เมื่อฉบับก่อนได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในมิติพลังงาน ในวันนี้จะพาไปทัวร์แหล่ง พลังงานใน AEC เพื่อให้เห็นภาพความจริงและการเตรียมความพร้อมด้านพลังงานในชาติอาเซียน
เมียนมาร์แหล่งพลังงานอาเซียนที่ไทยต้องพึ่งพิง
เริ่มจาก แหล่งพลังงาน AEC ชาติแรกที่เราต้องรู้จักเพราะที่ผ่านมาไทยพึ่งพาพลังงานจากประเทศนี้นั่นคือสหภาพเมียนมาร์(พม่า)
เมียนมาร์หรือที่เรารู้จักกันในนามพม่า เป็นประเทศที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าอย่างมากโดยเฉพาะพลังน้ำ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ นับตั้งแต่ปลายปี 2531 เป็นต้นมาหลังจากที่รัฐบาลของสหภาพเมียนมาร์ ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการบริหารประเทศจากระบบการวางแผนจากส่วนกลาง เป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีมากขึ้น โดยดำเนินมาตรการสนับสนุนด้านการค้าเสรี และเปิดโอกาสให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนเพื่อส่งเสริมการส่งออกเพิ่มขึ้นได้มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะการพัฒนาโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าในสหภาพพม่าทั้งในแง่การตอบสนองต่อความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศและการส่งออกไฟฟ้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ด้านพรมแดนพม่าติดกับไทย จีน อินเดีย นับว่าเป็น แหล่งพลังงานAEC ที่น่าสนใจแต่ด้วยเหตุที่พม่าถูกคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกและพม่าปิดประเทศทำให้ในขาดองค์ความรู้สำหรับการขุดเจาะปิโตรเลียมมาใช้แต่จีนซึ่งคอยหนุนหลังพม่ามาตลอดเข้ามาร่วมมือกับพม่าด้านพลังงานทำให้จีนเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ของพม่า ต่อมา อินเดียและไทยได้เข้ามาร่วมในบางโครงการแต่ ณ ปัจจุบันพม่าเปิดประเทศมากขึ้นทำให้หลายชาติเข้าไปลงทุนมากขึ้น
ในปัจจุบันก๊าซธรรมชาติจากแหล่งบนบกได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อป้อนโรงไฟฟ้าแบบกังหันก๊าซจำนวน 2 หน่วย โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าหน่วยละ 100 เมกะวัตต์และเนื่องจากปริมาณก๊าซธรรมชาติจากแหล่งบนบกมีค่อนข้างจำกัดรัฐบาลจึงได้มีการพัฒนาและสำรวจหาแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในทะเลแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สำคัญซึ่งถูกค้นพบแล้ว คือ ยาดานาคาดว่าจะมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองรวมทั้งสิ้น 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและเยตากุนอีก 1.2 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตโดยปัจจุบันมีหลายประเทศได้รับสัมปทานและหนึ่งในนั้นก็มี บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ร่วมด้วย
ไม่เฉพาะแต่พื้นที่ดังกล่าว ทว่าพื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศเป็นที่ราบสูงโดยมีทิวเขาทอดยาวจากทิศเหนือและจดมาทางใต้ประกอบกับได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ทำให้สหภาพพม่ามีฝนตกชุกและมีทรัพยากรน้ำอย่างมากมายล้นเหลือ ในลุ่มน้ำบริเวณ Ayeyarwady, Sittaung, Thanlwinและ Chindwin ทำให้พื้นที่เหล่านี้ก็เป็นอีกหนึ่งขุมพลังงานใน AEC ที่มองข้ามไม่ได้
จากรายงานผลการศึกษาเบื้องต้น พบว่าทรัพยากรน้ำเหล่านี้สามารถนำมาผลิตไฟฟ้าได้สูงถึง 37,000 เมกะวัตต์โดยในจำนวนนี้จะเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ประมาณ 25,000 เมกะวัตต์และที่เหลือจะเป็นโรงไฟฟ้าขนาดกลางและขนาดเล็กซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้อีกเป็นจำนวนมากกระจายในบริเวณพื้นที่ทั่วไปของประเทศ
ลาว แบตเตอรี่แห่งเอเชีย
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป. ลาว ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งพลังงาน AEC ภายใต้กรอบนโยบาย “แบตเตอรี่ของอาเซียน” ทำให้เกิดการตื่นตัวของอุตสาหกรรมไฟฟ้าพลังน้ำในลาวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้นักลงทุนหลายชาติเข้าไปร่วมทุนหรือลงทุนในธุรกิจดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ประเทศไทย จีนรัสเซีย เวียดนาม และ มาเลเซีย
สำหรับลาวในวันนี้มีรายได้หลักจากการส่งออกพลังงาน อาทิ ไฟฟ้าพลังน้ำของลาว รวมถึงน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของพม่าให้กับจีนและอาเซียน เพราะลาวมีศักยภาพการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำสูงมากนอกเหนือจากโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 แล้ว รัฐบาลลาวซึ่งตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นแบตเตอรี่แห่งเอเชีย ได้เตรียมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงอีก11 โครงการ เพื่อที่จะสร้างตนเองให้เป็นแหล่งพลังงาน AEC ที่สำคัญโดยเฉพาะพลังงานน้ำให้เป็นแบตเตอรี่ของอาเซียน
กัมพูชาแหล่งพลังงานอาเซียนที่น่าจับตามอง
แหล่งพลังงาน AEC อีกแหล่งที่น่าจับตามองเพราะยังไม่ได้ถูกนำไปใช้ก็คือแหล่งพลังงานกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศยุทธศาสตร์ด้านพลังงานเพื่อให้ประชาชนชาวกัมพูชามีไฟฟ้าใช้มากขึ้น ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวรัฐบาลได้ดำเนินการให้มีการสร้างโรงไฟฟ้า และเดินสายไฟฟ้าให้ระหว่างกรุงพนมเปญและจังหวัดต่าง ๆรวมทั้งติดตั้งเสาไฟฟ้าเชื่อมโยงกับโรงไฟฟ้าในเวียดนาม และจากชายแดนไทย
รวมถึงการก่อสร้างไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งประเทศกัมพูชามีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำสูงมาก ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากจีน ทำให้คาดว่ากระแสไฟฟ้าจะสามารถเข้าถึงท้องถิ่นต่าง ๆ ของกัมพูชาได้มากขึ้น
นอจากนี้จากการสำรวจแหล่งพลังงานของบริษัทเชฟรอนจากสหรัฐฯ ได้ค้นพบว่าพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทยและกัมพูชานี้สืบเนื่องจากกรณีปราสาทพระวิหารเชื่อกันว่าศักยภาพปริมาณก๊าซในแหล่งดังกล่าวมีมาก รองรับใช้ได้อีก 30-40 ปี ซึ่งมีปริมาณสำรองก๊าซจำนวนมาก (ประมาณ 10 -11 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต) มีขนาดพื้นที่ประมาณ 2.6 หมื่นตารางกิโลเมตร กลายเป็นแหล่งพลังงานAEC ไปโดยปริยาย
ธนาคารโลกประเมินว่า แหล่งพลังงานกัมพูชาน่าจะมีน้ำมันถึง 2 พันล้านบาร์เรล ก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต โดยจะสร้างรายได้ให้กัมพชูาไม่น้อยกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี (เมื่อ เทียบกับราคาน้ำมันดิบบาร์เรลละ 60 ดอลลาร์)
นอกจากนี้รัฐบาลกัมพูชายังได้เดินหน้านโยบาย พลังงานแสงอาทิตย์ โดยขณะนี้โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้ถูกอนุมัติและกำลังก่อสร้างไปแล้ว โดยรัฐบาลกัมพูชาวางแผนที่จะสำรองพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการภายในประเทศภายในปี 2563 โดยการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนทดแทนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังงานน้ำ พลังลม ซึ่งกำลังดำเนินการศึกษาอยู่ และพลังงานชีวมวล (Biomass)
เวียดนามบนเส้นทางมหาอำนาจด้านพลังงาน
แหล่งพลังงาน AEC อีกชาติน่าสนใจคือ เวียดนาม เนื่องจากเป็นประเทศที่มีทรัพยากรด้านพลังงานสูงมากในอาเซียนและมีนโยบายในเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานที่ชัดเจน อาทิ การประกาศไม่ส่งออกก๊าซธรรมชาติ การนำเข้าถ่านหิน เพื่อรองรับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ
ที่สำคัญในขณะนี้เวียดนามมีแหล่งน้ำมันสำรองที่สำรวจแล้วในระดับ 600 ล้านบาร์เรล และยังมีการค้นพบแหล่งน้ำมันสำรองเพิ่มเติมอยู่เรื่อย ๆ นับว่าเป็นแหล่งพลังงานAEC ที่มองข้ามไม่ได้เนื่องจากในปีค.ศ.2005 เวียดนามสามารถผลิตน้ำมันดิบได้วันละ 370,000 บาร์เรล ถึงแม้ว่า เวียดนามจะสามารถผลิตน้ำมันดิบได้เกินความต้องการ แต่ก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ เพราะความสามารถในการกลั่นยังไม่สูงพอ
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เวียดนามดำเนินการลงทุนสร้างโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่อีก 2 โครงการ รวมไปถึงระบบขนส่งน้ำมันที่กระจายไปทั่วประเทศ และคาดว่าโครงการต่าง ๆ จะสำเร็จสมบูรณ์ภายใน 12ปีข้างหน้านับว่าเป็นแหล่งงานใน AEC ที่ไทยจะต้องจับตามอง
ที่สำคัญเวียดนามจะยังคงเดินหน้าแผนพลังงานนิวเคลียร์ต่อไปตามเดิม หลังจาก ที่เลือกผู้ผลิตมาตั้งแต่ปี 2010 คือบริษัท Rosatom จากรัสเซียเตาปฏิกรณ์เตาแรกของเวียดนามมีแผนก่อสร้างในปี 2013 และน่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2020 จากนั้นจะมีการสร้างต่อเนื่องจนครบ 10 เตา ในปี 2030 และเพิ่มขึ้นจนปี 2050 พลังงานนิวเคลียร์จะเป็นแหล่งพลังงานของประเทศถึง 25%
หากเวียดนามเดินหน้าโครงการดังกล่าวสำเร็จในอนาคตไทยก็อาจจะต้องพึ่งพิงพลังงานจากเวียดนามมากยิ่งขึ้นเนื่องจากชาติต่างๆลดการส่งออกพลังงานตามยุทธศาสตร์พลังงาน ในอนาคตเวียดนามอาจจะเป็นแหล่งพลังงาน AEC ที่สำคัญของไทย