายนะของเศรฐกิจโลก ก็เกิดจากมือมนุษย์ที่มุ่งแต่จะเอาเปรียบกันทำลายเบียดเบียนกันแย่งกันกินจนเศรฐกิจวินาศอุบัติภัยฯลฯ จะได้เห็นในปี 2553 นี่แหละครับ ไม่ถึงปี 2012 หรอก ศึกษาคำพยากรณ์จากสถิติได้ จากเว็บนี้


เชื่อเหตุผลและวิทยาสาสตรืดีที่สุด เพราะพิสุจนืแล้ว การพยากรณ์อากาศ้คือการพยากรร์  ปัจจุบันการพยากรร์มีหลายแบบ เช่นพยากรรือากาศ ดุดวงก้คือการพยากรณื การที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อถ้ามีเหตุผลก็ต้องพิสุจนื ตำราโรศาตร์มีทั้งของจริง ของเด็กเล่น อยู่ที่ว่าเราชอบอะไร ถ้าเป็นของเล่น ก็เป็นตำราที่ไม่ยอมพิสูจน์ไม่อ้างวิชาการ พยากรณ์แต่ละครั้งเรื่องเดียวกันแต่ทายไม่เหมือนกัน ซึ่งสังเกตุได้ง่ายๆ ถ้าจะยอมสังเกตุ แต่จะขอยกตัวอย่างตำราที่ยอมให้วิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ ได้

การดูดวง กลุ่มประเทศ และดวงโลกนั้นสามารถดูได้อย่างแม่นยำละเอียด แต่เนื่องด้วยจำกัดเรื่องเวลาของ อาจารย์ และไม่ได้รับการสนับสนุน จากองกรณ์ หรือบุคคลได และบุคคลทั่วไปก็ยังไม่เชื่อถือในหลักวิชานี้ จึงเป็นปัญหาในการที่จะแสดงข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ ถึงจะแสดงไปก็หาคนที่จะทำตามได้ยาก วิชาการที่ดีที่ถูกต้อง มักขัดกับกระแสโลกเสมอ ทุกยุคทุกสมัย

ตัวอย่างการพยากรณ์ที่แม่นยำไม่เคยผิดพลาดโดยการใช้ตำรานี้เช่น

1. เคยพยากรณ์ว่า วันที่1-7 ตุลา กลุ่มพันธมิตรจะถูกทำร้าย  ก็เป็นจริงดังตำรา

2. เคยพยากรณ์ว่า วันที่12--13 เมษา 52 กลุ่มเสื้อแดงจะถูกทำลายพ่ายแพ้ อาจารย์เคยเข้าไปพยากรณ์ในกลุ่มเสื้อแดงวันที่ 12 โดนตะเพิดออกจากกลุ่ม  ห้ามก็ไม่มีใครฟัง

3.เคยเข้าไปพยากรณ์ในกลุ่มเสื้อแดงวันที่ชุมนุม ศาลากลางกทม. บอกพรรคถูกยุบแน่  ถ้าดูจากดาวในวันนั้นชัดเจน

4.เคยเข้าไปพยากรณ์ พรรคไทยรักไทย ถูกยุบแน่นอน

5. เดือน พ.ย. 2552 พยากรณ์ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลไทย ช่วงเดือน ปลายปี2552 ปีใหม่2553รัฐบาลเดิมปกครอง
ต่อ เนื่อง ตกลงรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมณตรี เป็น นายกอภิสิทธิ์ 2  ประมาณช่วงวันที่3-6 มกราคม ปี53 ปีใหม่พอดี

6. พยากรณ์ล่วงหน้า มีนาคม2553 สีแดงชุมนุมใหญ่แต่ไม่ชนะ  ถ้าสีแดงไม่ชุมนุมช่วงนี้ต้องรออีกหลายเดือนเพราะจะไม่มีกำลังหนุน  ต้องรอดาว พฤหัสจรที่ 27 - 29 องศา ถึงจะมีกำลังบ้าง ยังไม่ถึง


7. หลังเมษายน 2553 ผ่านไปดาวพฤหัส จรผ่านหมดกำลังหนุน เศฐรกิจโลกวินาศ หรือสงครามใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในโลกของเรา ยังไม่ถึง

8.ดาว 8-7-P  โดยเฉพาะดาว 8 จรเปลี่ยนราศรี เข้ามุมองศา ของ รัฐบาลปัจจุบัน หลังจากวันนี้ ดาว 5-6 จรเปลี่ยนมุม รัฐบาลนี้จะถูกโจมตีอย่างหนัก  แต่จะยังอยู่ได้เพราะ ดาว 9 ที่สนับสนุนครับ แต่อยู่ลำบากมาก กำลังเป็นอยู่

9. การพยากรณ์คือการพยากรณ์ อาจารย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองฝ่ายไดทั้งสิ้น ไม่มีจุดประสงค์ทางการเมืองแต่อย่างได เป็นเพียงหลักวิชาการเพื่อผู้ที่สนใจศึกษาวิชาการตามตำราเท่านั้น

HTTP://SITES.GOOGLE.COM/SITE/MOOOOO999/ศึกษาวิธีการพยากรณ์และข้อมูลได้ที่นี่

guest profile guest
เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2553 21:29 [xx.84.14.178] [แจ้งลบ] ความเห็นที่ #2
ตอบอ้างอิงกระทู้นี้
การดูดวง กลุ่มประเทศ และดวงโลกนั้นสามารถดูได้อย่างแม่นยำละเอียด แต่เนื่องด้วยจำกัดเรื่องเวลาของ อาจารย์ และไม่ได้รับการสนับสนุน จากองกรณ์ หรือบุคคลได และบุคคลทั่วไปก็ยังไม่เชื่อถือในหลักวิชานี้ จึงเป็นปัญหาในการที่จะแสดงข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ ถึงจะแสดงไปก็หาคนที่จะทำตามได้ยาก วิชาการที่ดีที่ถูกต้อง มักขัดกับกระแสโลกเสมอ ทุกยุคทุกสมัย

ตัวอย่างการพยากรณ์ที่แม่นยำไม่เคยผิดพลาดโดยการใช้ตำรานี้เช่น

คำพยากรณ์ล่วงหน้าหลายเดือน
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=25a3f2f93e29eefc ดูคำพยากรณ์ล่วงหน้าหลายเดือนได้ที่ลิงค์นี้

1. เคยพยากรณ์ว่า วันที่1-7 ตุลา กลุ่มพันธมิตรจะถูกทำร้าย  ก็เป็นจริงดังตำรา

2. เคยพยากรณ์ว่า วันที่12--13 เมษา 52 กลุ่มเสื้อแดงจะถูกทำลายพ่ายแพ้ อาจารย์เคยเข้าไปพยากรณ์ในกลุ่มเสื้อแดงวันที่ 12 โดนตะเพิดออกจากกลุ่ม  ห้ามก็ไม่มีใครฟัง

3.เคยเข้าไปพยากรณ์ในกลุ่มเสื้อแดงวันที่ชุมนุม ศาลากลางกทม. บอกพรรคถูกยุบแน่  ถ้าดูจากดาวในวันนั้นชัดเจน

4.เคยเข้าไปพยากรณ์ พรรคไทยรักไทย ถูกยุบแน่นอน

5. เดือน พ.ย. 2552 พยากรณ์ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลไทย ช่วงเดือน ปลายปี2552 ปีใหม่2553รัฐบาลเดิมปกครอง
ต่อ เนื่อง ตกลงรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมณตรี เป็น นายกอภิสิทธิ์ 2  ประมาณช่วงวันที่3-6 มกราคม ปี53 ปีใหม่พอดี

6. พยากรณ์ล่วงหน้า มีนาคม2553 สีแดงชุมนุมใหญ่แต่ไม่ชนะ  ถ้าสีแดงไม่ชุมนุมช่วงนี้ต้องรออีกหลายเดือนเพราะจะไม่มีกำลังหนุน  ต้องรอดาว พฤหัสจรที่ 27 - 29 องศา ถึงจะมีกำลังบ้าง ยังไม่ถึง


7. หลังเมษายน 2553 ผ่านไปดาวพฤหัส จรผ่านหมดกำลังหนุน เศฐรกิจโลกวินาศ หรือสงครามใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในโลกของเรา ยังไม่ถึง

8.ดาว 8-7-p  โดยเฉพาะดาว 8 จรเปลี่ยนราศรี เข้ามุมองศา ของ รัฐบาลปัจจุบัน หลังจากวันนี้ ดาว 5-6 จรเปลี่ยนมุม รัฐบาลนี้จะถูกโจมตีอย่างหนัก  แต่จะยังอยู่ได้เพราะ ดาว 9 ที่สนับสนุนครับ แต่อยู่ลำบากมาก กำลังเป็นอยู่

9. การพยากรณ์คือการพยากรณ์ อาจารย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองฝ่ายไดทั้งสิ้น ไม่มีจุดประสงค์ทางการเมืองแต่อย่างได เป็นเพียงหลักวิชาการเพื่อผู้ที่สนใจศึกษาวิชาการตามตำราเท่านั้น
guest profile guest

อริยสัจ ๔ (ความจริงอันประเสริฐ)

๑. ทุกข์ ...ทุกข์ คือความไม่สบายกาย ไม่

สบายใจต่าง ๆ เพราะเป็นของทนได้ยาก

๒. ทุกขสมุทัย ..สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ได้แก่ตัณหาความทะยานอยาก

๓. ทุกขนิโรธ ..นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับตัณหาได้หมดสิ้น

๔. ทุกขนิโรธคามินีปฎิปทา... มรรค คือ ข้อปฎิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่มรรค์มีองค์ ๘

ความทะยานอยาก หมกมุ่นในกามคุณ ๑

การปฏิบัติเพื่อทรมาณหรือเบียดเบียนตัวเอง และผู้อื่นให้เดือนร้อน ๑

...การกระทำทั้งสองอย่างนี้ ...มิใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์

“บุคคลผู้มีสติ ยังไม่พ้นเวร การควบคุมสติเพื่อให้เกิดปัญญารู้ชัดตามสภาวะ

ธรรมที่แท้จริง จึงได้ชื่อว่า ผู้พ้นบ่วงแห่งมาร”

“ม้าพันธุ์ดี..โดนแส้เพียงแค่ครั้งเดียว ย่อมวิ่งแล่นไปถึงเส้นชัย

บุคคลผู้รู้การเกิดนี่เป็นทุกข์เพียงแค่ครั้งเดียว ย่อมเข้าถึง..นิพพาน”

โลกุตระธรรม ทั้ง ๙

นิพพาน นั้นคืออะไร

ผู้ใดกล่าวว่านิพพานนั้นมีอยู่ ผู้นั้นย่อมไปได้ไม่ถึงนิพพาน

แต่หากผู้ใดกล่าวว่านิพพานนั้นไม่มีอยู่ ก็จะหาหนทางเข้าสู่นิพพานไม่ได้

นิพพานนั้นไม่มี เราสมมุติชื่อมันว่า นิพพาน

นิพพาน นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

ธรรมทาน อามิสทาน อภัยทาน

ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ

พรหมโลก เทวโลก มนุษย์ อบายภูมิ

ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ คือ ร่างกายเรา

อากาศธาตุ คือ อากาศรอบตัวเรา

วิญญาณธาตุ คือ ธาตุรู้

ธรรมทาน นั้นมีอานิสงส์สูงสุด เวลาตัวเราแสดงธรรม (ตัวเรา หมายถึง ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ)

ธาตุที่ออกจากกายเรานั้นคือ ธาตุลม เมื่อธาตุลม ออกมาจากร่าง ก็สลายตัวออกไปกับอากาศธาตุ ธรรมนั้นก็กลายเป็นอนัตตา นั้นหมายความว่า สภาวะโลกกับสภาวธรรมนั้นย่อมไปในทางเดียวกัน ท้าวเวชสุวรรณมีสมุดบันทึกบัญชีอยู่เล่มหนึ่ง ด้านหนึ่งบันทึกความดี อีกด้านหนึ่งบันทึกความชั่วของคนๆ หนึ่งไว้ เมื่อธรรมกลายเป็นอนัตตา หรือสลายตัวไปในบรรยากาศโลก วิญญาณที่เป็นตัวรู้ก็ไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมุดบันทึกบัญชีของท้าวเวชสุวรรณได้ เมื่อตัวเราตายไป ก็สลายตัวกลับสู่สภาวะโลก (คือการสลายตัว ของธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ) เมื่อวิญญาณไม่มีธาตุตัวรู้ที่จะไปเกิดยังภพภูมิต่างๆ วิญญาณนั้นก็ดับลง เมื่อวิญญาณดับลง จิตก็ดับตาม นี่คือวิธีการที่พระพุทธเจ้าใช้ในการเข้าสู่นิพพาน คือ การใช้จิตที่บริสุทธิ์และวิธีการสั่งสอนคนเพื่อให้เป็นคนดีนั่นเอง เป็นการส่งต่อระหว่างขันธ์ต่อขันธ์ เพราะสุดท้ายทุกคนย่อมตายเหมือนกัน

นี่คือวิธีการที่ลบรูปลบนาม ดับสนิทไม่มีส่วนเหลืออย่างแท้จริง

สุดท้ายก็กลายเป็นการหลับสนิท ไม่ตื่นขึ้นมาพบกับความทุกข์อีก

เปรียบเหมือนเวลาที่เราอยู่เฉยๆ โดยไม่ได้ทำอะไร เมื่อเราไม่ทำความดี ภูมิที่ดีก็ไม่มีให้เราไปเกิด (หมายถึง ภูมิของชั้นเทวดาและชั้นพรหม) หากเราไม่ทำความชั่ว ก็ไม่ตกไปยังอบายภูมิ แต่จะทำอย่างไรเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ พระพุทธเจ้าก็เลยให้เราอยู่โดยการเดินทางตามมรรคมีองค์ ๘ ก็คือทางแห่งการพ้นทุกข์

๑. ความเห็นถูกต้องที่จะเดินตามอริยสัจ ๔ (มรรคมีองค์ ๘)

๒. ความดำริชอบ

* ในการออกจากกาม

* ในการไม่มุ่งร้าย

* ในการไม่เบียดเบียน

๓.การพูดจาชอบ

* ไม่พูดเท็จ

* ไม่พูดคำหยาบ

* ไม่พูดส่อเสียด

* ไม่พูดเพ้อเจ้อ

๔. การทำการงานชอบ

* เว้นจากการฆ่าสัตว์

* เว้นจากการลักทรัพย์

* เว้นจากการประพฤติผิดในกาม

๕. การเลี้ยงชีวิตชอบ

* ความซื่อสัตย์สุจริต

๖. ความพากเพียรชอบ

* ความเพียรที่จะเผากิเลส

๗. ความระลึกชอบ

* ความรู้ที่มีสิ่งกระทบ แล้วถอนความพอใจและไม่พอใจออกเสีย

๘. ความตั้งใจมั่นชอบ

* นั่นคือ สมาธิ

ในอริยมรรค ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ นั้นทำความเข้าใจง่าย (ก็คือศีลมาตรฐาน หรือ ศีล ๕ และสติปัฎฐาน ๔ ) ส่วน อริยมรรค ๖ ๗ และ ๘ ที่จะอธิบายต่อไปนี้ ก็คือ มหาสติปัฏฐานสูตร นั่นเอง

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจ ระหว่างสติปัฏฐาน ๔ กับมหาสติปัฏฐานสูตรก่อน ว่ามันต่างกันอย่างไร

สติปัฏฐาน ๔ คือ การรู้ว่าตัวเรารู้สึกอย่างไร

มหาสติปัฏฐานสูตร คือ สิ่งใดที่เข้ามากระทบกับตัวเราแล้วทำให้เรารู้สึกสุขหรือทุกข์

สติปัฏฐาน ๔

กาย สุข หรือ ทุกข์ อุเบกขา

เวทนา สุข หรือ ทุกข์ อุเบกขา

จิต กุศลหรืออกุศล อุเบกขา

ธรรม กุศลหรืออกุศล อุเบกขา

มหาสติปัฎฐานสูตร

กายในกาย

เวทนาในเวทนา

จิตในจิต

ธรรมในธรรม

เป็นการจับคู่ของอายตนะภายนอกซึ่งส่งต่อมายังอายตนะภายใน (อาการ 12) ซึ่งทำให้เราเห็นจิตที่เป็นกุศลและอกุศลอย่างชัดเจน

อายตนะ ๑๒ คือ

ตา สิ่งที่มากระทบคือ รูป

หู สิ่งที่มากระทบคือ เสียง

จมูก สิ่งที่มากระทบคือ กลิ่น

ลิ้น สิ่งที่มากระทบคือ รส

กาย สิ่งที่มากระทบคือ สัมผัส

ใจ สิ่งที่มากระทบคือ อารมณ์

มหาสติปัฏฐาน ๔ จะเปรียบเทียบถึงอาหารจานหนึ่งให้ฟัง

รูปไม่สวยแต่อาหารอร่อย รูปสวยแต่อาหารไม่อร่อย

รูปไม่สวยอาหารก็ไม่อร่อย รูปสวยอาหารก็อร่อย

จะเปรียบเทียบ ในสูตรของรูปไม่สวยแต่อาหารอร่อยให้พิจารณา

เมื่อเราเข้าไปร้านอาหารร้านหนึ่ง เมื่ออาหารมาอยู่ตรงหน้า กับมองเห็นรูปที่ไม่สวย (หมายถึงทำไม่น่ากิน) เกิดสัมผัสแรกคือทางตา ทำให้จิตเราคิดไปว่า ทำไม่น่ากินคงจะไม่อร่อย แต่เมื่อเราลองกินเข้าไปแล้ว อาหารกับอร่อย ซึ่งไม่เหมือนกับ ความรู้สึกแรก นั่นคือการที่เราไปปรุงแต่งรูป ทำให้เกิดทุกข์ แต่เมื่อเรากินข้าวไปแล้ว ลิ้นเมื่อลองรสแล้วรู้สึกอร่อย ก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกทางด้านความสุข เพราะฉะนั้นเราจะเห็นการพิจารณากายในกาย ก็คือ ตาทำหน้าที่ปรุง

แต่งด้านทุกข์ ส่วนลิ้นทำหน้าที่รับความสุข สุขและทุกข์นั้นแหละ คือเวทนาในเวทนา จิตสองตัวก็จะทำหน้าที่สลับกัน คือสุข ก็คือกุศล และทุกข์ ก็คืออกุศล จิตที่เป็นกุศลและอกุศลนั้นแหละก็คือ ธรรมในธรรมและนี่คือ มรรค ๗ (ความระลึกชอบ) ก็คือ ฝ่ายหนึ่งคือความพอใจ อีกฝ่ายหนึ่ง คือความไม่พอใจ เราจึงถอนความพอใจ และความไม่พอใจออกพร้อมกันในคราวเดียว ชี้ให้เห็นว่าการที่เราเอาจิตไปสัมผัสอะไรสักอย่าง มันจะต้องมีทั้งสุขและทุกข์ คือเราจะรู้สึกทุกข์และเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (ซึ่งเราเป็นผู้ปรุงแต่งมันทั้งสิ้น)

* แต่เมื่อเรา เจอทั้งรูปสวยและอาหารอร่อย ก็คือ เป็นกุศลทั้งสองฝั่ง เราควรพอกพูนอาการนั้นไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นยากในโลกใบนี้

* แต่เมื่อเรา เจอรูปไม่สวยแต่อาหารอร่อย ก็คือ ฝึกให้เราไม่ปรุงแต่งทางตา เพราะเอตักตา หรือตัวรู้นั้นมีให้รู้ว่า เนื้อแท้ของสิ่งๆ นั้นคืออะไร คือคุณค่าที่แท้จริงของอาหาร คือ ความอร่อยและประโยชน์ที่ได้รับ

* แต่เมื่อเรา เจอรูปสวยแต่อาหารไม่อร่อย (โดยจิตปกติของมนุษย์จะคิดว่า เมื่อรูปสวยอาหารต้องอร่อยแน่ นั่นแหล่ะ ! ที่เราเรียกว่าการยึดมั่นถือมั่นในรูป) แต่เพียงแค่เราเข้าไปลองชิมครั้งเดียว เราก็ไม่อยากเข้าอีก (แต่ก็ยังคงมีคนหลงในรูปเข้าไปกิน แต่ไม่นานร้านนี้ก็จะถูกปิด)

* แต่เมื่อเรา เจอทั้งรูปไม่สวยและอาหารไม่อร่อย ร้านนั้นจะถูกปิดในไม่ช้า นั้นหมายถึง เป็นอกุศลทั้งรูปและนามและนี่คือ มรรค ๖ (ความเพียรชอบ) ที่จะละอกุศลธรรมที่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น และประคองกุศลธรรมที่เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้นหลักพุทธศาสนาที่ถูกก็คือ ให้เราอยู่กับสิ่งดี แล้วหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ไม่ดี ดั่งปรากฏในมงคล ๓๘ ว่า

การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ บูชาคนที่ควรบูชา ๑

อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ๑ ทำความดีไว้ให้พร้อม ๑ ตั้งตนไว้ในที่ชอบ ๑

เล่าเรียนศึกษามาก ๑ มีความชำนาญในวิชาชีพของตน ๑ มีระเบียบวินัย ๑ รู้จักใช้วาจาให้ได้ผลดี ๑

บำรุงบิดามารดา ๑ สงเคราะห์บุตร ๑ สงเคราะห์ภรรยา ๑ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ๑

บริจาคสงเคราะห์และบำเพ็ญประโยชน์ ๑ ดำรงอยู่ในศีลธรรม ๑ สงเคราะห์ญาติ ๑ อาชีพสุจริต

กิจกรรมที่มีประโยชน์ ๑

เว้นจากความชั่ว ๑ เว้นจากสิ่งเสพติด ๑ ไม่ประมาทในธรรม ๑ รู้จักคุณค่าบุคคลและสิ่งของ ๑ ความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ๑ ความสันโดษพึงพอใจในผลสำเร็จและปัจจัยที่หามาได้ด้วยความพยายามของตนเองโดยชอบธรรม ๑ มีความกตัญญู ๑ หาโอกาสฟังธรรมแสวงหาหลักความจริง ๑

มีความอดทน ๑ เป็นผู้ว่านอนสอนง่ายฟังเหตุผล ๑ พบเห็นสมณะเข้าเยี่ยมเยียน ๑ สนทนาธรรมตามกาลเวลา ๑

รู้จักควบคุมตนเอง ๑ ประพฤติพรหมจรรย์ ๑ รู้แจ้งอริยสัจสี่ ๑ ทำพระนิพพานให้แจ้ง ๑

ถูกโลกธรรมจิตไม่หวั่นไหว ๑ จิตไร้เศร้า ๑ จิตปราศจากธุลี ๑ จิตเกษม ๑

นี่เป็นมงคลอันอุดม เทวมนุษย์ทั้งหลายกระทำมงคลเช่นนี้แล้วย่อมเป็นผู้ไม่ปราชัยในทุกสถาน ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง นี้คืออุดมมงคลของเทวมนุษย์เหล่านั้น

เหมือนกับการที่ท่านให้เราเพ่งน้ำ เพื่อให้เกิดสมาธิ แต่หลายคนเพ่งก็อยากมีอิทธิฤทธิ์ แต่แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าให้เราฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นสมถกรรมฐาน ซึ่งจะยกตัวเองขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐานต่อไป คือเมื่อเรามองดูน้ำแล้ว ก็ให้เรารู้ว่าประโยชน์ของน้ำนั้นใช้ดื่มกิน พระพุทธองค์ไม่ให้เราเอาเศษขยะและถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงในแม่น้ำลำคลอง เพราะจะทำให้น้ำสกปรก พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้เราใช้เครื่องกรองน้ำ เพื่อกรองเอาสิ่งสกปรกออกจากน้ำให้เราดื่มกิน นั่นหมายถึงท่านให้เรานำสิ่งที่ดีเข้าตัว แล้วกรองนำสิ่งที่ชั่วออกไป พระพุทธองค์ไม่เอาสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลให้ปนเปื้อนกัน และการแยกแยะเหล่านี้แหล่ะคือที่มาของศีล

เพราะแท้จริงแล้ว การรักษาศีลหรือพรหมจรรย์ คือความปกติที่ดีของชีวิต โดยมีหิริโอตตัปปะ (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) เป็นตัวสติ (ความระลึกรู้) เพื่อไม่ให้เราละเมิดศีล ซึ่งเปรียบเหมือนรั้วกั้นไม่ให้เราไม่ตกไปในที่ชั่ว (อบายภูมิ)

“ศีล เป็นเยี่ยมที่สุดในโลก”

อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา ๑

อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบ ๆ กันมา ๑

อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้ ๑

อย่าได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา ๑

อย่าได้เชื่อถือ โดยเดาเอาเอง ๑

อย่าได้เชื่อถือ โดยคาดคะเน ๑

อย่าได้เชื่อถือ โดยความตรึกตามอาการ ๑

อย่าได้เชื่อถือ โดยชอบใจว่าต้องกับทิฐิของตัว ๑

อย่าได้เชื่อถือ โดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ ๑

อย่าได้เชื่อถือ โดยความนับถือว่าสมณะนี้คือครูของเรา ๑

เมื่อใด พึงรู้ด้วยตนเองว่าธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษเป็นต้นแล้ว

จึงควรละหรือเข้าถึงธรรมนั้น

ต่อไปเราจะใช้อริยมรรค ๖ และ ๗ ทำให้เกิดอริยมรรค ๘ นั่นคือฌานทั้ง ๔ และวิปัสสนาญาณทั้ง ๑๖ กรรมฐาน

ฌาน ๑ ปฐมฌาน วิตก วิจารณ์ ปิติ สุข

ฌาน ๒ ทุติยฌาน ปิติ สุข

ฌาน ๓ ตติยฌาน วางเฉย สติ ปกติ แสวงสุขด้วย นามกาย (ความสุขใจ)

ฌาน ๔ จตุตถฌาน เพราะละสุข ละทุกข์เสียได้

เพราะรู้ว่าธรรมชาติเป็นอย่างนั้น ประโยชน์ของมันคือสิ่งๆ นั้นกุศลธรรมในตัวมันคือสิ่งนั้น

๑.รู้จำแนกรูปและนาม

๒. รู้เหตุปัจจัยของรูปนาม

๓. พิจารณารูปนามโดยความเป็นไตรลักษณ์

๔. ตามเห็นความเกิดดับของสังขาร

๕. ตามเห็นความดับหลายของสังขาร

๖. เห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว

๗. เห็นสังขารทั้งปวงว่าเป็นทุกข์

๘. เกิดความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัด

๙. ปรารถนาจะพ้นไปเสียจากสังขาร เหล่านั้น

๑๐. พิจารณามองหาอุบายออกจากทุกข์ (การมองโลกในแง่ดี)

๑๑. พิจารณาความวางเฉยโดยความเป็นกลาง

๑๒. หยั่งรู้ความวางเฉยความเป็นไตรลักษณ์

๑๓.ข้ามพ้นจากภาวะปุถุชนเข้าสู่ภาวะอริยะบุคคล ๑๔.ความหยั่งรู้ความสำเร็จของบุคคลในแต่ละขั้น

๑๕. ความหยั่งรู่ที่เป็นผลสำเร็จของพระอริยะบุคคลในขั้นนั้น . ๑๖. พิจารณาทบทวนกิเลสที่ละได้และกิเลส ที่เหลือ

ย้อนกลับไปในเรื่องการพิจารณาในเรื่องของอาหาร เราจะเห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน ทั้งการปรุงแต่งทั้งรูปและนาม นั่นก็คือการจำแนกรูปและนามอย่างชัดเจน หรือฌาน ๑ ก็คือ วิตก วิจารณ์ การปรุงแต่งทางตา และการปรุงแต่งทางลิ้น การบรรลุธรรมนั้น ไวยิ่งกว่าแมลงกระพือปลีก เมื่อเราใช้การนำเอากุศลมาซ้อนทับอกุศลไม่ให้เกิด ก็คือให้พิจารณา ถึงแม้รูปจะไม่สวย แต่อาหารก็อร่อย นั้นคือตัวรู้ของประโยชน์ในสิ่งนั้นอย่างแท้จริง จะไม่สนใจในรูปเพราะเราเข้าใจธรรมชาติของมัน แล้วก็ละตัวรู้นั้น (เหมือนเมื่อเรากินอาหารเข้าไปแล้ว ในคำแรก รู้ว่ารสชาติมันอร่อย คำต่อไปก็ไม่ต้องพิจารณาอีก) ดั่งที่กล่าวมาข้างต้น ฌาน ๑ ถึง ๔ จะทำงานโดยอัตโนมัติ พร้อมกับวิปัสสนาฌานตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๖ ก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ เช่นกันกล่าวง่ายๆ ก็คือว่า การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ

ก็คือการมองโลกในแง่ดี อริยะอยู่ที่ใจ (มิใช่ที่ผ้า มันเป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติเท่านั้น)

การไม่ทำบาปทั้งปวง ก็คือ การเป็นคนดี

การทำกุศลให้ถึงพร้อม ก็คือ เป็นตัวอย่างที่ดี และสอนคนเป็นคนดี

การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ก็คือ การมองโลกในแง่ดี

ธรรม ๓ อย่างนี้ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ขันติคือความอดกลั้น, เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง,

ผู้รู้ทั้งหลาย, กล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอย่างยิ่ง,

ผู้กำจัดสัตว์อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย,

ผู้ทำสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย,

การไม่พูดร้าย, การไม่ทำร้าย,

การสำรวมในปาติโมกข์,

ความเป็นผู้รู้ประมาณ ในการบริโภค,

การนอน การนั่ง ในที่อันสงัด,

ความหมั่นประกอบ ในการทำจิตให้ยิ่ง,

ธรรม ๖ อย่างนี้, เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย,

นั่นคือโลกุตรธรรม ๘

ส่วนโลกุตรธรรม ๙ ก็คือ การที่เราเจอสิ่งที่ดีเป็นเรื่องปกติ และไม่ทำชั่วเป็นเรื่องปกติ ให้สิ่งที่ดีเป็นสิ่งปกติในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตของเรา จนเกิดความเบื่อหน่าย เพราะรู้แจ้งแล้วว่ามีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีซ่อนอยู่ในตัวมัน ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัด จงทำความดีแต่พอดี ก็จะไม่ยึดติดผลของความดี อย่าทำจนกลายเป็นแข่งดี เสร็จแล้ว ก็มาทะเลาะกันว่าเราดีกว่า กลายเป็นพูดส่อเสียด ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอีก การที่ทำคนดีให้แตกแยกกันนั้น ถือว่าเป็นกรรมหนัก ตามหลักพุทธศาสนา ห้ามสวรรค์และนิพพาน จะเห็นได้ว่า แม้ความดีที่มนุษย์พากเพียรทำ ก็ยังเป็นกิเลสตัวสำคัญของมนุษย์

คิดดี พูดดี ทำดี มองโลกในแง่ดี ที่สำคัญทำแต่พอดี นั่นแหล่ะที่เราเรียกกันว่า ทางสายกลาง

โสดาบัน นั้นหมายถึง คนทำผิดและยอมรับผิด (ย่อมปิดอบายภูมิ)

สกิทาคามี นั่นหมายถึง เริ่มเลิกทำผิด แต่ยังพลาดไปบ้างเพราะยังขาดสมาธิในการควบคุมสติ

อนาคามี นั่นหมายถึง คนที่ดีแล้วแต่สอนคนอื่นไม่ได้ เทียบกับสมาธิค่อนข้างดี แต่ยังขาดปัญญา

ในการนำพาผู้อื่น

อรหันต์ นั่นหมายถึง คนดีที่สอนคนอื่นได้ เทียบกับสมาธิที่ดีเยี่ยม ประกอบกับปัญญา นำพาคน

หลุดพ้นข้ามอวิชชาไปได้

เมื่อคนที่ทำผิดแล้วยอมรับผิด ไม่นานเขาก็มีความละอายและความสำนึก สิ่งๆ นี้ เขาจึงต้องรู้จักควบคุมตัวเองและมีสมาธิที่ดีขึ้น และสุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นอรหันต์ได้ในไม่ช้า

บุคคลละธรรม ๑๐ อย่างได้ควรเป็นอรหันต์

ความกำหนัดยินดี ๑ ความคิดประทุษร้าย ๑

ความหลง ๑ ความโกรธ ๑

ความผูกโกรธ ๑ ความลบหลู่บุญคุณท่าน ๑

ความตีเสมอ ๑ ความริษยา ๑

ความตระหนี่ ๑ ความถือตัว ๑

“ผมหงอก พรรษามาก ไม่ได้ทำให้เป็นพระเถระเพราะเพียงอายุมากอาจเรียกได้ว่า คนแก่เปล่า

ผู้ใดมีสัจจะ มีคุณธรรม อันมลทินครอบงำมิได้ จึงเป็น พระเถระ”

“ความดีเป็นเรื่องง่ายของ บัณฑิต แต่เป็นเรื่องยากของ คนพาล

คนพาลรู้ตัวว่าเป็นคนพาล ย่อมกลายเป็นบัณฑิตได้ เพราะเหตุนั้น

แต่ คนพาลที่คิดว่าตัวเองเป็นบัณฑิต เป็นคนโง่ โดยแท้ เพราะเหตุนั้น”

บรรดาทางทั้งหลาย...

มรรคมีองค์แปด ประเสริฐที่สุด

บรรดาบททั้งหลาย...

บทที่สี่ คืออริยสัจ ประเสริฐที่สุด

บรรดาธรรมทั้งหลาย…..

วิราคะ คือ การปราศจากความกำหนัดยินดี ประเสริฐที่สุด

บรรดาสัตว์สองเท้า…..

พระตถาคตเจ้าผู้มีจักษุ ประเสริฐที่สุด

มรรคมีองค์แปดนี่แลเป็นไปเพื่อทรรศนะอันบริสุทธิ์หาใช่ทางอื่นไม่

เธอทั้งหลายจงเดินไปตามมรรคมีองค์แปดนี้

อันเป็นทางที่ทำมารให้หลง ติดตามมิได้

เธอทั้งหลายจงตั้งใจปฎิบัติ เพื่อทำทุกข์ให้สิ้นไป

“การให้ทานนั้นถือเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แม้..บัณฑิต เทวดา พรหม พึงสรรเสริญบุคคลผู้ให้ทาน แต่มีสิ่งที่ประเสริฐกว่า นั้นคือ พระนิพพาน เพราะเป็นบรมธรรมอันสูงสุด การแสดงธรรมมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้บรรลุไปถึงจุดหมาย คือ นิพพาน ซึ่งเป็นไปเพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง”

“ ทำความดีอย่ายึดติด ผลของความดี ภูมิที่ดีก็ไม่มีให้ไปเกิด หมายถึง (ชั้นเทวดาและ

ชั้นพรหม) ไม่ทำความชั่วก็ไม่ตกลงสู่อบายภูมิ หนทางนี้แล....ดับขันธ์นิพพาน”

ศรีอารย์......

guest profile guest
ข้อความ มีความหมายดีมากครับ
bohhh9 profile bohhh9
rr

guest profile guest
ทำไมโลกในเนต ถึงมีแต่คนเรวโง่เขลา เรียนรับรู้สิ่งดีๆไม่ได้ และยังถ่วงความเจริญและคอยแต่สร้างปัญหาครับอาจารย์

อยากพบและคุยกับอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ใหญ่คือใครครับ
bohhh9 profile bohhh9
อ.
bohhh9 profile bohhh9
 

ก็เป็นจริงอย่างที่คุณบอกนั่นแหละครับคนอื่นส่วนใหญ่เขาก้รู้เหมือนคุณเขาถึงสร้างระบบป้องกันภัยต่างๆขึ้นมามากมายเช่นโปรแกรมป้องกันไวรัส , เสปม ฯลฯ เพื่อป้องกันตัวเองแม้แต่ระบบสมาชิกและอื่นๆอีกมากก็เป็นระบบป้องกันตัวเองทั้งนั้นที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าคนเรวนั้นมีมากมายจริงๆเหมือนที่คุณบอกไม่ใช่เฉพาะในเนตหรอกครับ มีทุกวงการและส่วนมากเราก็รู้ชัดเจนว่าเป็นฝีมือใคร แต่เราก็ไม่ได้ดำเนินการได เพราะความเมตตาจิตแก่สัตว์ผู้โง่และไม่รู้ ดี ชั่ว คุณไม่ต้องทำอะไรให้พยายามเก็บหลักฐานให้ชัดเจนแล้วดำการไปตามระบบเท่านั้นก็พอครับ 

ลองอ่านให้จบแล้วคุณจะเข้าใจ

โลกใบนี้คืออะไร ใครสร้าง อารมณ์กิเลสแหละสร้าง

เป็นก้อนดิน ผสมแร่ กลมๆ มีสิ่งมีชีวิต ก็ใช่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชีวิตโลกจักรวาลไม่มีที่สิ้นสุดหาที่เริ่มต้นและที่สิ้นสุดไม่ได้ ก็เป็นความจริงทุกประการ

เป็นโลกของอารมณ์ 80% เหตุผล 20% ความจริงแล้วผู้ที่จะปกครองโลกนี้ เป็นผู้นำต่างๆได้ อาจจะเป็นผู้ที่ไม่มีศาสนาเลย ทำลายทุกศาสนาตามใจตนก็เป็นได้ ถ้ามีอาวุธ อำนาจ และจิตวิทยาในการปกครอง เช่นคอมมิวนิส เพราะโลกใบนี้มีอารมณ์เป็นพรรคพวกเขาถึง80% เหตุผลซึ่งเป็นแหล่งความดีมีแค่ 20% น้อยกว่ามาก อารมณ์ย่อมชนะคุณงามความดี ของ ปุถุชนที่เข้าใจว่าดี ทุกอย่างอยู่แล้ว มีตัวอย่างหลายประเทศ ประชาชน ส่วนใหญ่ โค้นล้มระบอบประชาธิปัตไตยทำลายสิทธิตัวเอง แล้วไปเป็นคอมมิวนิส ก็ยังทำได้, ฮิตเลอร์ นักพูด ๆเก่ง พูดจนพาคนตาย 60-70ล้านคนได้ ฯลฯ มนุษย์เราใครยั่วยุถูกอารมณ์ไม่รู้ผิดหรือถูกก็ไปสุมหัวกับเขาหมด นี่แหละสัตว์โลก (พอบอกความจริงยอมรับไม่ได้)

พิสูจน์ยังไงว่าโลกนี้เป็นของอารมณ์ มนุษย์เกิดมาเพราะอารมณ์ 100%

ในสมัยก่อนยุคหนึ่งของศาสนาคริส ผู้ที่มีปัญญา นักปราชณ์ บอกว่าโลกกลมอาจถูกจับไปประหารชีวิตเพราะขัดกับศาสนา ผู้นำต่างๆในโลกใบนี้ เคยมีใครเลือก นักปราชณ์ นักวิทยาศาสตร์ ที่เก่งมีผลงานไปเป็นผู้นำบ้างใหม ไม่มี จะเลือกเอาแต่ลูกเรา หลานเรา พรรคพวกเรา ทั้งที่คนนี้ไม่เคยทำอะไรให้คนส่วนมากเหมือนพวกนักวิทยาศาสตร์เลย คนเหล่านี้อาจจะเก่ง เรื่อง รบราฆ่าฟัน แย่งชิงเขามา เท่านั้น ก็ยกยอกันตลอดชาติ ทำถูกใจเราหรือมีผลประโยชน์ให้เท่านั้น ถ้าทำผิดใจผิดอารมณ์ ก็เป็นคนชั่วในสายตาเราใช่ไหม ก็ใช่ เช่นผู้ที่เป็นศัตรู ต่อให้ทำดีกับคนทั้งโลกแค่ไหนก็เป็นคนชั่วในสายตาเราเสมอ เขียนนินทาว่าร้ายกันยันลูกหลาน ก็ทำเช่นนี้กันทุกประเทศทั่วโลก

เอาแค่เหตุผลนี้ ก็พิสูจน์ได้แล้วครับว่าพวกเรานั้นมีแต่อารมณ์กันทั้งนั้นแทบจะหาเหตุผลและยอมรับความจริงกันไม่ได้เลย ถ้าสัตว์โลกเรายอมรับความจริงกันได้ ไม่ต้องปรุงแต่งกัน หากสัตว์โลกเรายอมรับความจริงกันได้ ถึง80%ทั้งหมดเมื่อไหร่ โลกคงแตก และพากันไปอยู่พระนิพพานหมดเป็นแน่แท้


ขอยกตัวอย่างเช่น หากคุณมีชีวิตอยู่ในป่า ที่เต็มไปด้วยฝูง สรรพสัตว์ เสือ สิงห์ กระทิง แรด ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯหลายล้านตัว แต่คุณเป็นมนุษย์อยู่คนเดียว มีปัญญาเหนือกว่าฝูง สรรพสัตว์ แต่อยู่คนเดียว ถ้าคุณมีอาหารเลี้ยงฝูง สรรพสัตว์ มีอาวุธอำนาจเหนือกว่ามัน ส่วนใหญ่ คุณก็โชคดี เป็นนายสุนัขได้ เปรียบเช่นเป็นเจ้านาย แต่ถ้าคุณไม่มีอาหารเลี้ยงฝูง สรรพสัตว์ ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ คุณจะทำอย่างไร พูดกับฝูง สรรพสัตว์ ว่า ฉันเป็นคนนะ มีปัญญาเหนือกว่าพวกเธอ ๆต้องฟังฉันนะ เพื่อความดี ความสงบ ความเจริญ ของพวกเรา หรือใช้กำลังบังคับ จะได้ผลไหม ได้ผลแน่นอน ถูกฝูง สรรพสัตว์ กัดตาย ชัวร์เลย มีวิธีเดียวที่จะมีชีวิตรอดทำตัว ทำกลิ่น ให้เหมือนกับเป็นพวกเดียวกับมันเป็นเพื่อนมัน คุณถึงจะอยู่รอด ดังเช่น เมาคลี ลูกหมาป่า เป็นต้น ก็ด้วยเหตุผลเช่นนี้ พระอริยะบุคคลต่างๆทั้ง 8 จำพวก นอกจากจะเปิดเผยตัวไม่ได้แล้ว ยังต้องปกปิด ซ่อนเร้นตนอีกต่างหาก ทั้งที่ใจจริงแล้วคูณอยากให้ฝูง สรรพสัตว์ พวกนั้น มีปัญญาเท่ากับคุณ เข้าใจคุณ ใจจะขาด คุณจะได้มีพวกที่คุยกันได้ไม่ต้องหลอกลวงกันจะได้มีความสุข ความสงบ ความเจริญ แต่คุณก็จนปัญญาที่จะทำได้ ด้วยฝูง สรรพสัตว์ นั้นปัญญาไม่อาจรับรู้ได้เท่าคุณ ก็ด้วยเหตุเช่นนี้ ปุถุชน กับอริยะบุคคลนั้นต้องปกปิด ความลับกันตลอดไป แถมพระอริยะบุคล ยังต้องอดทน ทรมาร กับความวุ่นวาย ของมนุษย์ปุถุชน ที่ใกล้ชิดตลอดเวลา เปรียบดังเช่น คุณต้องทนกับนิสัยของฝูง สรรพสัตว์ ป่าจำนวนมากมหาศาล ที่อยู่ใกล้คุณตลอดเวลา ต้องคอยระวังภัยจากฝูง สรรพสัตว์ ผิดพลาดเผลอตัวก็ถูกกัด ต้องคอยห้ามไม่ให้มันกัดทำร้ายกัน ฯลฯ เป็นดังนี้เป็นต้น
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่คุณต้องเรียนทางเนต ต่อไปจนกว่าคุณจะเกิดปัญญาและเข้าใจได้  อินเตอเนตนี้ดีมาก หากไม่มีเนตแล้ว อย่างคุณและอีกหลายคนจะไม่มีโอกาศได้เรียนรู้วิชาการนี้เลยก็เป็นไปได้ วิชาการที่ดี ก็จะตายไปพร้อมอาจารย์ ซึ่งก็มีมากมายที่เป็นแบบนี้

ลองศึกษาประวัติของผู้นักวิทยาศาสตร์ที่มีปัญญาและพยายามพัฒนาโลกซิแล้วอาจจะเข้าใจว่าทำไม  และทำไม ความโง่อาจจะลดลงไปบ้าง

ประวัติ ท่านกาลิเลโอ  อ้างข้อมูลจากวิกิพีเดีย

กาลิเลโอ เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็นบุตรคนโตในจำนวนบุตร 6 คนของวินเซนโซ กาลิเลอี นักดนตรีลูทผู้มีชื่อเสียง มารดาชื่อ จิวเลีย อัมมันนาทิ เมื่อกาลิเลโออายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองฟลอเรนซ์ แต่กาลิเลโอต้องพำนักอยู่กับจาโกโป บอร์กินิ เป็นเวลาสองปี[5] เขาเรียนหนังสือที่อารามคามัลโดลีส เมืองวัลลอมโบรซา ซึ่งอยู่ห่างจากฟลอเรนซ์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 34 กิโลเมตร[5] กาลิเลโอมีความคิดจะบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่เขาก็ได้สมัครเข้าเรียนวิชาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งปิซาตามความต้องการของพ่อ กาลิเลโอเรียนแพทย์ไม่จบ กลับไปได้ปริญญาสาขาคณิตศาสตร์มาแทน[6] ปี ค.ศ. 1589 เขาได้รับเลือกเป็นหัวหน้าวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยปิซา เมื่อถึงปี ค.ศ. 1591 บิดาของเขาเสียชีวิต กาลิเลโอรับหน้าที่อภิบาลน้องชายคนหนึ่งคือ มิเชลาก์โนโล เขาย้ายไปสอนที่มหาวิทยาลัยปาดัวในปี ค.ศ. 1592 โดยสอนวิชาเรขาคณิต กลศาสตร์ และดาราศาสตร์ จนถึงปี ค.ศ. 1610[4] ในระหว่างช่วงเวลานี้ กาลิเลโอได้ทำการค้นพบที่สำคัญมากมาย ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (เช่น จลนศาสตร์การเคลื่อนที่ และดาราศาสตร์) หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (เช่น ความแข็งของวัตถุ และการพัฒนากล้องโทรทรรศน์) ความสนใจของเขายังครอบคลุมถึงความรู้ด้านโหราศาสตร์ ซึ่งในยุคสมัยนั้นมีความสำคัญไม่แพ้คณิตศาสตร์หรือดาราศาสตร์ทีเดียว[7]

แม้กาลิเลโอจะเป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัด[8] แต่เขากลับมีลูกนอกสมรส 3 คนกับมารินา แกมบา เป็นลูกสาว 2 คนคือ เวอร์จิเนีย (เกิด ค.ศ. 1600) กับลิเวีย (เกิด ค.ศ. 1601) และลูกชาย 1 คนคือ วินเซนซิโอ (เกิด ค.ศ. 1606) เนื่องจากลูกสาวทั้งสองเป็นลูกนอกสมรส จึงไม่สามารถแต่งงานกับใครได้ ทางเลือกเดียวที่ดีสำหรับพวกเธอคือหนทางแห่งศาสนา เด็กหญิงทั้งสองถูกส่งตัวไปยังคอนแวนต์ที่ซานมัททิโอ ในเมืองอาร์เซทิ และพำนักอยู่ที่นั่นจวบจนตลอดชีวิต[9] เวอร์จิเนียใช้ชื่อทางศาสนาว่า มาเรีย เคเลสเท เธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1634 ร่างของเธอฝังไว้กับกาลิเลโอที่สุสานบาซิลิกาซานตาโครเช ลิเวียใช้ชื่อทางศาสนาว่า ซิสเตอร์อาร์แคนเจลา มีสุขภาพไม่ค่อยดีและป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เสมอ ส่วนวินเซนซิโอได้ขึ้นทะเบียนเป็นบุตรตามกฎหมายในภายหลัง และได้แต่งงานกับเซสทิเลีย บอคคิเนริ[10]

ปี ค.ศ. 1610 กาลิเลโอเผยแพร่งานค้นคว้าของเขาซึ่งเป็นผลสังเกตการณ์ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี ด้วยผลสังเกตการณ์นี้เขาเสนอแนวคิดว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นการสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัส ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดดั้งเดิมของปโตเลมีและอริสโตเติลที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปีถัดมากาลิเลโอเดินทางไปยังโรม เพื่อสาธิตกล้องโทรทรรศน์ของเขาให้แก่เหล่านักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ที่สนใจ เพื่อให้พวกเขาได้เห็นดวงจันทร์ทั้งสี่ดวงของดาวพฤหัสบดีด้วยตาของตัวเอง[11] ที่กรุงโรม เขาได้เข้าเป็นสมาชิกของอคาเดเมีย เดอ ลินเซีย (ลินเซียน อคาเดมี) [12]

ปี ค.ศ. 1612 เกิดการต่อต้านแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปี ค.ศ. 1614 คุณพ่อโทมาโซ คัคชินิ ประกาศขณะขึ้นเทศน์ในโบสถ์ซานตามาเรียโนเวลลา กล่าวประนามแนวคิดของกาลิเลโอที่หาว่าโลกเคลื่อนที่ ว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายและอาจเป็นพวกนอกรีต กาลิเลโอเดินทางไปยังโรมเพื่อต่อสู้ข้อกล่าวหา แต่ในปี ค.ศ. 1616 พระคาร์ดินัล โรแบร์โต เบลลาร์มิโน ได้มอบเอกสารสั่งห้ามกับกาลิเลโอเป็นการส่วนตัว มิให้เขาไปเกี่ยวข้องหรือสอนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีดาราศาสตร์ของโคเปอร์นิคัสอีก1 ระหว่างปี 1621 ถึง 1622 กาลิเลโอเขียนหนังสือเล่มแรกของเขา คือ "The Assayer" (อิตาลี: Il Saggiatore; หมายถึง นักวิเคราะห์) ต่อมาได้รับอนุญาตให้พิมพ์เผยแพร่ได้ในปี ค.ศ. 1623 กาลิเลโอเดินทางกลับไปโรมอีกครั้งในปี ค.ศ. 1630 เพื่อขออนุญาตตีพิมพ์หนังสือ "Dialogue Concerning the Two Chief World Systems" (บทสนทนาว่าด้วยโลกสองระบบ) ต่อมาได้พิมพ์เผยแพร่ในฟลอเรนซ์ในปี 1632 อย่างไรก็ดี ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น เขาได้รับคำสั่งให้ไปให้การต่อหน้าศาลศาสนาที่กรุงโรม

จากเอกสารการค้นคว้าและทดลองของเขา ทำให้เขาถูกตัดสินว่าต้องสงสัยร้ายแรงในการเป็นพวกนอกรีต กาลิเลโอถูกควบคุมตัวอย่างเข้มงวด นับแต่ปี ค.ศ. 1634 เป็นต้นไป เขาต้องอยู่แต่ในบ้านชนบทที่อาร์เซทิ นอกเมืองฟลอเรนซ์ กาลิเลโอตาบอดอย่างถาวรในปี ค.ศ. 1638 ทั้งยังต้องทุกข์ทรมานจากโรคไส้เลื่อนและโรคนอนไม่หลับ ต่อมาเขาจึงได้รับอนุญาตให้ไปยังฟลอเรนซ์ได้เพื่อรักษาตัว เขายังคงออกต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอตราบจนปี ค.ศ. 1642 ซึ่งเขาเสียชีวิตด้วยอาการไข้สูงและหัวใจล้มเหลว[13][14]

ในปัจจุบันคนโง่เรว และมีอำนาจก็ไม่ได้น้อยกว่าในอดีต นักวิทยาศาสตร์มากมายที่ประสบปัญหาแบบนี้ไม่เฉพาะท่านกาลิเลโอท่านเดียว

ลิงข้อมูลประวัติโดยรวม
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%AD_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B5


พอเข้าใจหรือยังครับว่าทำไม ไม่ให้คุณมาเรียนที่กับอาจารย์โดยตรง

ประกาศล่าสุดในบอร์ดเดียวกัน

asddd Icon บริการให้ข้อมูลเลขหวย แม่น ฟรี อ่าน 1,929 14 ปีที่ผ่านมา
14 ปีที่ผ่านมา