ที่เขตเรา นะ ผช.ศธอ.(เดิม) มีสิทธิสมัครสอบ ผอ.สพม. แต่...
หน.การฯ (เดิม) ไม่มีสิทธิกระทั่ง "สมัคร" เอิ๊ก เอิ๊ก
โดย ...แปลกแต่จริง
บุคคลทั่วไป
ความเห็นที่ #14 เมื่อ 10 ธันวาคม 2553 11:09 [118.172.44.142]
รอง (สายประถมเดิม)
ให้ขอใช้สิทธิสมัครสอบไปก่อน
เมื่อเขาไม่ให้สมัคร (ให้มีหลักฐานยืนยันจาก จนท.รับสมัครว่า เป็นผู้ไม่มีสิทธิฯ)
จึงขอโต้แย้งสิทธิ โดยฟ้องศาลปกครองต่อไป
บอกแล้ว มีปํญหา ใครจะไป สพม. ให้สอบถามปัญหาข้อกฎหมายได้โดยด่วน แต่ตอนนี้ ขอไม่รับปรึกษาให้แล้วครับ เลยขั้นตอนทุกอย่างมาแล้ว
เมื่อท่านยังไม่ได้ไปสมัครสอบ
ท่านจึงมิใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย
โดย ...พิภพ
บุคคลทั่วไป
ความเห็นที่ #15 เมื่อ 1 นาทีที่แล้ว
ความจริงกระทู้นี้ จะไว้ช่วยเหลือบุคลากรบนสำนักงาน โดยเฉพาะตามมาตรา 38 ค (2) เท่านั้น
สำหรับ น้องที่ปทุมธานี(สายงานการสอน) จะดูแลเรื่องข้อมูลให้ชัดเจนอีกนิดครับ
เรายื่นแบบสมัครใจไปมัธยมเพื่อหวังนำผลสอบไปลงในตำแหน่งที่สูงขึ้น ปรากฎว่าไม่สามารถทำได้ เราจึงยื่นแบบขอระงับตามเงื่อนไข ในเวลาที่ สพฐ.กำหนด แต่มีข้อผิดพลาดที่ สนง.เราส่ง
เอกสารมติ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ และบันทึกขอระงับของเราให้ สพฐ.
ช้าไป(เขาอ้างเหตุผลว่าอย่างนั้น) ตอนนี้ สพฐ.ออกคำสั่งให้เราไป
ปฎิบัติหน้าที่ที่มัธยมแล้ว เราอยากทราบว่ามีวิธีการแก้ไขคำสั่งได้ไหม ถ้าได้ต้องทำอย่างไร สพฐ.แก้ไขคำสั่งได้ไหม และถ้าเราจะฟ้องก็ฟ้องตั้งแต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่ สนง.เราเลยใช่ไหม เรายืนยันว่าเราไม่อยากไป ไม่ใช่มัธยมไม่ดี แต่เราเสียความรู้สึกไปแล้ว
เพราะเรามั่นใจว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ ไม่เข้าใจว่าก็ในเมื่อ
เขาไม่เต็มใจจะไปอยูด้วยแล้วทำไมต้องมาใช้อำนาจ ใช้เลห์กลกัน
แบบนี้ด้วย อย่างนี้มันก็ไม่ได้ใจหรอก เออแล้ว คุณพิภพ จะตอบเรา
ไหมหละนะ
กรณีนี้ สนง.ก.ค.ศ. ไม่เกี่ยวครับ คนออกคำสั่งคือ สพฐ.
ความผิดพลาดเกิดจาก จนท.สพฐ. นำเอามติที่ตนเองคาดว่า อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาของท่าน คงเห็นชอบให้ย้ายโดยการตัดโอนฯ จึงเสนอให้ที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.วิสามัญ(ของมัธยม) เห็นชอบรับย้าย (อ.ก.ค.ศ.วิสามัญ:มัธยม ประชุม 17 พ.ย.53 มติอาจจะออกมาก่อนมติของเขตท่านด้วยซ้ำ) การทำงานที่รวบรัดเกินเหตุอย่างนี้ การทำงานที่ไม่รอบคอบ การทำงานที่ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาล จึงเกิดความโกลาหลที่ยากจะเยียวยาแก้ไข เรื่องนี้ยังมีอีกยาวครับ ผมรับรอง
ท่านสบายใจได้ครับ กรณีนี้ ท่านมีเหตุให้โต้แย้ง เพื่อให้ถูกต้องท่านและผู้ถูกกระทบสิทธิ์ ควรทำบันทึกให้ผู้บังคับบัญชารับทราบไว้ชั้นหนึ่งก่อน (ถูกต้องแล้ว ที่ท่านไม่เดินทางตามคำสั่งบ้าจี้)
ท่าน ถือไพ่เหนือกว่า จนท.ที่ข่มขู่ท่านมากกว่าครับ
มีปัญหากรณีนี้ต่อเนื่องอย่างไร หากรีบด่วนโทร. ได้ครับ (ไม่ติดภารกิจเร่งด่วน สำคัญ ยินดีรับสาย)
เรียนถามคุณพิภพ
-รอบแรก ไม่ทราบพิจารณาอย่างไร ขอไป 4 แห่ง นนทบุรี-อยุธยา, สุโขทัย-ตาก,นครสวรรค์, และปทุมธานี ไม่ได้ซักที่
ถ้าพิจารณาแบบมีเงื่อนไขห้ามระบุตำแหน่ง ทำไมไม่แจ้งให้ทราบ หรือ น่าจะกลับมาให้แก้ไขใหม่
-รอบสอง ในการขอไปเขตมัธยม ตามหนังสือลว. 1 ธค. 53
ติดต่อเขตมัธยมปลายทางแล้ว แต่ติดปัญหาต้นทาง มีอัตรากำลัง
ไม่ถึงร้อยละ 70 หากเข้าที่ประชุม มติ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่ประถมศึกษา ก็ไม่ผ่าน
อยากให้พิจารณาคนที่พร้อมจะไปบ้าง บางคนไม่อยากไปแต่ได้ไป
คนอยากไปแต่ไม่ได้พิจารณา ให้ไปเถอะแบบไม่มีหลักเกณฑ์นะ บุคลากร 38ค(2) ไม่มีขวัญและกำลังใจจะทำงานแล้ว
แล้วท่านคืนอัตรามาทดแทน หรือ ตัดโอนมาจากเขต 1 ก็ยังได้ จริงมั้ยคะ เขต 1 คนล้นงาน เขต 2, 3........ งานล้นคน
เป็นข้อมูลที่ดีมาก
สพฐ.สำรวจข้อมูล แต่ 11 ส.ค.53 ขณะที่กรอบอัตรากำลังยังไม่ชัดเจน แล้ววิธีการในการดำเนินงานให้คนไปช่วยไปทำงาน ไม่มีอะไรให้มองเห็นภาพเลย
อย่างนี้ มันยุติธรรมสำหรับบุคลากร 38 ค (2) หรือไม่
เห็นพวก 38 ค (2) เป็นอะไร
คิดเอาอำนาจตนเองเป็นใหญ่ ใช้ได้ที่ไหน สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่ดูแลไม่เท่าเทียมกัน
อย่ายอมครับ คราวนี้ต้องสู้กันซักตั้ง
ยื่นคำขอไป สพม. ตำแหน่งนักจัดการชำนาญการพิเศษ แต่ได้รับแจ้งว่าตำแหน่งที่ขอไปนั้น ได้จัดให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งชำนาญการลงตำแหน่งนี้แล้ว จึงสงสัยว่าทำไม สพม. จึงจัดคนลงกรอบรวดเร็วมากทั้ง ๆ ที่ยังมีบุคลากรน้อยมาก 2- 3คน เท่านั้น ในทางกลับกัน สพป. ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้ง สพม.และ สพป. กำลังทำอะไรกันอยู่น่าจะสงสารเด็ก ๆ ที่รอความชัดเจนในการเข้าสู่ตำแหน่งกันบ้าง
๕ ธันวาคม ๒๕๕๓
เรื่อง ร้องทุกข์จากมติ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาฯ ที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม
เรียน เลขาธิการ ******
สิ่งที่ส่งมาด้วย สำเนาคำร้องฯ จำนวน ๑ ชุด
ด้วยข้าพเจ้า *** รับราชการเป็นบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา ๓๘ ค (๒) พ.ร.บ.ระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตำแหน่งนักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ กลุ่มบริหารงานบุคคล สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา*** (สพป.***) โทร. **********
มีความประสงค์ขอร้องทุกข์ต่อ ก.ค.ศ. ในเรื่องคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ประจำเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา*** (อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา***) มีมติที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม อันเป็นผลมาจากการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา ๓๘ ค (๒) ของ สพป.*** ไปกำหนดใหม่ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กล่าวคือ
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้สำรวจข้อมูลผู้สมัครใจไปปฏิบัติงานในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ตามหนังสือ สพฐ.ด่วนที่สุด ที่ ศธ ๐๔๐๐๙/๔๗๘๖ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๓
และข้าพเจ้าได้ยื่นความประสงค์ขอไปปฏิบัติงานใน สพม.*** โดยขณะนั้นมีผู้ยื่นความประสงค์ไปปฏิบัติงานใน สพม. รวมจำนวน ๑๑ คน ต่อมามีผู้ขอระงับ ๖ ราย คงเหลือผู้สมัครใจ จำนวน ๕ ราย
ทั้งนี้ การก่อกำเนิดของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) มีที่มาตามลำดับกฎหมายโดยสรุป ดังนี้
๑. พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๓ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓ บัญญัติให้ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศกำหนดเขตพื้นที่การศึกษา แบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
๒. รมว.กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการกำหนดและแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่การศึกษาเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๓
๓. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการกำหนดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๓ ได้กำหนดให้มีเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน ๔๒ เขต และที่ตั้งของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
๔. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พ.ศ.๒๕๕๓ มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ ได้กำหนดให้มีส่วนราชการภายใน สพม. และอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการนั้น
๕. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พ.ศ.๒๕๕๓ มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ ได้กำหนดให้มีส่วนราชการภายในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการนั้น
๖. ต่อมา ก.ค.ศ.ซึ่งเป็นองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีมติกำหนดกรอบอัตรากำลังใน สพม. และ สพป. ตามความนัยมาตรา ๔๑ ( บัญญัติว่า “ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจะมีในหน่วยงานใด จำนวนเท่าใด และต้องใช้คุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งอย่างใด ให้เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ.กำหนด”) โดยมติการกำหนดกรอบอัตรากำลังดังกล่าว สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้แจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทราบ ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ.ที่ ศธ ๐๒๐๖.๕/๖๘๑ เรื่องการกำหนดตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา ๓๘ ค (๒) เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
การที่ สพฐ. ดำเนินการจัดบุคลากรลงกรอบอัตรากำลังใน สพม. โดยการนำเอาเพียงข้อมูลที่ได้จากการสำรวจข้อมูลของบุคลากรทางการศึกษา และลูกจ้างประจำผู้สมัครใจไปปฏิบัติงานใน สพม. มาตั้งแต่วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีกรอบอัตรากำลังใน สพม. ที่องค์กรกลางบริหารงานบุคคลกำหนด ทำให้บุคลากรทางการศึกษาส่วนใหญ่ ไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนเพียงพอในการตัดสินใจ จึงเป็นการดำเนินการที่รวบรัด เป็นเหตุให้กระทบต่อสิทธิของบุคลากรทางการศึกษาโดยรวม เช่นการเข้าดำรงตำแหน่งในระดับชำนาญการพิเศษ และตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่ม อันกระทบ ต่อขวัญกำลังใจ ต่อความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการของบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา ๓๘ ค (๒) มาโดยตลอด
ประการต่อมา สพฐ.ดำเนินการโดยไม่มีการแจ้งเกณฑ์และวิธีดำเนินการในการพิจารณาคัดเลือกให้บุคลากรทางการศึกษาไปปฏิบัติงานใน สพม. และประกาศตำแหน่งที่มีให้ทราบโดยทั่วกัน กรณีมีการคัดเลือกเพื่อให้ดำรงตำแหน่งที่มีระดับสูงขึ้น เช่นตำแหน่งนักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ/ชำนาญการพิเศษ (ตำแหน่งระดับควบ:พิจารณาให้ดำรงตำแหน่งชำนาญการ เพื่อรอการเลื่อนขึ้นเป็นระดับชำนาญการพิเศษ และผู้อำนวยการกลุ่ม) มีหลักเกณฑ์และวิธีการอย่างไร กระทำโดยยึดหลักธรรมาภิบาลหรือไม่
ดังนั้น การดำเนินงานของ สพฐ. ดังกล่าว เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าไม่ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งใหม่ใน สพม. ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้า ควรได้รับการเยียวยาให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นเฉกเช่นบุคลากรทางการศึกษาอื่น (อาทิ อนุเคราะห์ให้ ผช.หน.ปก.ระดับ ๖ ดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.สพท. หรือ ผอ.ร.ร.) จากผลกระทบเมื่อกระทรวงศึกษาธิการปรับปรุงโครงสร้างใหม่ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้าจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายพัฒนาบุคคล (นักพัฒนาทรัพยากรบุคคล ๘ ว : เทียบเท่าผู้อำนวยการกลุ่ม) ในสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัด มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ เรื่องผลการคัดเลือกและประเมินข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งหรือเลื่อนและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าฝ่ายพัฒนาบุคคล ฯ (ผู้คัดเลือกได้ลำดับที่ ** : เอกสารหมายเลข ๑ ) ทำให้ข้าพเจ้าเสียโอกาสในการสมัครเข้ารับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง รอง ผอ.สพท. อย่างสิ้นเชิง
ในการสำรวจข้อมูลบุคลากรทางการศึกษา ที่สมัครใจไปปฏิบัติงานใน สพม. ของ สพฐ. เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ ข้าพเจ้าได้แจ้งความประสงค์ไปปฏิบัติหน้าที่ทาง สพม. *** ซึ่งขณะนั้นทุกคนทราบดีว่า ยังไม่มีกรอบอัตรากำลังที่ชัดเจน และ สพฐ.จะมีวิธีการคัดเลือกอย่างไร ผู้ที่ประสงค์จะไปปฏิบัติงานใน สพม.จะได้ไปลงตำแหน่งไหน มีเกณฑ์อะไรอย่างใด ทั้งๆ ที่การจัดบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นไปตามกรอบอัตรากำลังที่ ก.ค.ศ.กำหนดใน สพม.จะต้องมีการประกาศการคัดเลือกในแต่ละตำแหน่งเลขที่ให้ชัดเจนทราบโดยทั่วกัน ซึ่งจะทำให้ข้าพเจ้าและบุคลากรทางการศึกษาอื่นมีข้อมูลในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน สามารถสมัครเข้ารับการคัดเลือกในตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่มอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติดำรงตำแหน่งได้ เช่น ผู้อำนวยการกลุ่มอำนวยการ, ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา หรือผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายและแผน อีกทั้งยังเป็นการปิดกั้นโอกาสของผู้มีคุณสมบัติอื่นที่จะเข้ารับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกลุ่มการเงินและสินทรัพย์ตามกรอบอัตรากำลังใหม่อีกด้วย
แต่ต่อมา สพฐ.แจ้งผลการพิจารณา (แจ้งให้ สพป.*** ทราบเมื่อ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓) โดยไม่มีชื่อข้าพเจ้า และให้ สพป.*** นำรายชื่อผู้ได้รับการพิจารณาจำนวน ๔ ราย เสนอ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา*** ให้ความเห็นชอบการย้ายโดยการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนไปกำหนดใน สพม.ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ตามหนังสือ สพฐ. ลับ ด่วนที่สุด ที่ ศธ ๐๔๐๐๙/๒๗๑๒ เรื่องการสำรวจข้อมูลผู้สมัครใจไปปฏิบัติงานในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยในผลการพิจารณาให้ติดต่อประสานกับรองเลขาธิการ กพฐ. (นายเสน่ห์ ขาวโต) โดยตรง ภายในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ หากไม่ทักท้วงในกำหนด ให้ถือว่า เป็นไปตามผลการพิจารณาดังกล่าว (เอกสารหมายเลข ๒ )
ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่า สพฐ.ไม่เปิดโอกาสให้มีการโต้แย้ง คัดค้าน ในระยะเวลาที่พอสมควร กล่าวคือ สพป.*** รับหนังสือ สพฐ.ดังกล่าวเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ข้าพเจ้าเพิ่งทราบเมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ พร้อมทั้งได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ได้รับคำชี้แจงให้เกิดความกระจ่างชัดเป็นลายลักษณ์อักษร ประกอบกับหนังสือดังกล่าว สพฐ.ได้กำหนดชั้นความลับ “ลับ” ทั้งๆ ที่ควรเป็นเรื่องเปิดเผยให้บุคลากรได้รับทราบโดยทั่วกัน ไม่ควรปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารในสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างทัดเทียมกัน
อนึ่ง ในการประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา*** ครั้งที่ ๙/๒๕๕๓ เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ข้าพเจ้าได้ยื่นบันทึกการดำเนินการจัดบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรา ๓๘ ค (๒) ให้ดำรงตำแหน่งใน สพม. ของ สพฐ.ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา*** และประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา***ตามลำดับ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ (ตามเอกสารหมายเลข ๓ )
แต่ฝ่ายเลขานุการ ได้นำเสนอเรื่องดังกล่าว ประกอบการพิจารณาในระเบียบวาระเรื่องที่ ๔.๓ ขอย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา ๓๘ ค (๒) โดยการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือน เพียงให้ที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา*** รับทราบประเด็นที่เกี่ยวเนื่องในข้อพิจารณาเท่านั้น (เอกสารหมายเลข ๔ )
กรณีนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า การย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นอำนาจหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา***โดยตรง (ไม่ใช่ของ สพฐ.หรือคณะกรรมการกลั่นกรอง ที่ดำเนินการด้วยความรวบรัด กระทำการอื่นใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของ สพฐ.) ที่จะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ มีข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ ซึ่งเป็นอำนาจดุลพินิจที่ต้องตั้งอยู่บนหลักความชอบด้วยกฎหมาย มิเช่นนั้นก็จะไม่แตกต่างไปจากอำนาจพลการ กล่าวคือ
ในเมื่อ สพท.*** มีผู้ประสงค์ขอไปปฏิบัติหน้าที่ทาง สพม.เหลืออยู่ ๕ ราย ส่งไปให้ สพฐ.พิจารณา และ สพฐ.นำผลการพิจารณาที่ได้จากคณะกรรมการกลั่นกรอง (ซึ่งไม่ทราบว่า มีองค์ประกอบของกรรมการอย่างไร) คงเหลือผู้ได้รับการพิจารณา ๔ ราย มาให้ สพท.*** เพื่อนำเสนอ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา*** ให้ความเห็นชอบการย้ายโดยการตัดโอนตำแหน่งและอัตราเงินเดือนตามตัวไปกำหนดใหม่ใน สพม. โดยไม่มีข้อมูลอื่นใดที่ใช้ประกอบการพิจารณา หรือมีเหตุผลอื่นใดอันถือเป็นสาระสำคัญให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ให้ความเห็นชอบหรือไม่ เช่นตัดโอนไปดำรงตำแหน่งไหน อย่างไร ฯลฯ ซึ่งเสมือนเป็นการปฏิบัติให้เป็นไปตามกระบวนการตามกฎหมายพอเป็นพิธี ทำให้หลักประกันสิทธิของข้าพเจ้าถูกกระทบ
ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าได้ทักท้วงตามบันทึก ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ดังกล่าวแล้ว มิใช่พิจารณาจากหนังสือ สพฐ. ลับ ด่วนที่สุด ที่ ศธ ๐๔๐๐๙/๒๗๑๒ เรื่องการสำรวจข้อมูลผู้สมัครใจไปปฏิบัติงานในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ลงวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เพียงกระดาษแผ่นเดียว โดยไม่มีข้อมูลอื่นใดที่จะใช้สนับสนุนให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา*** ใช้ดุลพินิจได้อย่างถูกต้องเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย แต่กลับมีมติให้ย้ายข้าราชการทั้ง ๔ ราย ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองเสนอ ทั้งที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดจึงไม่พิจารณาในรายของข้าพเจ้า จึงเป็นการใช้อำนาจดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามความนัยมาตรา ๑๙ (๑๔) พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อไป ผลเป็นประการใด โปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
ขอแสดงความนับถือ