สรุปทฤษฎีดนตรีไทย(2)

                                     สรุปทฤษฎีดนตรีไทย (2)
การประสมวงดนตรีไทย

               
การประสมวงดนตรี  หมายถึง  การนำเครื่องดนตรีชนิดต่างๆมาบรรเลงร่วมกัน (ทั้งดีด สี ตี เป่า เครื่องดำเนินทำนอง เครื่องประกอบจังหวะ เครื่องนำและเครื่องตาม)
*หัวใจหลักของการปรับวงนั้น  คือการปรับเสียงของเครื่องดนตรีให้ประสานกัน  เพื่อให้เกิดความไพเราะ*
องค์ประกอบของการประสมวง
1.  ชนิดของเครื่องดนตรี   2.  หน้าที่ของเครื่องดนตรี  3.   ระบบเสียง
วงมาตรฐานปัจจุบันได้แก่ วงมโหรี  วงปี่พาทย์ และวงเครื่องสาย
สมัยสุโขทัย
- วงขับไม้
  ประกอบด้วย ผู้ขับ ซอสามสาย บัณเฑาะว์ ใช้ในการเห่กล่อมต่างๆ ในงานของกษัตริย์ ชนชั้นปกครอง  เช่น พิธีขึ้นพระอู่
- วงปี่พาทย์เครื่องห้า (เป็นปี่พาทย์ไม้แข็ง) ประกอบด้วย  เครื่องดำเนินทำนอง คือ ปี่ ฆ้องวง เครื่องประกอบจังหวะคือ ตะโพน กลองทัด และฉิ่ง
สมัยอยุธยา
(อยุธยาไม่ได้ต่อเนื่องจากสุโขทัยแต่ประวัติศาสตร์ทับซ้อนกัน)
-  วงขับไม้
  ประกอบด้วย ผู้ขับ ซอสามสาย บัณเฑาะว์ (เหมือนสุโขทัย)
-  วงมโหรี
วงมโหรีเครื่องสี่ (ดั้งเดิม) ผู้ร้อง  +  ตีกรับพวง  ซอสามสาย  กระจับปี่  ทับ(โทน)  ไม่มีฉิ่ง
วงมโหรีเครื่องห้า (วงมโหรีโบราณ) ผู้ร้อง
  +  ตีกรับพวง  ซอสามสาย  กระจับปี่  ปี่ไฉนหรือขลุ่ย (เพิ่มมากจากเครื่องสี่) ทับ
จินดามณี
   เป็นแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรก ปรากฏโคลงสี่สุภาพ
               
นางขับขานเสียงแจ้ว                          พึงใจ
ตามเพลงกลอนกลใน                                         ภาพร้อง
มโหรีบรรเลงไฉน                                               ซอพาทย์
ทับกระจับปี่ก้อง                                                  เร่งเร้าบรรเลง

                **จินดามณี
แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง ในรัชสมัย สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช  ผู้แต่งคือ พระโหราธิบดี
วงมโหรีเครื่องหก ประกอบด้วย ผู้ร้อง  +  ตีกรับพวง  ซอสามสาย  กระจับปี่  ขลุ่ย  ทับ   รำมะนา (เพิ่มมาจากเครื่องห้า)

*** จำว่าวงมโหรีเครื่อง 4 5 6 มีอะไรบ้างและเพิ่มอะไรเข้ามา ***

-  วงปี่พาทย์
                วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา / ปี่พาทย์ชาตรี  ประกอบด้วย  ปี่นอก  โทนชาตรี  กลองชาตรี(ลักษณะคล้ายกลองทัดแต่ใบเล็กกว่า  ฆ้องคู่  ฉิ่ง
                วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก ประกอบด้วย  ปี่  ฆ้องวง(ใหญ่)  ตะโพน  กลองทัด  ระนาด(เอก)
- วงเครื่องสาย  ประกอบด้วย ซอด้วง ซออู้ จะเข้ กระจับปี่ โทน ฉิ่ง  เครื่องดนตรีอื่นๆยังไม่รวมวง
*** วงดนตรีใดที่ไม่มีซอสามสาย ถ้ามีวงเครื่องสาย ให้ตอบวงเครื่องสายนะ***
สมัยธนบุรี
                พ.ศ. 2310-2325 มีหมายรับสั่ง งานสมโภชพระแก้วมรกต  พ.ศ. 2322
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิณพาทย์ไทย พิณพาทย์รามัญ และมโหรีไทย  มโหรีแขก  ฝรั่ง  มโหรีญวน  เขมร  ผลัดเปลี่ยนกันสมโภช  สองเดือนกับสิบสองวัน 
สมัยรัตนโกสินทร์
-  วงปี่พาทย์
                วงปี่พาทย์ชาตรี  ปี่นอก
  โทน กลองชาตรี   ฆ้องคู่   ฉิ่ง (เหมือนสมัยอยุธยา)
                วงปี่พาทย์ไม้แข็ง  เครื่องห้า  ปี่ใน  ระนาดเอก
  ฆ้องวงใหญ่  ตะโพน *กลองทัด เพิ่มจากสุโขทัย แต่เดิมมี 1 ใบ ในสมัยร.1 มีกลองทัด 2 ใบ  และฉิ่ง

                วงปี่พาทย์ไม้แข็ง  เครื่องคู่ ก็คือยกปี่พาทย์เครื่องห้ามา แล้วเพิ่ม ปี่นอก  มาคู่กับปี่ใน  เพิ่ม ระนาดทุ้ม
  ฆ้องวงเล็ก
                วงปี่พาทย์ไม้แข็ง  เครื่องใหญ่ (วงปี่พาทย์เครื่องคู่) แต่เพิ่มระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก
                วงปี่พาทย์เสภา ในสมัยร.
2 ยังไม่เกิดเครื่องคู่ ตอนแรกเป็นเครื่องห้า ประกอบด้วย ปี่ใน ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ กลองสองหน้า ฉิ่ง  จากนั้นเริ่มมีการพัฒนาเป็นเครื่องคู่ (เหมือนวงเครื่องคู่ทุกประการแค่เอากลองทัด กับตะโพนออก แล้วใส่กลองสองหน้า เข้าไปแทน) 
                วงปี่พาทย์ไม้นวม  เปลี่ยนจากไม้แข็งมาใช้ไม้นวม เครื่องดนตรีเปลี่ยนเอาปี่ออกและใส่ขลุ่ยแทน
                วงปี่พาทย์ไม้นวม  เครื่องคู่
  เพิ่ม ระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก และขลุ่ย ถ้าจะเพิ่ม เพิ่มขลุ่ยหลิบ
                วงปี่พาทย์ไม้นวม  เครื่องใหญ่ (จากเครื่องคู่ เพิ่มเอกเหล็ก ทุ้มเหล็ก)
                วงปี่พาทย์นางหงส์ วงมาตรฐานประกอบด้วย ปี่ชวา ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก กลองมลายู ฉิ่ง
  ใช้ในงานอวมงคล งานศพ จะไม่นำมาบรรเลงในงานทั่วๆไป
                วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์   เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร)  ไปยุโรปในปี 2434  และนำเอารูปแบบการแสดงละครที่เรียกว่า โอเปร่า
Operaมาสร้างเป็น ละครดึกดำบรรพ์ โดยสร้างโรงละครขึ้นในบริเวณบ้านของท่าน  ตั้งชื่อว่า โรงละคอนดึกดำบรรพ์   และตั้งชื่อละครของท่านว่า ละคอนดึกดำบรรพ์”  เริ่มแสดงครั้งแรกในปีพ.ศ. 2442  ทางด้านของดนตรีนั้นเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ ได้ทูลชวน สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงช่วยด้านของดนตรี
                หลักของวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์  คือการใช้เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มนุ่มนวลเป็นหลัก ตัดเครื่องดนตรีเสียงแหลมออกไป  วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ (ฆ้องวงเหล็ก ระนาดเอกเหล็กเสียงแหลมตัดออก) ก็จะมีเครื่องดนตรีดังนี้  ขลุ่ยเพียงออ
   ขลุ่ยอู้  ระนาดเอก  ระนาดทุ้ม  ระนาดทุ้มเหล็ก  ฆ้องวงใหญ่  ซออู้  ตะโพน  กลองตะโพน  กลองแขก  ฉิ่งฆ้องหุ่ย  7 ใบ
                วงปี่พาทย์มอญ  เครื่องห้า (วงหลัก) ในวัฒนธรรมมอญ วงปี่พาทย์มอญเล่นได้ทุกงาน แต่ในวัฒนธรรมไทยใช้ในงานศพ 
                -  วงเครื่องสาย ปัจจุบันแบ่งเป็น  3 ประเภท 1.วงเครื่องสายไทย  2.วงเครื่องสายปี่ชวา   3.วงเครื่องสายประสม(ผสม)

1. วงเครื่องสายไทย เล่นได้ทุกงานยกเว้นงานอวมงคล ไม่มีซอสามสาย เพราะซอสามสายอยู่ในวงมโหรี
                วงเครื่องสายวงเล็ก ได้แก่ จะเข้  ซอด้วง
  ซออู้  ขลุ่ยเพียงออ  ฉิ่ง โทน -รำมะนา              
                วงเครื่องสายเครื่องคู่ (เพิ่มไปอย่างละหนึ่ง ส่วนขลุ่ย จะมีเพียงออ
1 เลา และหลิบ  1 เลา)
2. วงเครื่องสายปี่ชวา  ใช้ในงานศพ
                วงเครื่องสายปี่ชวา วงเล็ก (คล้ายวงเครื่องสายวงเล็ก แต่เพิ่มปี่ชวา ขลุ่ยหลิบ และเอาขลุ่ยเพียงออ ออก)
3
. วงเครื่องสายประสม ประสมกับเครื่องดนตรีอะไรก็ได้ เช่น เครื่องสายประสมออร์แกน
- วงมโหรี  (กลองที่ใช้ในวงมโหรีคือ โทน-รำมะนา)
**
                ร.
1 เพิ่มระนาดเอก และระนาดแก้ว
                ร.
2 ยกเลิกระนาดแก้ว เพิ่มฆ้องวงและจะเข้
                ร.
3 เพิ่มระนาดทุ้ม และฆ้องเล็ก
                ร.
4 เพิ่มระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็ก
                ร.
5 ยกเลิกกระจับปี่ (ใช้จะเข้แทน)

                วงมโหรี  เครื่องเล็ก (มีซอด้วง ซออู้เข้ามา) วงขนาดกลาง จำนวนมากกว่าปี่พาทย์เครื่องห้าและเครื่องสาย  มีเครื่องดนตรีดังนี้  จะเข้  ซอสามสาย  ซอด้วง  ซออู้  ขลุ่ยเพียงออ  ระนาดเอก  ฆ้องวงใหญ่  โทน - รำมะนา  ฉิ่ง
                วงมโหรี  เครื่องคู่ (เพิ่มระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก และขลุ่ยหลิบ)
                วงมโหรี  เครื่องใหญ่ (เพิ่มระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็ก) 
วงดนตรีประเภทอื่นๆ
-วงกลองแขก ประกอบด้วย กลองแขก  2  ใบ  ปี่ชวา  โหม่ง
-วงบัวลอย ประกอบด้วย กลองมลายู   2  ใบ  ปี่ชวา  1   เลา ฆ้องเหม่ง    1   ใบ
(ฆ้องเหม่งคล้ายโหม่งแต่หนา)  เล่นในงานศพเท่านั้น
หมายเหตุ
* ในสมัยรัตนโกสินทร์จะต้องดูด้วยว่า เครื่องดนตรีชนิดนี้ประสมอยู่ในวงดนตรีอะไร *
ข้อสอบถามว่า วงใดเกิดหลังสุด พิจารณาจากเครื่องดนตรีในวง เช่น ปี่พาทย์เสภา มีกลองสองหน้า เกิดสมัยร.2 ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ มีกลองตะโพน เกิดสมัยร.5 เป็นต้น ***

ประเภทเพลง
- เพลงโหมโรง
เพลงที่บรรเลงก่อนการแสดงหรือก่อนการบรรเลงดนตรี   เพลงโหมโรงเป็นเพลงบรรเลงล้วน  มีลักษณะเป็นเพลงขนาดสั้น
จุดประสงค์ของการบรรเลงเพลงโหมโรง
1.       เป็นการประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่ามีการจัดงาน
2.       เป็นการอุ่นเครื่องของนักดนตรี
3.       เป็นการทดสอบเครื่องดนตรี (หากเครื่องชำรุด จะสามารถแก้ไขได้ทัน)
4.       เป็นการอัญเชิญเทวดา  (ความเชื่อทางด้านเทพเจ้า)

ประเภทของเพลงโหมโรง
1. เพลงโหมโรงที่ใช้ในพิธีการ (สื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์)  เพลงที่ใช้เป็นเพลงประเภทเพลงหน้าพาทย์    ลักษณะเป็นเพลงที่จัดเป็นชุด    แบ่งเป็น  3  ประเภท ต่อไปนี้
1.1โหมโรงเย็น 13 เพลง (จำจำนวนเพลง)**

1.2  โหมโรงเช้า       5   เพลง *
1.สาธุการ  2.เหาะ  3.รัวลาเดียว  4.กลม  5.ชำนาญ
1.3  โหมโรงเทศน์
    6  เพลง*
1.สาธุการ  2.กราวใน  3. เสมอ  4. เชิด  5. ชุบ  6. ลา
2. เพลงโหมโรงที่ใช้ประกอบการแสดง  เพลงที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นเพลงหน้าพาทย์
    แบ่งเป็น 4ประเภทคือ 2.1  โหมโรงสำหรับการแสดงละคร
                2.1.1  การแสดงเวลาเช้าและเวลาเย็น  ใช้เพลงในชุดโหมโรงเย็น
                2.1.2  โหมโรงกลางวัน
12 เพลง
2.2  โหมโรงโขน
                2.1.1  โหมโรงเช้า
              เพลง   9   เพลง 
                2.1.2  โหมโรงกลางวัน     เพลง
14                  เพลง
                2.1.3  โหมโรงเย็น
             เพลง   5   เพลง
2.3         โหมโรงหนังใหญ่               เพลง  6  เพลง

2.4          โหมโรงหุ่นกระบอก          เพลง  13  เพลง
3. เพลงโหมโรงดนตรี  (โหมโรงต้องเล่นก่อน เล่นเป็นเพลงแรก)
3.1  โหมโรงเสภา   เพลงที่ใช้ในวงปี่พาทย์ประกอบเสภา
   โดยบรรเลงก่อนการขับเสภา (สมัยร.2 บรรเลงก่อนการขับเสภา แต่โดยตัวเสภาธรรมดามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย)
พัฒนาการของเสภา  1. การเล่านิทาน 2. ผูกเรื่องในลักษณะคำกลอน 3. การนำดนตรีมาประกอบ 4. เสภารำ            ต่อมามีพัฒนาการในการประดิษฐ์เพลงโหมโรงขึ้นใหม่
  โดยใช้หน้าทับคือปรบไก่  และใช้เพลงจบเป็นประโยคสุดท้ายของเพลงวา   ประมาณสมัยรัชกาลที่   4  ได้กับวงปี่พาทย์มีการกำหนดการนำเพลงมาร้องส่ง ดังนี้  เริ่มจากเพลงโหมโรง    เพลงพม่าห้าท่อน    เพลงจระเข้หางยาว    เพลงสี่บท    เพลงบุหลัน    เพลงอื่นๆ

                ในสมัยแรก นิยมใช้ เพลงกราวรำ   เป็นเพลงสุดท้าย  เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ทราบว่าการบรรเลงดนตรีในวันนั้นได้จบลงแล้วต่อมาราวปลายรัชกาลที่หรือต้นรัชกาลที่ได้นิยมนำเพลงลา (ลำลา) เป็นเพลงสุดท้ายในการแสดงดนตรี ที่มีสร้อยมีดอก  เช่น  เต่ากินผักบุ้ง  เป็นต้น
รูปแบบของการบรรเลงเพลงโหมโรงเสภา ในปัจจุบัน  มีดังต่อไปนี้
  (ดนตรีรับส่งเพลง ให้คนขับเสภาได้พัก)

                                1. รัวประลองเสภา  โดยตัดเอาเฉพาะลาที่ 2  ของเพลงรัวสามลามาบรรเลง  นิยมใช้กับวงปี่พาทย์ไม้แข็งเท่านั้น
                                2. เพลงโหมโรง และ จบท้ายเพลงด้วยเพลงวา
                                3. เพลงที่นำมาบรรเลง
                                4. จบการบรรเลงด้วยเพลงประเภทเพลงลำลา
3.2  โหมโรงมโหรี
                เพลงโหมโรงที่ใช้ในวงปี่พาทย์ไม้นวม  วงมโหรีและวงเครื่องสาย   ลักษณะคล้ายโหมโรงเสภา  แต่ไม่บรรเลงรัวสามลา (ไม่รัวประลอง)

- เพลงเถา  เพลงที่เกิดจากการขยายหรือลดขนาดของเพลงตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้   เพลงเถานิยมใช้อัตราจังหวะสามชั้น  สองชั้น  ชั้นเดียว   คำว่าชั้น เป็นส่วนเปรียบเทียบทางตัวเลข

ตัวอย่างเปรียบเทียบอัตราส่วนของอัตราชั้นต่างๆ

สามชั้น

-   -   -    -

-   -   -    1

-   -   -    -

-   -   -    2

-   -   -    -

-   -   -    3

-   -   -    -

-   -   -    4

-   -   -    -

-   -   -    5

-   -   -    -

-   -   -    6

-   -   -    -

-   -   -    7

-   -   -    -

-   -   -    8

 

สองชั้น

-   -   -    1

-   -   -    2

-   -   -    3

-   -   -    4

-   -   -    5

-   -   -    6

-   -   -    7

-   -   -    8

 

ชั้นเดียว

-   1   -    2

-   3   -    4

-   5  -    6

-   7   -    8

 

-  เพลงเรื่อง  เพลงหลายๆเพลงที่นำมาจัดรวมบรรเลงติดต่อกันไป   เพลงเรื่องเป็นเพลงบรรเลงล้วน  การตั้งชื่อของเพลงเรื่องแตกต่างกันไปตามความเหมาะสม (เพลงเรื่องค่อนข้างยาวและไม่มีร้องมาคั่น)  การกำหนดชื่อของกลุ่มเพลง ตั้งตามลักษณะของกลุ่มเพลง เช่น
-              ประเภทเพลงช้า    เพลงเรื่องเต่ากินผักบุ้ง   เพลงเรื่องจีนแส 
-              ประเภทเพลงสองไม้    เพลงเรื่องสีนวล
-              ประเภทเพลงเร็ว    เช่น  เพลงเรื่องแขกมัดตีนหมู  
-              ประเภทเพลงฉิ่ง   ใช้ฉิ่งตีประกอบอย่างเดียว ไม่มีกลอง   เช่น  ฉิ่งพระฉัน
-              ตั้งชื่อตามชื่อหน้าทับ   เช่นเพลงเรื่องนางหงส์   ใช้หน้าทับนางหงส์
-              ตั้งตามพิธีการที่ใช้เพลง    เช่นพิธีทำขวัญ  ใช้เพลงเรื่องทำขวัญ
-  เพลงตับ  เพลงหลายๆเพลง
  นำมาร้องและบรรเลงติดต่อกันไป  เพลงที่ใช้ประกอบอยู่ในเพลงตับ  นิยมใช้เพลงในอัตราจังหวะ สองชั้น   แต่ก็มีการแทรกเพลงอื่น ๆ  เช่นเพลงหน้าพาทย์   เพลงชั้นเดียว ก็มีปรากฎอยู่      เพลงตับแบ่งออกเป็น  4   ประเภท

1. ตับมโหรี  เป็นเพลงตับประเภทที่เก่าแก่ที่สุด    เพลงตับมโหรีมีการเรียกชื่อเป็น  เรื่อง  ซึ่งเป็นการตั้งชื่อเฉพาะกลุ่ม  เช่นตับมโหรีเรื่องนางไห้
2.ตับเรื่อง  เป็นเพลงที่ยึดถือเนื้อร้องเป็นหลัก    โดยกำหนดเพลงให้มีทำนองเข้ากับพฤติกรรมของตัวละคร
3.ตับเพลง  (ดูเนื้อร้อง ถ้าคนละเรื่อง เป็นตับเพลง ถ้าเนื้อร้องเป็นเรื่องเดียวกันคือตับเรื่อง)**  เป็นเพลงที่ยึดถือเนื้อเพลงเป็นหลัก  โดยกำหนดเพลงให้มีทำนองและสำเนียงสัมพันธ์กัน
4.ตับประสม (เพลงไปด้วยกันได้ เรื่องไปด้วยกัน เป็นเชิงเล่าให้ฟัง)  การประสมระหว่างตับเรื่องกับตับเพลง      ตับประสมที่นิยมร้องและเล่นในปัจจุบัน  เป็นตับที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้ทรงนิพนธ์ขึ้น  เป็นเพลงที่มีสำเนียงเป็นภาษาต่างๆ  *** ออกสอบประมาณว่า ตับในข้อนี้เป็นตับในสำเนียงใด เพลงในข้อใดเป็นสำเนียงลาว และตับนางซินเป็นสำเนียงใด มีประมาณ 2 ข้อ***

1.            ตับราชาธิราช                       สำเนียงมอญ

                2.            ตับสามก๊ก(ตับจูล่ง)             สำเนียงจีน

                3.            ตับนิทราชาคริต                   สำเนียงแขก

                4.            ตับพระลอ                             สำเนียงลาว

                5.            ตับนางซินเดอริลลา            สำเนียงฝรั่ง

                6.            ตับขอมดำดิน                       สำเนียงเขมร

               

-  เพลงเกร็ด  เพลงมโหรีที่ไม่ได้นำมารวมชุดเป็นเพลงตับ  เป็นเพลงที่บรรเลงเป็นเอกเทศ   ใช้เวลาในการบรรเลงสั้นๆ

- เพลงใหญ่   เพลงทยอย  เพลงมีโยน  เพลงที่เป็นแหล่งรวมศิลปะการประพันธ์เพลงและรวมเทคนิคการบรรเลงในหลายหลากรูปแบบ   เช่น ลูกโยน  ลูกล้อ  ลูกขัด  ลูกเหลื่อม เป็นต้น   เพลงใหญ่เป็นเพลงที่มีขนาดยาว     เช่น  เพลงแขกลพบุรี    แขกโอด  ทยอยนอก  ทยอยใน   เป็นต้น
เพลงหน้าพาทย์  เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยา   ไม่ว่าจะเป็นกิริยาของมนุษย์
  สัตว์  วัตถุ  หรือธรรมชาติ   ทั้งกิริยาที่มีตัวตน  หรือกิริยาสมมุติ   และตลอดทั้งกิริยาที่เป็นปัจจุบันและอดีต   เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาทั้งหลายเหล่านี้ถือว่าเป็นเพลงหน้าพาทย์ทั้งสิ้น
                เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาที่มีตัวตน
  เช่น  เพลงในการแสดงโขน  (รัวสามลา  ตอนเบญกายแปลงเป็นนางสีดา เป็นกิริยาที่มีตัวตน เป็นปัจจุบัน)  ละคร   เพลงประกอบกิริยาของพระสงฆ์
                เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาที่มีสมมุติในปัจจุบัน  เช่น  เพลงชุดโหมโรงเย็น  เพลงชุดไหว้ครู  เพลงชุดทำขวัญ
                เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาที่มีสมมุติในอดีต  เช่น  เพลงประจำกัณฑ์ในเทศน์มหาชาติ  เรื่องพระเวสสันดรชาดก  

                ฐานันดรของเพลงหน้าพาทย์  แบ่งตามฐานะของตัวละคร 1. หน้าพาทย์สามัญ  2. หน้าพาทย์ชั้นกลาง  3. หน้าพาทย์ชั้นสูง  

- เพลงลูกหมด คือ เพลงขนาดเล็กที่เล่นต่อท้ายเพลงหลัก   ลักษณะเป็นสัญญาณบอกการจบเพลง

-  เพลงลา (ลำลา) คือ เพลงที่เป็นเพลงสุดท้ายในการบรรเลง  (เพลงสุดท้าย ณ วันนั้นๆ หรืองานนั้นๆ)  ในปัจจุบันนิยมบรรเลง  3  เพลง  คือ  เพลงเต่ากินผักบุ้ง  สองชั้น   เพลงพระอาทิตย์ชิงดวง  สองชั้น  เพลงอกทะเล  สามชั้น (จำว่าเพลงใดเป็นสองชั้น เพลงใดเป็นสามชั้น ถ้าเจอเพลงอกทะเลสองชั้นก็คือผิด)**
อาจเล่นเพลงลาก่อนแล้วออกลูกหมดก็ได้
เพลงพระราชนิพนธ์
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  เพลงบุหลันลอยเลื่อน  เพลงสรรเสริญพระจันทร์  
เพลงทรงพระสุบิน  เพลงบุหลันลอยเลื่อนฟ้า
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  เพลงราตรีประดับดาว เพลงเขมรลออองค์
 เพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ง

การนำเสนองานดนตรีไทย
องค์ประกอบ (องค์ประกอบมี 3 อย่าง ถ้ามีอะไรแปลกปลอมนอกจาก 3 ข้อนี้ อันนั้นผิด)
1.พิจารณาลักษณะของงาน     2.เลือกประเภทของวงดนตรี      3.เลือกประเภทของเพลง
ข้อสอบประมาณว่า งานอะไร ดูสถานที่จัดงาน ใช้วงขนาดไหน วงอะไร วงใหญ่หรือเล็ก พิจารณาองค์ประกอบให้ดี ลักษณะงาน ประเภทของวง ตัวอย่างข้อสอบเช่น งานวางศิลาฤกษ์ ใช้วงใด  วงปี่พาทย์มอญ วงเครื่องสายปี่ชวา วงปี่พาทย์นางหงส์ไม่ได้ ต้องใช้ปี่พาทย์ไม้แข็ง
ถ้าเล่นที่สนาม ต้องเสียงดัง ก็ใช้ปี่พาทย์ไม้แข็ง
ทำบุญ งานพิธีกรรม งานพิธีสงฆ์ ใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็ง
งานศพ ใช้เพลงปี่พาทย์นางหงส์  ปี่พาทย์มอญ  และเครื่องสายปี่ชวา
งานแต่งงาน งานมงคล งานจัดเลี้ยงและกล่อมหอ  ใช้วงเครื่องสาย วงมโหรี
 

ระดับเสียง  (ทาง)

ทางของเสียงในดนตรีไทย
(คำถามเช่น  ทางใดเหมาะสมกับการเล่นปี่พาทย์ประกอบเสภามากที่สุด ก็ต้องตอบ ทางนอก)

 

ชื่อ

เสียงที่ 1

(เทียบกับลูกฆ้อง)

วงดนตรี

โอกาสที่ใช้

1

ทางเพียงออล่าง  ทางในลด

ลูกที่ 3 และ 10

ปี่พาทย์ไม้นวม

ละครดึกดำบรรพ์

2

ทางใน

ลูกที่ 4 และ 11

ปี่พาทย์ไม้แข็ง

โขน - ละคร

3

ทางกลาง

ลูกที่ 5 และ 12

ปี่พาทย์ไม้แข็ง

โขน - หนังใหญ่

4

ทางเพียงออบน ทางนอกต่ำ

ลูกที่ 6 และ 13

มโหรี-เครื่องสาย

บรรเลงทั่วไป

5

ทางนอก ทางกรวด

ลูกที่ 7 และ 14

ปี่พาทย์ไม้แข็ง

ประกอบเสภา

6

ทางกลางแหบ

ลูกที่ 1 , 8 และ 15

ปี่พาทย์ไม้แข็ง

ไม่นิยมบรรเลง

7

ทางชวา

ลูกที่ 2 , 9  และ 16

วงที่ใช้กับปี่ชวา

บรรเลงทั่วไป

(ดูว่าเสียงในทางใดสูงที่สุด และเสียงในทางใดต่ำที่สุด >> ต่ำสุดคือเพียงออล่าง สูงสุดคือ ชวา )
**ประมาณว่า ลูกฆ้องลูกที่ 7 ในทางกลางคือเสียงในข้อใด (เวลานับก็ดูว่าทางกลางเริ่มลูกที่ 5 เสียงโด ก็นับต่อไป  5 6 7 เป็น ด ร ม ลูกที่ 7 คือเสียง มี) คำถามอาจสลับกัน เช่น เสียงมีในทางกลางตรงกับลูกฆ้องลูกใด คำตอบคือ ลูกที่ 7
อีกตัวอย่าง
: ทางนอกลูกที่ 7 เป็นเสียง โด ลูกที่ 12 จะเป็นเสียง ล เวลานับก็ 7 8 9 10 11 12 เป็น ด ร ม ฟ ซ ล  ทางนอกลูกที่ 14 เป็นเสียงโด ลูกที่ 15 ก็คือเสียง เร)
- อันไหนที่มี
2 ชื่อ จำด้วย  เพียงออล่าง คือ ทางในลด เพียงออบน คือ ทางนอกต่ำ และ ทางนอก คือ ทางกรวด  ** ใช้วงอะไร โอกาสใดก็ต้องจำ

พิธีไหว้ครูดนตรีไทย
วัตถุประสงค์
1.แสดงความเคารพบูชาต่อครู
- ครูเทพเจ้า (ครูในอุดมคติ เช่น พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพิฆเณศวร)
- ครูมนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้ว (รวมทั้งสายของครูแต่ละท่าน เช่น เราต่อเพลงจากลูกศิษย์ของครูหลวงประดิษฐไพเราะ)
- ครูมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่
2. สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
3. การสืบสานวัฒนธรรมไทย

วันและเวลาจัดพิธี
           
วัน พฤหัสบดี (ถือเป็นวันครู) อาทิตย์    เดือนคู่  ตามจันทรคติ  ข้างขึ้น    วันฟู
วัน -เดือน ที่ห้ามจัดพิธี
           
วันพระ ขึ้น 8 ขึ้น 15 ห้าม   เดือนคี่  ข้างแรมวันจม วันดับ
*ข้อสอบจะจัดวันมาให้ ให้เราเลือกที่เหมาะสมที่สุด * ข้างแรม เดือนคี่ วันพระ ไม่เอา*ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 3 ก็ไม่เหมาะ
สถานที่
จัดในสถานที่ที่มีบริเวณกว้าง   จัดเวทีแบบเป็นระดับขั้นบันได  จัดเป็นขั้นเลขคี่  ปูพื้นด้วยผ้าขาว

บุคคลผู้เกี่ยวข้อง***
1.ประธานในพิธี( ผู้มีอำนาจสูงสุดในองค์กร)
2.ประธานผู้ประกอบพิธี (พิธีกร ความหมายคือ คนที่เป็นประธานในการประกอบพิธี นุ่งขาวห่มขาว
3.นักดนตรีบรรเลงเพลงหน้าพาทย์
4.ผู้จัดงาน (คณะกรรมการ)
5.ผู้เข้าร่วมในพิธี

ศีรษะครู
ข้อสอบมีรูปแล้วถามว่า เศียรนี้เป็นเศียรของใคร **
(ดั้งเดิม มี 3 เพิ่ม 2 และเพิ่มอีก 4)**
ดั้งเดิม 3 เศียร ดังนี้ คือ 
พระวิสสุกรรม พระปัญจสีขร (ยอดมี 3 แง่ง)  
พระปรคนธรรพ (ยอดคล้ายฤาษี สูงยาว)
จากนั้นเพิ่มมาอีก 2 เศียร คือ  พระฤาษี  พระพิราพ
สองเศียรนี้จะอยู่ตรงข้ามกันเสมอ  พระฤาษี อยู่ทางด้านขวาของพระพุทธรูป  พระพิราพ(ยักษ์)  อยู่ทางด้านซ้ายของพระพุทธรูป
และเพิ่มมาอีก 4 เศียร  คือ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม
พระคเณศ (ลูกของพระอิศวรกับพระแม่อุมาเทวี)

เครื่องใช้ในพิธีและเครื่องสังเวย
1.เครื่องกระยาบวช  หมายถึง อาหารที่ไม่ปนด้วยของคาว**
2.เครื่องมัจฉะมังสาหาร  หมายถึง  อาหารที่ปนด้วยของคาว
3. เครื่องผลาหาร  หมายถึง  ผลไม้ หรือลูกไม้
               
**ผลไม้ 7 ชนิด  ได้แก่ พวาทอง (ชมภู่น้ำดอกไม้มังคุด    ละมุดสีดา   เงาะ  ลางสาด  มะพูด  มะม่วง** (เครื่องผลาหารดั้งเดิมออกสอบ)    

ลำดับในพิธี
1.
ช่วงเช้ามีพิธีสงฆ์ (พระสงฆ์สวด นิมนต์ฉันเช้า)
2.เริ่มต้นพิธีไหว้ครูดนตรีไทย
                - จุดธูปเทียน
                - พิธีกรอ่านโองการ (คาถาของการอัญเชิญครูเทพ)  เพื่ออัญเชิญเทพเจ้า และเรียกเพลงหน้าพาทย์
                - ถวายเครื่องสังเวย
ลาเครื่องสังเวย
                - อัญเชิญเทพเจ้าและครูดนตรีกลับ  เสร็จพิธีการ
                - พิธีเจิมหน้า พิธีครอบครู   การบรรเลงถวายมือ (วงดนตรีที่เชิญมาบรรเลง)

**พิธีครอบครู (ต้องผ่านทีละขั้นมาก่อน)** ออกสอบ
เพลงขั้นที่ 1         เพลงสาธุการ
เพลงขั้นที่ 2          เพลงตระโหมโรง
เพลงขั้นที่ 3          เพลงกระบองกัน
เพลงขั้นที่ 4          เพลงบาทสกุณี(เสมอตีนนก)
เพลงขั้นที่ 5          เพลงตระองค์พระพิราพ  

ขอขอบคุณข้อมูลความรู้ จากอ.พจี  บำรุงสุข
สาขาวิชาดนตรีไทย  ภาควิชาดนตรี  คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ^^

ความคิดเห็น

ประกาศล่าสุดในบอร์ดเดียวกัน

iamkanun Icon สรุปทฤษฎีดนตรีไทย(2) อ่าน 4,238 13 ปีที่ผ่านมา
13 ปีที่ผ่านมา
iamkanun Icon สรุปทฤษฎีดนตรีไทย(1) อ่าน 20,218 13 ปีที่ผ่านมา
13 ปีที่ผ่านมา