วันที่ 4 - พาเที่ยว Osaka กินของอร่อยย่าน Shinsekai และชมแสงสีที่ Dōtonbori และป้ายกูลิโกะ

เดี๋ยววันนี้เราจะออกเดินทางจาก Tokyo แล้วนะครับ กำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมือง Osaka แล้วก็จะไม่ได้กลับมาที่ Tokyo อีกแล้วครับ เราจะไปพักที่ Osaka อีก 3 คืนครับ แล้ววันสุดท้ายเราก็จะบินกลับเมืองไทยจากสนามบิน Kansai เลย ติดตามชมได้เลยครับ

วันที่ 4 - พาเที่ยว Osaka กินของอร่อยย่าน Shinsekai และชมแสงสีที่ Dōtonbori และป้ายกูลิโกะ

ความคิดเห็น
ออกจาก Shinjuku นั่ง JR Yamanote ไปลงสถานี Shinagawa เพื่อจะไปขึ้นเจ้า Shinkansen ครับ

วันนี้อากาศดีมากๆครับ ท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นฟูจิซังได้ชัดเจนเลย

ช่วงที่ผ่านจังหวัด Shizuoka น่าจะเป็นช่วงที่วิวสวยที่สุดแล้วนะ มองเห็นไร่ชาเขียว แม่น้ำ เนินเขา ติดตรงรถไฟมันวิ่งเร็วมากๆ มองไม่ค่อยจะทันเลย

ช่วงจอดแวะแถวๆเกียวโตครับ ใช้เวลาจากโตเกียวไป Osaka ประมาณเกือบๆ 3 ชั่วโมงครับ (นั่ง shinkansen ประเภท Hikari) ผมออกจาก Tokyo 11 โมง ถึง Osaka บ่าย 2 พอดี ระยะทางก็ใกล้เคียงกับ กรุงเทพ เชียงใหม่ได้ ความเร็วช่วงทางตรงอยู่ประมาณ 230-240km/h

ถึงสถานี Shin-Osaka แล้วครับ เป็นสถานีที่เจ้า shinkansen นี้จะจอดครับ หากต้องการเดินทางไปยัง Kobe, Kyoto แถบๆนี้ก็ต้องมาขึ้นที่สถานี Shin-Osaka ครับ สถานีใหญ่พอสมควร จะงงๆเวลาหา platform นิดหน่อยหากมาครั้งแรก

เดี๋ยวเราไปเช็คอินก่อนเลยครับ จะได้เอากระเป๋าไปเก็บแล้วก็ล้างหน้าล้างตากันด้วย เราจะพักกันที่โรงแรม Shin Osaka Washington Hotel Plaza นะครับ อยู่ใกล้กับสถานี Shin-Osaka มากๆ เดินไม่ถึง 10 นาทีครับ หากใครอยากเที่ยวในแถบคันไซ อย่าง Kobe/Kyoto/Nagoya โดยรถไฟชินคังเซนล่ะก็ มาพักที่นี่โอเคเลยครับ

ภายในห้องพักของโรงแรมครับ เล็กพอๆกันกับในโตเกียวเลย เดี๋ยวผมจะแยกรีวิวของโรงแรมเอาไว้อีกหัวข้อนึงต่างหากนะครับ

เช็คอินเสร็จแล้วก็สบายล่ะ เดินออกมาหน้าโรงแรม บรรยากาศดีมากๆ ไม่พลุกพล่านเกินไป โชคดียังมีใบไม้เปลี่ยนสีเหลืออยู่พอสมควร มีแค่บางต้นที่ใบเริ่มจะร่วงไปเกือบหมดแล้ว

เดินกลับไปยังสถานี Shin-Osaka อีกครั้ง เพื่อที่จะนั่งรถไฟเข้าไปในตัวเมือง Osaka ครับ

ถ่ายรูปใบใม้มาให้ดูกันชัดๆ จะคล้ายๆใบเมเปิ้ลนะ

ระหว่างทางไปโรงแรมกับสถานีรถไฟ Shin Osaka จะผ่านเจ้าป้ายของ Daikin บอกอุณภูมิตอนนี้อยู่

ภายในสถานีรถไฟ Shin Osaka จะดูค่อนข้างเก่ากว่าทางฝั่งของโตเกียวอยู่นิดหน่อยครับ ความแออัดก็น้อยกว่า

ภายในสถานี Shin-Osaka พอจะมีร้านอาหารอยู่พอสมควร ยกเว้นร้านซูชิที่ผมไม่เห็นเลยน่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกราเม็ง ข้าวหน้าต่างๆ

เดี๋ยวเราจะนั่งจาก Shin-Osaka ไปยังสถานี Osaka ครับ เพื่อที่จะไปต่อรถไฟสาย Osaka Loop Line (วิ่งวนในตัวเมือง คล้ายๆ Yamanote Line) ห่างกันแค่ 1 สถานีครับ เนื่องจากผมซื้อบัตร JR Pass 7 วันมา ผมก็เลยต้องหาทางนั่งรถไฟที่เป็นสาย JR ให้ได้ จะได้ไม่ต้องซื้อตั๋วเพิ่มครับ แต่ถ้าใครไม่ได้ซื้อ JR Pass มาก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินได้เลยครับสะดวกกว่า

ส่วนใครใช้ JR Pass ก็ตามลายแทงผมมาได้เลยครับ เดี๋ยวจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เพราะแผนที่รถไฟฟ้าใน Osaka นั้น ยิ่งดูเยอะยิ่งงงครับ

แผนที่ในรูปข้างล่างจะแสดงจะเฉพาะรถไฟฟ้าของ JR (วิ่งบนดิน) นะครับ ผมทำกรอบสีแดงไว้ให้ ระหว่างสถานี Shin-Osaka กับ Osaka (คนละสถานีกันครับ) จะเห็นว่าตัว JR Osaka Loop Line สายสีชมพูแดงๆ ซึ่งจะเป็นสายที่เราจะใช้เป็นหลักในการเที่ยวโอซาก้า จะไม่ได้ผ่านสถานี Shin-Osaka แต่จะผ่านสถานีชื่อ Osaka แทนครับ (สถานี Osaka จะเป็นสถานีเดียวกับสถานี Umeda ของเส้นรถไฟใต้ดินครับ เป็นสถานีที่ใหญ่ม๊ากๆ ใหญ่กว่า Shin-Osaka อีกครับ เหมือนกับตรงอโศกบ้านเราอ่ะ ใต้ดินเรียกสุขุมวิท บนดินเรียกอโศก)

เมื่อกี้ลืมบอกไปครับ จาก Shin-Osaka  ไปยัง Osaka ถ้าจะนั่งสาย JR มันจะมีสายเดียวเลยคือ JR Kyoto Line ครับ บางทีป้ายในสถานีจะเขียน To JR Line เฉยๆ (บางทีเคยเจอเขียนว่า Local Line เฉยๆก็มี) ก็ขึ้นไปเลยครับ ถึงสถานี Osaka แน่นอน 

ส่วนพวกขบวนที่เป็น Express/ Rapid พยายามอย่าไปขึ้นนะครับ (ยกเว้นคุณศึกษาเส้นทางมาดีแล้วจริงๆ หรือต้องการไปสนามบิน Kansai)
ถึงสถานี Osaka แล้วครับ เดี๋ยวเราจะต่อสาย JR Osaka Loop Line (บางครั้งจะเห็นเขียนว่า Osaka Loop Line หรือแค่ Loop Line เฉยๆก็ได้) 

ใน Osaka จะเห็นตู้รถไฟสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะเยอะมากครับ (เค้าว่าป้องกันการโดนลวนลาม) 

ตอนนี้เป็นเวลาราวๆบ่ายสามกว่าแล้ว เดี๋ยวเราจะไปเดินเล่นและหาอะไรกินที่ย่าน Shinsekai (ชินเซไก) กันนะครับ นั่ง Loop Line จากสถานี Osaka ไปลงที่สถานี Shin-Imamiya นะครับ (ในเว็บ Hyperdia จะเขียนว่า Imamiya เฉยๆ ไม่แน่ใจว่ามีการเปลี่ยนชื่อหรือปล่าว)

ถึงสถานี Shin-Imamiya แล้วครับ บรรยากาศและสภาพถนนดูต่างจากในโตเกียวพอควร ออกแนวต่างจังหวัดก็ว่าได้

ตรงนี้จะมีสถานที่สำคัญอีกอย่างก็คือ อ่างอาบน้ำในร่มที่ใหญ่มากกกก ประมาณสวนน้ำในร่มก็ว่าได้ (ตึกสีครึมๆใหญ่ๆตรงกลางรูปนั่นละ)

เดินขึ้นมาทางทิศเหนือเรื่อยๆ สังเกตุหอคอยไว้ครับ จะมองเห็นแต่ไกลเลย จะเจอทางเข้าไปในย่าน Shinsekai

ย่าน Shinsekai นี้ ถ้าใครเคยดูช่อง X-zyte รายการ มหัศจรรย์คนเข้าครัว (Maki Magic Restaurant) เค้าจะชอบพามาแถวๆนี้ด้วยครับ กับอีกย่านนึงที่มีร้านอาหารเยอะๆคือ Tsuruhashi แต่เสียดายที่ผมไม่ได้ไปครับ

ย่าน Shinsekai นี้ จะมีร้านอาหารปลาปักเป้าเยอะมาก แล้วก็พวกอาหารเสียบไม้ทอดๆ (คุชิคัทซึ) เน้นกินดื่มครับ ออกแนวเป็นสถานที่ดื่มหลังเลิกงานซะมากกว่า

ตอนที่ผมไปถึงเวลาแค่ 4 โมงกว่าๆ ยังไม่ค่อยมีคนมาสักเท่าไรครับ

ร้านนี้ก็ขายปลาปักเป้าครับ แต่เนื่องจากสมาชิกไม่มีใครอยากกินเจ้าเมนูนี้สักเท่าไรเลยขอผ่านครับ เด้วเราจะพาไปกินร้านหม้อไฟทีเด็ดกัน เดินไปเรื่อยๆทางหอคอยเลยครับ

ย่าน Shinsekai นี้จะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวนิยมมาสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นคนญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด สังเกตุดูจากร้านอาหารที่ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆเลยครับ ใครพออ่านได้นิดหน่อยก็พอถูไถได้ แต่ถ้าอ่านญี่ปุ่นไม่ได้เลยก็ลำบากนิดนึงครับ อาศัยชี้ๆเอาจากอาหารตัวอย่างพอได้

ตกแต่งหน้าร้านได้อลังการมากๆ ใครอยากสัมผัสอารมณ์แบบญี่ปุ่นแท้ๆก็ลองมาเดินเล่นดูครับ แต่ถ้าโปรแกรมเที่ยวมีจำกัด ผมเสนอว่าผ่านที่นี่ไปเลยก็ได้ครับ

คนยังไม่ค่อยมากันครับ เพราะที่นี่จะคึกคักช่วงเวลาค่ำๆ หลัง 2 ทุ่มไปแล้ว

แวะกินทาโกะยากิรองท้องกันก่อน อยากรู้ว่าคนญี่ปุ่นแถบคันไซเป็นยังไงก็มาดูที่นี่เลยครับ รู้สึกว่าหน้าตาคนแถบนี้ก็จะไม่เหมือนฝั่งโตเกียวนะ สไตล์การแต่งตัวก็ไม่เหมือน

หน้าตาดุดัน ดูเถื่อนๆ จริงจัง แต่เป็นกันเอง งงมะ

ความอร่อยก็ถือว่าพอใช้ได้ครับ หน้าตาดูธรรมดาไปนิดนึง

กินทาโกะเสร็จแล้วก็เดินไปทางหอคอยต่อ ผ่านร้านนี้ ดูเมนูน่ากินเลยทีเดียว

ปล. บางร้านในย่านนี้จะให้สูบบุหรี่ในร้านได้นะครับ สังเกตุจากกลิ่นเอาได้เลย

มีร้านปาจิงโกะด้วย

บรรยากาศบริเวณใต้หอคอยครับ

อ่อลืมบอกไป หอคอยอันนี้เค้าเรียกว่า Tsutenkaku Tower นะครับ อย่าไปเรียกหอคอยชินเซไกล่ะ

เจอร้านอาหารเป้าหมายของเราแล้ว ร้านนี้จะขายเป็นพวกหม้อไฟต่างๆ ภาษาญี่ปุ่นเค้าจะเรียก นาเบะ (na-be) นะครับ ร้านนี้อยู่ทางด้านซ้ายของหอคอยครับ

เหตุผลที่กินร้านนี้คือสภาพภายในดูดีสุดแล้ว แล้วก็จะมีโซนที่ไม่สูบบุหรี่ด้วยครับ 

ผมเพิ่งรู้ว่าที่ Osaka นี้ตามร้านอาหารบางร้านจะให้สูบบุหรี่ได้ หรือมีมุมที่สูบบุหรี่ได้ด้วยครับ

เมนูที่สั่งไปเป็นแบบนาเบะคอร์สครับ (คล้ายๆสุกี้บ้านเรา) แต่เมนูแบบคอร์สจะคิดราคาต่อคนครับ อย่างเซ็ทที่สั่งไปราคาประมาณคนละ 5 พันกว่าเยน กิน 4 คนก็คูนไปครับ แต่ปรากฏว่ากินกันไม่หมดครับ เหลือเพียบเลย เพราะคนญี่ปุ่นนี่เค้ากินกันเก่งๆ ผมก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเราไม่จำเป็นต้องสั่งเท่าจำนวนคนที่มาก็ได้ เช่นมากิน 4 คน สั่งสำหรับ 3 คนก็ได้ ปริมาณอาหารก็จะลดลงไป ราคาก็จะคิดแค่สำหรับ 3 คน แต่กินกัน 4 คนได้ครับ

คือในเซ็ทมันจะมีปลาดิบ แล้วก็ a la carte ให้อีกอย่าง รู้สึกจะเป็นข้าวปั้นนะ 

พวก a la carte อย่างปลาดิบที่เห็นรูปก็จะมีให้ตามจำนวนคนที่สั่งไป

กินอิ่มแล้วก็เดินกันต่อครับ ใครอยากเห็นลีลาการเรียกลูกค้าสไตล์ญี่ปุ่นแบบกวนๆต้องมาดูที่นี่ครับ อยากคนนี้ก็ออกแนวฮาๆครับ

เดี๋ยวเราจะเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ เพื่อจะมุ่งหน้าไปยัง Dotonburi (โดตงบุริ) เพื่อไปชมแสงสี และถ่ายรูปคู่กับป้ายกูลิโกะกันครับ

แต่การไป Dotonburi นั้น จะไม่มีรถไฟฟ้า JR ผ่านนะครับ ต้องลงเส้นรถไฟใต้ดินเท่านั้น เดี๋ยวเราจะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Midosuji (สายที่ผ่ากลางระหว่างใจกลาง Osaka) ไปลงที่สถานี Namba เลยครับ

มาถึง Dotonburi แล้วครับ จริงๆแล้วย่านนี้จะเรียกว่านัมบะก็ได้ แต่ถ้าให้เรียกให้ถูกต้องจริงๆนั้น นัมบะคือชื่อสถานีรถไฟฟ้านั่นเอง ส่วน Dotonburi คือชื่อเรียกตรงบริเวณที่เป็นป้ายไฟกูลิโกะ ถ้าพูดว่านัมบะแล้ว จะกินอานาเขตกว้างกว่า ส่วน Dotonburi น่าจะเป็นพื้นที่ๆนึงในนัมบะอีกทีมากกว่าครับ

มาถึงป้ายไฟกูลิโกะกันแล้ว ควรจะมาที่นี่ในช่วงค่ำๆไปแล้วจะสวยกว่านะครับ

ตรงข้ามป้ายกูลิโกะ จะมีร้านคานิ โดราคุ หรือร้านปูยักษ์หม้อไฟ ที่ชาวไทยนิยมไปกินกันด้วยครับ เดี๋ยวเราจะมากินร้านนี้กันในวันสุดท้ายก่อนกลับครับ

ตรงจุดนี้คนจะเยอะมากๆ ใครจะมานัดเจอกันที่นี่ก็ระบุจุดนัดพบกันให้ดีๆนะครับ

บริเวณนี้จะมีสาวๆคอยมาเรียกลูกค้าเยอะเลย ไม่รู้ว่าเรียกไปใช้บริการอะไรกันแน่ 

บริเวณนี้น่าจะเป็นจุดรวมของแฟชั่น วัยรุ่นต่างๆ คล้ายๆสยามสแควร์บ้านเราเลย

บริเวณนี้จะมีซอยทีเรียกว่า Shinsaibashi suji ซึ่งน่าจะเรียกว่าตรอกมากกว่า เป็นซอยที่มีร้านค้ามากมาย กินความยาวประมาณ 3 สถานีได้ ถอดยาวในแนวเหนือ-ใต้ แต่จุดที่มีร้านค้าเยอะๆ และพวกแฟชั่นต่างๆจะกระจุกอยู่ตรงนัมบะเยอะสุด 

ร้านค้าแถวนี้จะเน้นขายของแนว street เสื้อผ้าราคาไม่แพง นาฬิกา Casio G-Shock ราคาถูกกว่าเมืองไทยมากกกก หาซื้อได้ที่นี่เลย

หากใครคิดจะมาเดินช้อปปิ้งที่นัมบะแบบจริงจังๆละก็ เผื่อเวลาไว้อย่างน้อยครึ่งวันได้เลยครับ เพราะมันใหญ่มากๆ แถมมีส่วนที่อยู่ใต้ดินอีกด้วย ผมเองแค่เดินแถวๆ Dotonburi (แค่ตรงป้ายกูลิโกะ) ก็ 2 ชั่วโมงกว่าแล้ว

วันนี้เราพอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวกลับไปนอนเอาแรงก่อนนะครับ

โปรดติดตามอ่านวันต่อไปเร็วๆนี้ครับ

ประกาศล่าสุดในบอร์ดเดียวกัน

japan Icon วันที่ 5 เช้า - เที่ยวปราสาท Osaka (Osaka Castle) 42 อ่าน 77,486 12 ปีที่ผ่านมา
12 ปีที่ผ่านมา
japan Icon รีวิวโรงแรม Shinjuku Sunroute Plaza Hotel 13 อ่าน 76,958 12 ปีที่ผ่านมา
12 ปีที่ผ่านมา