สรุป ทฤษฎีดนตรีไทย
1.ดนตรีกับศาสนา
- ศาสนาพุทธ
คัมภีร์วชิรสารัตถสังคหะ กล่าวถึง ดนตรีดึกดำบรรพ์เกิดขึ้นจากการเลียนเสียงร้องของสัตว์ ซึ่งสามารถกำหนดระดับเสียงได้ 7 เสียง ดังต่อไปนี้ *** ออกสอบ 10 ข้อ ต้องจำ ***
| 1. ฉฺชโช | สะ (Sa) | เลียนเสียงนกยูง | โด (Doh) |
| 2. อุสโภ , ฤษภะ | ริ (Ri) | เลียนเสียงโค | เร (Re) |
| 3. คนฺธาโร | คะ (Ga) | เลียนเสียงแพะ | มี (Mi) |
| 4. มชฺฌิโม | มะ (Ma) | เลียนเสียงนกกระเรียน | ฟา (Fa) |
| 5. ปญฺจโม | ปะ (Pa) | เลียนเสียงนกกาเหว่า | ซอล (Sol) |
| 6. เธวโต | ดะ (Dha) | เลียนเสียงม้า | ลา (La) |
| 7. นิสาโท | นิ (Ni) | เลียนเสียงช้าง | ที (Ti) |
เสียงที่ 1
ศาสนาพุทธ มงคลสูตร เรื่อง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระยานกยูงทอง
ศาสนาพราหมณ์ นกยูงเป็นพาหนะของพระสรัสวดี (เจ้าแม่แห่งการดนตรีและขับร้อง)
เสียงที่ 2
ศาสนาพุทธ โคนันทวิศาล
ศาสนาพราหมณ์ โคเป็นพาหนะของพระอิศวร ชื่อพระนนทิ*
เสียงที่ 3
คนฺธาโร หมายถึง แคว้นคันธาระ สำเนียงของคนมีเสียงเล็กและแหบคล้ายแพะ
ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าทรงนั่งพิจารณาพระปริยัติพระไตรปิฎกใต้ต้นอัชปาลนิโครธ
เสียงที่ 4
ธรรมชาติของนกกระเรียน เป็นนกที่มีความจงรักภักดีต่อคู่ครองอย่างมั่นคง
เสียงที่ 5
นกกาเหว่ามีเสียงที่ไพเราะ และมีความถี่ของเสียงคงที่สม่ำเสมอ
ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเคยเสวยชาติเป็นนกกาเหว่า
เสียงที่ 6
เสียงม้าร้อง เป็นเสียงขึ้นนาสิก
เสียงที่ 7
เสียงช้างร้อง เป็นเสียงที่สูงที่สุด ต้องเปล่งเสียงอย่างเต็มเสียง
ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าเคยเสวยชาติเป็นช้างเผือก
**การนำเสียงทั้งหกเสียงมารวมกันเป็นเสียงสุดท้าย เป็น “เสียงโด”**
- ศาสนาคริสต์
คัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึง การชักชวนให้มนุษย์ยกย่องพระเจ้าด้วยการบรรเลงพิณ ซอโบราณ การตีกลองและเครื่องตีต่างๆ รวมทั้งการเต้นรำ เป็นต้น
- ศาสนาพราหมณ์และฮินดู
การบูชาพระเป็นเจ้าด้วยเสียง
พระพรหม (ผู้สร้าง) พระวิษณุ (ผู้รักษา) พระมเหศวร หรือพระนารายณ์ (ผู้ทำลาย) * ออก 1 ข้อ
พิธีกีรตัน เป็นการกระทำพิธีบูชาพระพระผู้เป็นเจ้า หมายถึงการร้องเพลงสรรเสริญพระเป็นเจ้าหรือออกชื่อพระเป็นเจ้า ในทำนองร้อง ประกอบการบรรเลงดนตรี กระทำทั้งเช้าและเย็น บางทีก็เต้นรำพร้อมกันด้วย
2.วิวัฒนาการของดนตรี
**นักดุริยางคศาสตร์ อธิบายว่า ดนตรีแบบดั้งเดิมกำเนิดจากการทำเสียงในลักษณะต่างๆ และเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นคือ เสียงของมนุษย์
**นักมานุษยวิทยา อธิบายว่า ดนตรีเป็นเสียงที่กำเนิดจากการประดิษฐ์ของมนุษย์เท่านั้น**
ข้อสันนิษฐานของกำเนิดเครื่องดนตรี
เครื่องตี - เกิดจากเสียงของการตบมือ เสียงเคาะไม้ เสียงตีหนังสัตว์ ฯลฯ
เครื่องเป่า - เกิดจากเสียงของการเป่าปาก เสียงลมปะทะใบไม้ ฯลฯ
เครื่องดีด - เกิดจากเสียงเสียดสีระหว่างสายธนูกับลูกธนู
เครื่องสี - พัฒนาจากเครื่องดี
3.ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับดนตรีไทย
วิธีศึกษาดนตรี 1.ทฤษฎีดนตรี 2.บริบทของดนตรี สภาพแวดล้อมที่มีความเกี่ยวข้องกับดนตรี
บทบาทและหน้าที่ของดนตรีไทยในสังคม
1. ด้านพิธีกรรม มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของมนุษย์
2. ด้านความบันเทิง (เพื่อการฟัง)และประกอบการแสดง (นักดนตรี นักแสดง ผู้ชม)
3. ด้านสังคม ดนตรีเป็นเครื่องมือที่สะท้อนถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ของไทย
4. ด้านประวัติศาสตร์ เป็นแหล่งข้อมูลที่สามารถสืบค้นเรื่องราวในอดีตได้
ความรู้เบื้องต้นของดนตรีไทย
1. หลักในการบันทึกโน้ต
1.1 หนึ่งบรรทัดใช้บันทึกโน้ตจำนวน 8 ห้อง
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
1.2 ใน 1 ห้อง โดยปกติมีตัวโน้ตจำนวน 4 ตัว
| 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 |
1.3 จังหวะตกหรือจังหวะหนักอยู่ที่โน้ตตัวสุดท้ายของห้อง
| 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 | 1 2 3 4 |
1.4 โด สูง ดํ (ใส่จุดข้างบน) โด ต่ำ ดฺ (ใส่จุดข้างล่าง)
2. โน้ตเพลงไทย ใช้ระบบตัวอักษร มี 7 เสียง โดยใช้ตัวอักษรแทนเสียงดังนี้
*** ออกสอบ 1 ข้อ เช่น ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใดแทนเสียงฟา = F ***
โด ด C
เร ร D
มี ม E
ฟา ฟ F
ซอล ซ G
ลา ล A
ที,ซี ท B
ระบบเสียงในดนตรีไทย
1.ระบบแบ่งเท่า หมายถึง เสียง 7 เสียง ที่มีระยะห่างเท่ากัน
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
| โด | เร | มี | ฟา | ซอล | ลา | ที |
2. บันไดเสียง 5 เสียง เรียกว่า Pentatonic Scale *** จำชื่อนี้ สะกดให้ถูก
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
เสียงที่ 4 กับ 7 เรียกว่า เสียงจร / เสียงรอง ซึ่ง Pentatonic cale จะใช้แค่เสียง 1 2 3 5 6
เช่น เริ่มจาก โด เร มี ซอล ลา (ข้ามฟา กับ ที) ถ้าเริ่มจาก ฟา ซอล ลา โด เร (ข้ามที กับ มี)
** ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจนะ **
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
| โด | เร | มี | ฟา | ซอล | ลา | ที |
| ฟา | ซอล | ลา | ที | โด | เร | มี |
4.องค์ประกอบของดนตรีไทย
เสียง เป็นศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์สาขาหนึ่ง เรียกว่า สวนศาสตร์ (วิชาที่ว่าด้วยเรื่องเสียง)
เสียง เกิดจากระบบการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุสั่นสะเทือนทำให้เกิดการอัดตัวและการขยายตัวของคลื่นเสียง ซึ่งส่งผ่านไปยังหูโดยผ่านชั้นบรรยากาศ
คุณสมบัติของเสียง *** ออกสอบ เช่น ข้อใดหมายถึงคุณสมบัติของเสียง ดูความหมายของแต่ละอันดีๆ
1.1 ระดับเสียง หมายถึงเสียงในระดับ สูง - ต่ำ
1.2 ความเข้มของเสียง หมายถึง เสียงหนัก - เบา
1.3 คุณภาพของเสียง เกิดจากคุณภาพของแหล่งกำเนิดเสียง
1.4 ความยาวของเสียง หมายถึง เสียงสั้น - ยาว
เสียงในทางดนตรี แบ่งเป็น 2 ประเภท
1. Noise เสียงที่ไม่ใช่เสียงดนตรี (เสียงรบกวน) 2. Sound เสียงดนตรี
จังหวะ คือ การแบ่งทำนองเพลง จะต้องมีระยะเท่ากันและดำเนินไปด้วยเวลาอันสม่ำเสมอ ***
จังหวะของดนตรีไทย
1. จังหวะฉิ่ง
เสียงฉิ่ง จังหวะเปิด (เบา) สัญลักษณ์เครื่องหมาย -
เสียงฉับ จังหวะปิด (หนัก) สัญลักษณ์เครื่องหมาย +
| สามชั้น(ช้า) | | - | | + | | - | | + |
| สองชั้น(ปานกลาง) | - | + | - | + | - | + | - | + |
| ชั้นเดียว(เร็ว) | - + | - + | - + | - + | - + | - + | - + | - + |
2. จังหวะหน้าทับ
รูปแบบจังหวะของการตีเครื่องดนตรีที่ขึงด้วยหนังจำพวกที่เทียบเสียงมาจากทับ เช่น ตะโพน กลองแขก จังหวะหน้าทับมีบัญญัติเป็นแบบแผนสำหรับที่ประกอบจังหวะประจำกับทำนองเพลงโดยเฉพาะ และใช้เป็นเครื่องบอกสัดส่วนและประโยคของเพลงนั้นๆ
*** มีข้อสอบประมาณว่า ข้อใดถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับจังหวะหน้าทับ ***
ประเภทของจังหวะหน้าทับ
1. จังหวะหน้าทับหลัก
1.1 หน้าทับปรบไก่ 1.2 หน้าทับสองไม้
วิธีพิจารณาการใช้หน้าทับปรบไก่ – สองไม้
1. ศึกษาจากขนาดของเพลง
- ประโยคคู่ (เช่นเพลง มี 4 บรรทัด) ใช้หน้าทับปรบไก่**นับบรรทัดออกสอบจ้า
- ประโยคคี่ (เช่นเพลง มี 3 บรรทัด ใช้หน้าทับสองไม้**
2. ใช้หน้าทับสองไม้ได้ทุกเพลง
3. เพลงขนาดใหญ่ ใช้หน้าทับสองไม้
4. เพลงสำเนียงภาษา ( มอญ เขมร พม่า ใช้หน้าทับปรบไก่ ลาว แขก จีน ใช้หน้าทับสองไม้) ![]()
![]()
2. หน้าทับพิเศษ (ใช้กับโขน ละคร)
เกณฑ์ในการนับจังหวะ ตีหน้าทับจบ 1 เที่ยว นับเป็น 1 จังหวะหน้าทับ ยกเว้นเพลงที่มีหน้าทับพิเศษ
เช่น หน้าทับปรบไก่สามชั้น 2 บรรทัดนี้ = 1 เที่ยว (1 จังหวะหน้าทับ)
| - ติง - ติง | - โจ๊ะ - จ๊ะ | - โจ๊ะ - จ๊ะ | - โจ๊ะ - จ๊ะ | - ติง - ทั่ง | - ติง - ทั่ง | - ทั่ง - ติง | - ติง - ทั่ง |
| - ติง - ติง | - โจ๊ะ - จ๊ะ | - โจ๊ะ - จ๊ะ | - โจ๊ะ - จ๊ะ | - - - - | - โจ๊ะ - จ๊ะ | - โจ๊ะ - จ๊ะ | - โจ๊ะ - จ๊ะ |
ทำนอง หมายถึง เสียงสูง ๆ ต่ำๆ ซึ่งสลับสับสนกัน จะมีความสั้น ยาว เบา แรง อย่างไร ก็แล้วแต่ความประสงค์ของผู้แต่งเพลง
ทำนองในดนตรีไทย
1. ทำนองร้อง
2. ทำนองบรรเลง
2.1 ทำนองหลัก ใช้ฆ้องวงใหญ่ทำทำนองหลัก ***
2.2 การทำนองแปร เอาทำนองหลักมาแปรเป็นทำนองเพื่อบรรเลงตามแต่ละเครื่องมือ ซึ่งดนตรีสะท้อนความเป็นอิสระของคนไทย
การประสานเสียง หมายถึง การผสมผสานของเสียงดนตรีในหลายๆแนวที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
1. การขับร้อง (ออกสอบ) ***
1.1 ร้องคลอ การร้องเพลง โดยมีดนตรีบรรเลงไปพร้อมกัน
1.2 ร้องเคล้า การร้องเพลง โดยมีดนตรีบรรเลงไปพร้อมกัน ซึ่งร้องไปตามทางของร้อง ดนตรีบรรเลงไปตามทางของดนตรี
1.3 ร้องลำลอง การร้องเพลงโดยมีดนตรีบรรเลงไปพร้อมกัน ซึ่งร้องกับดนตรีบรรเลงกันไปคนละเพลง แต่ร้องกับบรรเลงในระดับเสียงเดียวกัน
2.การบรรเลง
2.1 การบรรเลงพร้อมกันทุกเครื่องมือ 2.2 การบรรเลงแบบแปรทำนอง
2.3 การบรรเลงแบบขั้นคู่เสียง
ขั้นคู่เสียง = การบรรเลงดนตรีด้วยเสียง 2 เสียงพร้อมกันในเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกัน โดยในคู่เสียงแต่ละคู่ สะท้อนความรู้สึกของมนุษย์ ดังต่อไปนี้ (ออกสอบ คู่ที่เหมือนกัน คือ คู่ที่ 3 และ 6) ***
คู่ 2 ความรู้สึก เข็ด ขูด ครูด
คู่ 3 หวาน สุกฉ่ำ
คู่ 4 แน่นหนา ห้าว สาก
คู่ 5 เบา สบาย
คู่ 6 หวาน ฉ่ำ สุกงาม / กลมกล่อม สุขุม
คู่ 7 ฝาด ถมึงทึง หยาบ คม
คู่ 8 ราบเรียบ
คีตลักษณ์ หมายถึง รูปแบบของบทเพลง มี 3 ลักษณะ ดังนี้
1. รูปแบบของทำนองเพลง คือ การนำเอาส่วนย่อยของบทเพลงมาร้อยเรียงกัน
1 ห้อง เรียก กระสวน 2 ห้อง เรียก กลอนเพลง 4 ห้อง เรียก วรรคเพลง และ 8 ห้อง เรียก ประโยคเพลง
2. รูปแบบของการแบ่งเพลงเป็นท่อน จำแนกได้ดังนี้
- ท่อน หมายถึง ส่วนที่ตัดหรือทอนออกเป็นตอนๆ , ตอนหนึ่งๆของเพลงไทย
- ท่อน หมายถึง ส่วนหนึ่งของเพลง จะเป็นทำนองหรือบทร้องก็ได้ จะเป็นท่อนสั้นหรือท่อนยาวก็ได้ เพลงหนึ่งอาจมีท่อนเดียวหรือหลายท่อนก็ได้ เมื่อบรรเลงจบท่อนแล้วมักจะกลับต้นบรรเลงท่อนนั้นอีกครั้งหนึ่ง
2.1 เพลงที่มีท่อนเดียว เรียกว่า เพลงเอกบท
2.2 เพลงที่มีสองท่อน เรียกว่า เพลงทวิบท
2.3 เพลงที่มีสามท่อน เรียกว่า เพลงตรีบท หรือ เพลงตติยบท
2.4 เพลงที่มีสี่ท่อน เรียกว่า เพลงจตุรบท
2.5 เพลงที่มีห้าท่อน เรียกว่า เพลงปัญจบท (ออก 1 ข้อ)
3. รูปแบบของประเภทเพลง เช่น เพลงโหมโรง เพลงเถา เป็นต้น
วิธีการจำแนกเครื่องดนตรี
1. การแบ่งตามลักษณะของวัตถุที่นำมาทำเป็นเครื่องดนตรี
2. การแบ่งตามลักษณะของการบรรเลง
3. การแบ่งตามแหล่งกำเนิดของเสียงดนตรี ** มีข้อสอบ 2 ข้อ
3.1 เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศ [Aerophones] - เครื่องเป่า ขลุ่ย ปี่
3.2 เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของสาย [Chordophones] - เครื่องสาย จะเข้ ซอ(ทุกชนิด)
3.3 เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของมวลวัตถุในตนเอง [Idiophones] - เครื่องไม้ ทองเหลือง ฆ้อง ระนาด
3.4 เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของแผ่นหนัง [Membranophones] - กลอง
เครื่องดีด
- พิณน้ำเต้า จำนวนลูกบิดบ่งบอกสาย (พิณน้ำเต้ามี 1 ลูกบิด = มี 1 สาย)
ทวน
- กระจับปี่ มีหลักฐานตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ยกเลิกการนำกระจับปี่มาเล่นในวงสมัย ร.5
(แต่เล่นเดี่ยวๆยังคงมี)
- จะเข้ มีลูกบิด 3 อัน = 3 สาย จะเข้มีเท้า (เรียกอีกอย่างว่า ขา)
***มีกฎมณเฑียรบาล สมัยอยุธยาตอนต้น กล่าวถึงเครื่องดนตรี
ตอนที่ 15 มีเครื่องดนตรี 3 ชิ้นคือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ ตีทับ และ ตอนที่ 20 มีเครื่องดนตรี 6 ชิ้น คือ เป่าปี่ เป่าขลุ่ยสีซอ ดีดจะเข้ กระจับปี่ ตีโทนทับ ***
การเทียบเสียง *** ออกสอบ 1 ข้อ
สายเอก (สายหนึ่ง) โด ช่วงเสียงสูง
สายกลาง (สายสอง) ซอล ช่วงเสียงปกติ
สายลวด (สายสาม) โด ช่วงเสียงต่ำ
เครื่องสี
- ซอสามสาย มีมาตั้งแต่สุโขทัย ใช้ในพิธีเห่กล่อม หนังขึงหน้าซอ หนังลูกวัว คันชักแยกจากซอ
ซอสามสายเป็นเครื่องดนตรีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดปราน พระองค์ทรงพระราชทานตราภูมิคุ้มห้าม สำหรับเจ้าของสวนที่มีกะลามะพร้าวตามคุณลักษณะของซอสามสาย
ซอสามสายเป็นซอคู่พระหัตถ์ของรัชกาลที่ 2 ทรงพระราชทานนามว่า “ซอสายฟ้าฟาด”
การเทียบเสียง
สายเอก (สายหนึ่ง) ซอล ช่วงเสียงปกติ
สายกลาง (สายสอง) เร ช่วงเสียงต่ำ
สายทุ้ม (สายสาม) ลา ช่วงเสียงต่ำ
- ซอด้วง กะโหลกซอเป็นไม้ หุ้มด้วยหนังงูเหลือม คันชักอยู่ระหว่างสาย
การเทียบเสียง
สายเอก เร ช่วงเสียงสูง
สายทุ้ม ซอล ช่วงเสียงปกติ
- ซออู้ กะโหลกเป็นกะลามะพร้าว หุ้มด้วยหนังวัว
การเทียบเสียง
สายเอก ซอล ช่วงเสียงปกติ
สายทุ้ม โด ช่วงเสียงปกติ
***ซอด้วง ซออู้ มีหลักฐานในสมัยอยุธยา แต่ซอสามสาย มีหลักฐานในสมัยสุโขทัย***
เครื่องดำเนินทำนองประเภทเครื่องบรรเลงนำ ได้แก่ จะเข้ ซอสามสาย ซอด้วง
เครื่องดำเนินทำนองประเภทเครื่องบรรเลงตาม ได้แก่ ซออู้
เครื่องตี
- ระนาดเอก ประกอบด้วยไม้ 5 ส่วน ระนาดเอกมีผืนระนาด21-22 ลูก มีเท้า และราง
*** ออกสอบจำนวนลูก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ***
- ระนาดทุ้ม เกิดในสมัยร.3 มีเท้า 4 ข้าง ลูกระนาดมี 16-17 ลูก**
- ระนาดเอกเหล็ก เกิดในสมัยร.4 มีเท้าเหมือนกัน ใช้เทียบเสียงเครื่องในวงปี่พาทย์
- ระนาดทุ้มเหล็ก เกิดในสมัยร.4
- ฆ้องวงใหญ่ เป็นหลักในวง (ดำเนินเนื้อเพลงหลัก) ปรากฏหลักฐานก่อนสุโขทัย มีลูก 16 ลูก
- ฆ้องวงเล็ก เกิดในสมัยร.3 มี 18 ลูก
- ฆ้องมอญ ในวัฒนธรรมไทยใช้ในงานศพ งานอวมงคล ฆ้องมอญมีเท้า
ไม้นวม - เสียงทุ้มเบา ไม้แข็ง - มีเสียงดัง
เครื่องดำเนินทำนองประเภทเครื่องบรรเลงนำ - ระนาดเอก ระนาดเอกเหล็ก
เครื่องดำเนินทำนองประเภทเครื่องบรรเลงตาม - ระนาดทุ้ม ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก
ฆ้องมอญ
- เครื่องประกอบจังหวะ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ไม่ออก
เครื่องประกอบจังหวะ
- ตะโพนไทย
เครื่องกำกับจังหวะ มีหน้าเล็ก หน้าใหญ่ เป็นตัวแทนของเทพเจ้า ใช้ผ้าขาวพันตรงกลางแทนครูบาอาจารย์ มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ***ตะโพนเป็นสัญลักษณ์ของพระปรคนธรรพ *** เศียรยอดของพระปรคนธรรพคล้ายพระฤาษี พระปรคนธรรพ เป็นเจ้าแห่งการดนตรี เจ้าแห่งคนธรรม์
- ตะโพนมอญ เครื่องกำกับจังหวะ มีขนาดใหญ่ ให้เสียงดูเศร้า
- กลองทัด เครื่องกำกับจังหวะ ตีคู่กับตะโพน มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่สมัยสุโขทัยมีใบเดียว สมัยรัตนโกสินทร์มี 2 ใบ ตัวผู้และตัวเมีย ในสมัยร.1 ตัวผู้ (ขวา) - เสียงสูง ตัวเมีย (ซ้าย) - เสียงต่ำ
*** ข้อสอบจะถามถึงกลองชุด คือกลองที่มีมากกว่า 2 ใบ ก็จะมีกลองทัด กลองแขก กลองมลายู
เปิงมางคอก***
*** ข้อสอบจะถามถึงกลองชนิดใดใช้ไม้ตี หรือ มือตี กลองที่ใช้ไม้ตีมี กลองทัด กลองมลายู(ใช้มือตีข้าง ไม้ข้าง) กลองตะโพน และกลองมโหระทึก ***
- กลองแขก ตีเป็นคู่ ตัวผู้ กับ ตัวเมีย
- กลองมลายู ใช้ไม้ตีหน้าใหญ่ มือตีหน้าเล็ก ปรากฏในงานอวมงคล
- กลองสองหน้า เกิดในสมัยร.2 ปรากฏในวงปี่พาทย์ประกอบเสภา
- กลองตะโพน มีพัฒนาการในสมัยร.5 ในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ (ดัดแปลงจากตะโพน ไม่ได้คิดขึ้นมาใหม่)
- เปิงมางคอก อยู่ในวงปี่พาทย์มอญ เปิงเรียกเป็นคอก ตีคู่กับตะโพนมอญ กลองสองหน้าก็เกิดจากการนำลูกเปิงมางมาทำ เปิงมางคอกมี 7 ลูก เป็นเสียง ด ร ม ฟ ซ ล ท
- โทนมโหรี ทำจากดินเผา ตีคู่กับรำมะนา ขึงหนังหน้าเดียว หนังกลองทำจากหนังวัว
*** ดูว่ากลองอะไรขึงหนังหน้าเดียว ***
- รำมะนา
- มโหระทึก ทำจากสำริด ใช้ในพระราชพิธี กบ หน้ากลองแทนความอุดมสมบูรณ์
- บัณเฑาะว์ มีมาแต่สมัยสุโขทัย ใช้วิธีไกว ไม่ใช่การตี ใช้ในงานมงคล พระราชพิธี ร่วมกับสังข์ โหม่ง
เครื่องเป่า
- ปี่ เครื่องดำเนินทำนองประเภท เครื่องนำ ปี่มี 6 รู ด้านบนเป็นใบตาลตัด เอาเชือกผูกติดกันกำพรวดปี่
ปี่นอก ปี่กลาง ปี่ใน แต่ปี่ที่พบทั่วไปคือปี่ใน มีขนาดใหญ่ที่สุด
- ปี่ไฉน มี 7 รู เป็นเครื่องนำ ปลายปี่เป็นปากลำโพง
- ปี่ชวา ใช้ในงานอวมงคล เหมือนปี่ไฉน แต่ยาวกว่า เป็นเครื่องดำเนินทำนอง
- ปี่มอญ เป็นเครื่องนำ ใช้ในงานศพ อยู่ในวงปี่พาทย์มอญ มีเสียงโหยหวน ปลายปี่ปากลำโพง
- ขลุ่ย มีรูที่ทำให้เกิดเสียง 7 รู มีหลายชนิด แต่ชนิดที่นิยมใช้คือ ขลุ่ยเพียงออ
ขลุ่ยอู้ (ใช้ในวงดึกดำบรรพ์) ขลุ่ยเพียงออ และขลุ่ยหลิบ
***ภาพนักดนตรีหญิง 5 คน ภาพปูนปั้น พบที่คูบัว จ.ราชบุรี
ปรากฏเครื่องดนตรี กรับพวง คนร้อง เครื่องดีดที่มี 5 สาย ฉิ่ง และเครื่องดีดคล้ายพิณน้ำเต้า***
ขอบคุณข้อมูลจากอ.พจี บำรุงสุข สาขาวิชาดนตรีไทย
ภาควิชาดนตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สำหรับเนื้อหาความรู้ (อันนี้หนุนสรุปเตรียมสอบให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ
แต่เห็นว่ามันมีประโยชน์ เลยเอามาลงไว้ค่ะ
ในส่วนเครื่องดนตรี อาจไม่มีรูป เพาะตอนคัดลอกมา รูปมันไม่ขึ้นค่ะ
ต้องขออภัยด้วยนะคะ )